คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1013 จ้าวอ๋องมาให้ด่าถึงที่ เป็นโรค...
ตอนที่ 1013 จ้าวอ๋องมาให้ด่าถึงที่ เป็นโรค…
………………..
ไม่กี่วันก่อนถึงเทศกาลตรุษจีน ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อพายุหิมะไม่มีที่อยู่อาศัย รัชทายาทเสนอให้สร้างค่ายนอกเมืองเพื่อเป็นที่พักพิงชั่วคราว รอจนถึงเวลาที่พายุหิมะผ่านพ้นไปฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ผู้ประสบภัยก็จะสามารถกลับบ้านเกิดของตนเองได้ สิ่งนี้ส่งผลให้เหล่าขุนนางต่างพากันสรรเสริญรัชทายาท คุยโม้เรื่องความเมตตากรุณาของรัชทายาทอย่างใหญ่โต
สำหรับการคัดเลือกราชฑูตเพื่อบรรเทาภัยพิบัติภายนอก หลังจากหารือกันหลายวัน ในที่สุดฮ่องเต้ก็แต่งตั้งบุคคลหนึ่งไปยังดินแดนทางเหนือที่ซึ่งประสบภัยพิบัติได้รับผลกระทบหนักที่สุด สิ่งที่ทำให้ทุกคนรู้สึกประหลาดใจก็คือ คนผู้นี้ไม่ใช่รัชทายาท แล้วก็ไม่ใช่ท่านอ๋องแต่อย่างใด แต่เป็นฉีเชียนรุ่ยจวิ้นอ๋องที่เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์มาก่อนหน้านี้
หลังจากได้รับราชโองการ ฉีเชียนก็รับคำสั่งนำขบวนบรรเทาภัยพิบัติออกเดินทาง อย่างไรก็ตาม จะไม่สามารถฉลองตรุษจีนในเมืองหลวงได้อย่างแน่นอน เมื่อกลับมาอีกครั้งก็เกรงว่าจะเป็นฤดูใบไม้ผลิแล้ว
ทันทีที่ฉีเชียนจากไป ย่อมไม่ได้ยินความวุ่นวายของบรรดาราชวงศ์ในเมืองหลวง ล้วนพากันอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมากว่าเหตุใดฮ่องเต้จึงได้คิดที่จะให้ฉีเชียนไปเป็นราชฑูต
ทันทีที่ไปสืบมา พบว่าเป็นมหาราชครูที่ทำนายผู้ผ่านการคัดเลือกที่ดีที่สุดออกมา บอกว่าปีนี้ภัยพิบัติหิมะร้ายแรง ซึ่งเป็นคำเตือนจากสวรรค์ ดาวพฤหัสเข้าสู่เส้นเลือดมังกร หยินพุ่งขึ้นสูง หยางตกต่ำลง หากอยากให้หยินหยางสมดุลกัน อาณาจักรเจริญรุ่งเรือง ต้องการคนในราชวงศ์ที่มีลัคนาราศีเป็นดาวอาทิตย์และดาวอังคารมาปราบปราม
และสายเลือดราชวงศ์เพียงหนึ่งเดียวที่เป็นธาตุไฟโตเต็มวัยก็มีเพียงฉีเชียน
แม้ว่าความสัมพันธ์ของพระชายาหนิงอ๋องกับฮ่องเต้เมื่อสองปีก่อนจะไม่ได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณะ แต่ในทางอำนาจ ย่อมมีผู้ที่สามารถสืบพบสถานะของฉีเชียน แม้ว่าจะไม่ได้เผยแพร่ แต่เขาก็เป็นบุตรนอกสมรสของฮ่องเต้ นั่นหมายความว่าก็เป็นสายเลือดของฮ่องเต้ด้วยเช่นกัน เป็นองค์ชาย
และถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ แต่หนิงอ๋องบิดาในนามของเขาก็เป็นเชื้อสายราชวงศ์อยู่ดี เขาย่อมเป็นสายเลือดของราชวงศ์เช่นกัน ดังนั้นจึงสอดคล้องกับลัคนาราศีดาวอาทิตย์กับดาวอังคารที่มหาราชครูกล่าวถึง
อย่างไรก็ตาม ฮ่องเต้ได้โยนตำแหน่งราชฑูตให้กับฉีเชียนไปแล้ว หมายความว่าเขาไม่เคยเพิกเฉยต่อบุตรชายคนนี้ของเขาเลย?
สิ่งนี้ทำให้บรรดาองค์ชายคิดมากและถือสาเอาความ
“สหายปั๋วอิน เจ้าคิดว่าการกระทำของเสด็จพ่อนี้มีจุดประสงค์ใด สถานะตัวตนของฉีเชียนนั้นอ่อนไหว แต่เขากลับต้องการแต่งตั้งให้ฉีเชียนเป็นราชฑูตไปบรรเทาภัยพิบัติ หรือเพราะต้องการจะส่งเสริมเขา” จ้าวอ๋องมองไปยังอวี้ลิ่งหลานที่อยู่ข้างๆ ขมวดคิ้วพลางเอ่ยว่า “หรืออาจเป็นเพราะเสด็จพี่ใหญ่เดินหมากเช่นนี้ เขาคิดที่จะดึงบุตรนอกสมรสคนนี้มาร่วมด้วย”
อวี้ลิ่งหลานสวมเสื้อคลุมสีขาวนวลจันทร์ เอ่ยเสียงเรียบว่า “ไม่ว่าจะมีเจตนาอย่างไร การที่ฮ่องเต้เชื่อมหาราชครูนั้นเป็นเรื่องจริง ตราบใดที่มหาราชครูเป็นคนกล่าว เขาก็จะทำตาม เรื่องบรรเทาภัยพิบัติก็เป็นเช่นนี้ การหยุดการก่อสร้างวังเซียนก็เช่นกัน”
จ้าวอ๋องใบหน้าเคร่งขรึม เอ่ย “มหาราชครูเป็นคนของเสด็จพี่ใหญ่ หากดึงมหาราชครูมาเป็นพรรคพวกได้แล้ว ก็ไม่เท่ากับว่าสามารถควบคุมเสด็จพ่อได้หรอกหรือ หากเขายุยงให้พวกเราที่ถูกแต่งตั้งเป็นอ๋องไปประจำการนอกเมือง เช่นนั้น…”
อวี้ลิ่งหลานหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ย “หากฮ่องเต้ถูกบงการง่ายเช่นนั้น เขาก็จะไม่ฝึกบำเพ็ญความเป็นอมตะแล้ว การที่เขาฝึกบำเพ็ญความเป็นอมตะก็เพราะหลงใหลในอำนาจไม่ใช่หรือ ท่านอ๋องคิดว่าการที่มหาราชครูเป็นคนของรัชทายาทจะเป็นเรื่องดีสำหรับเขาหรือ ท่านเคยได้ยินหรือไม่ว่าน้ำสามารถทำให้เรือแล่นได้ แล้วก็สามารถทำให้เรือคว่ำได้เช่นกัน”
จ้าวอ๋องหรี่ตาลง มือที่จับลูกประคำหยุดลง
“นอกจากนี้การถูกแต่งตั้งไปประจำการนอกเมืองก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายทั้งหมด ท่านอ๋อง การที่ได้รับใช้อยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ แม้ว่าจะเป็นโชคดี แต่นั่นก็เป็นสถานการณ์ก่อนที่จะแต่งตั้งรัชทายาท ทันทีที่แต่งตั้งรัชทายาท ก็จะเป็นเรื่องง่ายที่ท่านอ๋องจะกระทำการต่างๆ ในเขตแดนที่ตนเองปกครองอยู่ และยิ่งสามารถพัฒนาอำนาจได้ง่ายขึ้น การทำสงครามก็ต้องอาศัยทหาร หากเอาแต่อยู่ในเมืองหลวง เมื่อ…รัชทายาทขึ้นครองบัลลังก์นั่นก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผลแล้ว หากท่านอยากจะแย่งชิง ก็ต้องมีอำนาจ”
จ้าวอ๋องครุ่นคิด
เมื่อไปประจำการที่เมืองอื่น ก็จะกลายเป็นท่านอ๋องของพื้นที่นั้น ซึ่งสามารถมีทหารภายใต้ชื่อจวนอ๋องของตัวเองได้ ตราบใดที่ทำงานได้ดี มีกองทัพแข็งแกร่ง ในภายภาคหน้าจึงจะสามารถ ‘จัดการคนทรยศรอบตัวฮ่องเต้’ ได้
แต่หากอยู่ที่นี่ ต้องการฝึกฝนทหาร ก็จะมีข้อจำกัดอยู่บ้าง
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ หัวใจของจ้าวอ๋องก็ร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย
เขาเอ่ยกับอวี้ลิ่งหลานว่า “เช่นนั้นตามความหมายของท่านอาจารย์ ปีหน้าพวกเราจะไปขอประจำการที่เมืองอื่นงั้นหรือ”
อวี้ลิ่งหลานยิ้มเล็กน้อย “ไม่จำเป็นต้องไปขอด้วยตัวเอง ตอนนี้มีภัยพิบัติหิมะ เกรงว่าฤดูใบไม้ผลิปีหน้าจะเพาะปลูกได้ยาก ว่ากันว่าจะมีโรคระบาดครั้งใหญ่เกิดหลังภัยพิบัติใหญ่ เมื่อถึงเวลานั้นภัยพิบัติเล็กๆ น้อยๆ ได้เกิดขึ้นในสถานที่ต่างๆ ไม่หยุดหย่อน ทำให้คลังสมบัติว่างเปล่า เรื่องของการให้ท่านอ๋องแต่ละท่านไปประจำการที่เมืองอื่นก็จะถูกหยิบยกขึ้นมาเอง”
การดูแลพื้นที่ประจำการจะต้องอาศัยความสามารถและกำลังทรัพย์ของตัวเอง จะไม่ได้มายุ่งกับพระคลัง
จ้าวอ๋องพยักหน้า ทันใดนั้นก็ชะงักฝีเท้า สายตานักล่ามองไปยังคนผู้หนึ่งที่เดินออกมาจากร้านยาตำหนักอายุวัฒนะ และรถม้าที่จอดอยู่หน้าประตูร้านยาตำหนักอายุวัฒนะ มองดูสัญญาลักษณ์รถ ดูเหมือนจะเป็นของจวนแม่ทัพใหญ่เจิ้นกั๋ว
ฉินหลิวซีก็มองมาเช่นกัน เมื่อเห็นจ้าวอ๋องกับอวี้ลิ่งหลานก็เลิกคิ้วเล็กน้อย
อวี้ลิ่งหลานมองนาง มีแสงผ่านเข้ามาในดวงตา กล่าวว่า “กลับมาแล้วจริงๆ”
จ้าวอ๋องสบถขึ้นมา เมื่อนึกถึงตัวตนของฉินหลิวซีและเส้นสายที่อยู่เบื้องหลังนาง ก็อดเดินไปหาไม่ได้ ใบหน้ายิ้มแย้ม ตะโกนเรียก “พี่หญิงใหญ่”
อวี้ลิ่งหลานตกตะลึง
ฉินหลิวซีรูม่านตาสั่นไหว นี่มันอะไรกัน เขาเรียกข้าว่าอะไรนะ
เมื่อจ้าวอ๋องเห็นสีหน้าท่าทางตกตะลึงของนางก็รู้สึกมีความสุขในทันที ใครใช้ให้เจ้าหลบหน้าไม่ยอมเจอ ซ้ำยังตัดความสัมพันธ์กับฉินหมิงเย่ว์คนงี่เง่าผู้นั้น ข้าจะทำให้เจ้ารู้สึกรังเกียจต่อหน้า
ดูสิ ข้าเรียกเจ้าว่าพี่หญิงใหญ่ เจ้ากล้าตอบรับหรือไม่
ไม่ว่าจะกล้าหรือไม่กล้า ข้าก็จะเรียกเจ้า ทำให้เจ้ารังเกียจจนตาย
รอยยิ้มของจ้าวอ๋องหวานและจริงใจมากขึ้นกว่าเดิม จากนั้นก็ตะโกนเรียกอีกว่า “พี่หญิงใหญ่ ก่อนหน้านี้ไปตระกูลฉิน ท่านกับข้าได้มีวาสนาได้เจอกันหนึ่งครั้ง คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอท่านที่นี่ ช่างบังเอิญเสียจริง เย่ว์เอ๋อร์น้องหญิงของท่านเอาแต่บ่นถึงเจ้าตลอด มิสู้ไปเลี้ยงฉลองที่จวนของข้าสักหน่อย”
ฉินหลิวซียิ้มเยาะอยู่ในใจ ไอ้สารเลวผู้นี้กำลังทำให้ข้าสะอิดสะเอียน!
นางมองจ้าวอ๋อง สายตาเผยให้เห็นถึงความสมเพชและความเห็นอกเห็นใจ เผยตัวออกมาเอ่ยว่า “เห็นว่าท่านมีใบหน้าที่งดงาม คิดไม่ถึงว่าสมองจะถูกประตูหนีบ รีบเข้าไปเถิด ท่านหมอในตำหนักอายุวัฒนะวิชาแพทย์ไม่เลวเลยทีเดียว ยาก็ได้ผลดี ตราบใดที่ให้ยาตรงกับโรค ระวังไม่ให้น้ำไหลเข้าสมอง ท่านจะฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติได้อย่างแน่นอน!”
จ้าวอ๋อง “…”
นี่กำลังด่าว่าเขาโง่หรือ
จ้าวอ๋องใบหน้ามืดครึ้มตะโกนด้วยความโกรธว่า “เจ้าบังอาจ กล้าดีอย่างไรมาดูถูกข้า”
“บังอาจถามท่านอ๋อง ข้ามีคำไหนที่ด่าท่านแล้วหรือ” ฉินหลิวซีหัวเราะคิกคัก กล่าวว่า “ข้าไม่รู้จักท่านด้วยซ้ำ ท่านเดินเข้ามาก็ตะโกนเรียกข้าว่าพี่หญิงใหญ่ ข้าก็คิดไม่ถึงว่าท่านจะมีความชอบเช่นนี้”
ความชอบแบบไหนกันน่ะหรือ ความชอบที่มาให้ด่าถึงที่อย่างไรล่ะ!
ฉินหลิวซีไม่สามารถคลายความเกลียดชังได้ เอ่ยอีกว่า “แม้ว่าความชอบนี้จะเป็นความชอบส่วนตัว แต่การที่ตะโกนเรียกพี่หญิงไปทั่วนั้นเป็นโรคอย่างหนึ่ง ต้องรักษา”
ทุกคน “…”
เจ้าไม่ได้ด่าอย่างเปิดเผย แต่ทุกคำพูดของเจ้ากำลังด่าอยู่
“เจ้า!” จ้าวอ๋องถูกกระตุ้นโดยสายตาที่อยู่รอบตัว สายตาที่มองไปยังฉินหลิวซีเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า ก็แค่นักพรตธรรมดาคนหนึ่ง แต่กลับกล้าดูถูกราชวงศ์เช่นนี้
ทันทีที่เขายกมือขึ้น กำลังจะเรียกคน อวี้ลิ่งหลานก็ก้าวเข้ามาพร้อมกับหันศีรษะเหลือบไปมองเขาเล็กน้อย แฝงไว้ด้วยคำเตือน
จ้าวอ๋องใจสั่น เม้มริมฝีปากเล็กน้อย
อวี้ลิ่งหลานมองไปยังฉินหลิวซี ยกมือขึ้นคำนับ “ข้าน้อยคำนับท่านปรมาจารย์ปู้ฉิว ไม่ได้พบกันหลายปี ท่านปรมาจารย์ยังคงสง่างามเช่นเดิม”
ฉินหลิวซียิ้ม “ไม่ได้เจอกันหลายปี ผู้ประเสริฐอวี้ยังคงสายตาไม่ค่อยดีเช่นเดิม เจ้าแน่ใจหรือว่าไม้ที่ตัวเองเลือกนั้นไม่ผิด”
นางเหลือบมองไปยังจ้าวอ๋องอย่างมีนัยยะ สายตาแฝงไว้ด้วยความดูถูกและเหยียดหยาม คนเช่นนี้ก็ยังเลือกมาเกาะ ตาบอดแล้วกระมัง
จ้าวอ๋องโกรธจัด!