คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1014 จุดเทียนให้จ้าวอ๋อง
ตอนที่ 1014 จุดเทียนให้จ้าวอ๋อง
………………..
นกที่ดีจะเลือกเกาะต้นไม้ที่เหมาะสม ใครๆ ก็รู้ถึงหลักการของประโยคนี้ดี และฉินหลิวซีเอ่ยว่าต้นไม้ที่เจ้าเลือกนั้นไม่ได้ดีอะไร เป็นการยิงธนูนัดเดียวได้นกสองตัว อย่าว่าแต่จ้าวอ๋องโกรธจัด สีหน้าของอวี้ลิ่งหลานก็มีความอึดอัดและโมโหเล็กน้อยเช่นกัน
เพียงแต่ว่าอย่างไรเสียอวี้ลิ่งหลานก็มีสถานะลูกหลานตระกูลอวี้ ได้รับการเลี้ยงดูที่สมบูรณ์แบบ ยกริมฝีปากเล็กน้อย มองฉินหลิวซีพลางเอ่ย “ทุกครั้งที่ได้พบท่านปรมาจารย์ก็จะพูดจาตรงไปตรงมาเช่นนี้ หรือว่าข้าน้อยได้ไปทำอะไรให้ท่านปรมาจารย์ขุ่นเคืองเข้างั้นหรือ”
ฉินหลิวซีเอามือไขว้หลังพลางเอ่ยว่า “เปล่า”
“เช่นนั้น…”
“เช่นเดียวกับท่านอ๋องผู้นี้ที่มีความชอบเรียกพี่หญิงใหญ่ไปทั่วท้องถนน ข้าก็มีความชอบและไม่ชอบส่วนตัวเช่นกัน ข้าเพียงแค่ไม่มีถูกชะตากับผู้ประเสริฐอวี้ก็เท่านั้น” ฉินหลิวซียิ้มเล็กน้อย
ความหมายของคำว่าไม่ถูกชะตาก็คือไม่เข้าตา!
ไม่ว่าอวี้ลิ่งหลานจะสงวนท่าทีมากแค่ไหน ก็แทบจะอดทนไม่ได้อยู่บ้าง ยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ย “เช่นนั้นข้าน้อยอยากจะเชิญให้ท่านปรมาจารย์ช่วยทำนายให้กับท่านอ๋องสักหน่อย ก็นับว่าเป็นวาสนาที่หาที่เปรียบไม่ได้แล้ว”
“อ้อ? เจ้าอยากจะให้ข้าทำนาย?” ฉินหลิวซีเลิกคิ้ว
อวี้ลิ่งหลานพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น เขาเพียงแค่พูดไปเฉยๆ แล้วก็ไม่ได้คาดหวังใดๆ กระทั่งเขาได้เตรียมพร้อมที่จะฟังคำพูดจากปากร้ายๆ ของฉินหลิวซีแล้ว
คาดไม่ถึง อีกฝ่ายไม่ได้เล่นตามไพ่ที่วางไว้
“ให้ทำนายก็ได้ ค่าทำนายครั้งละหมื่นตำลึงทอง พวกเจ้าอยากจะทำนายอะไร” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ในเมื่อมีคนนำเงินมาส่งถึงที่ นางย่อมไม่ถือสาเอาความกับเงิน เงินอันมีค่านี้ เอาไปแลกเป็นเสบียงอาหารซาลาเปา ล้วนสามารถทำให้ผู้ประสบภัยพิบัติหิมะมากมายอิ่มท้องได้
“ทำนายครั้งละหมื่นตำลึงทอง เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นเทพบนดินหรือ เหตุใดไม่ปล้นเสียเลยล่ะ” จ้าวอ๋องตะโกนขึ้นมา
ฉินหลิวซี “ตอนนี้ข้าก็กำลังปล้นอยู่ อีกอย่าง ข้าไม่ใช่เทพเซียนบนดิน ในใจท่านก็รู้ดีไม่ใช่หรือ มิเช่นนั้นท่านจะนับถือข้าเป็นพี่หญิงใหญ่ทำไม!”
ดีมาก ข้าถูกทำให้โกรธอีกแล้ว โกรธจนทะลุเข้าไปในช่องปอด เจ็บปวดเป็นอย่างมาก
“จะทำนายหรือไม่ ไม่ทำนายก็ขอตัวก่อน ข้ายังมีธุระ” ฉินหลิวซีเดินไปมาสองสามก้าวอย่างเหลืออด
ใครจะใช้เงินหลายหมื่นตำลึงไปทำนายดวงชะตากัน รังเกียจที่เงินยังลดเร็วไม่พอหรือ
ต่อให้จ้าวอ๋องมีก็จะไม่เป็นผู้เสียหาย เขาย่อมไม่ยินดี ก่อนจะเอ่ย “แต่ไหนแต่ไรข้าไม่เคยเชื่อเรื่องอำนาจลี้ลับอะไรเหล่านั้นอยู่แล้ว”
“บอกว่าเจ้าจนเสียแต่แรกก็สิ้นเรื่อง เสียเวลาข้า” ฉินหลิวซียิ้มเยาะ เดินอ้อมเขา มุ่งหน้าไปขึ้นรถม้าที่อยู่ด้านข้าง
ใบหน้าอันงดงามของจ้าวอ๋องโกรธจนบูดเบี้ยวเล็กน้อย
ก็แค่นักพรตหญิง กลับหยิ่งผยองถึงเพียงนี้!
อวี้ลิ่งหลานกระแอมเบาๆ
จ้าวอ๋องอดทนอีกครั้ง
ฉินหลิวซีขึ้นรถม้าแล้ว มองดูจ้าวอ๋อง เอ่ยอย่างมีนัยยะว่า “เจ้าจะไม่ทำนายจริงๆ หรือ การทำนายนี้คุ้มเงินเป็นอย่างมาก แสวงหาโชคลาภหลีกเลี่ยงโชคร้าย!”
จ้าวอ๋องใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ตื่นตระหนกเล็กน้อย
แต่เมื่อครู่เขาพึ่งบอกไปว่าไม่เชื่อเรื่องอำนาจลี้ลับ ตอนนี้จะทำนาย จะไม่เป็นการตบหน้าตัวเองหรือ
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแต่เฝ้ามองดูรถม้าของฉินหลิวซีจากไปเฉยๆ
ทันทีที่นางจากไป จ้าวอ๋องก็เอ่ยกับอวี้ลิ่งหลานด้วยใบหน้ามืดครึ้มว่า “เมื่อครู่เหตุใดปั๋วอินจึงได้รั้งข้า นางก็เป็นเพียงแค่นักพรตคนหนึ่ง กลับกล้าดูถูกราชวงศ์อย่างข้า พูดจาหยาบคาย บังอาจนัก”
อวี้ลิ่งหลานเอ่ยว่า “ท่านอ๋อง คนผู้นี้แม้ว่าจะดึงมาเข้าพวกไม่ได้ แต่ก็ไม่ควรไปทำให้นางขุ่นเคือง นี่ไม่ใช่นักต้มตุ๋นธรรมดาทั่วไป”
จ้าวอ๋องขมวดคิ้ว
อวี้ลิ่งหลานเห็นว่าเขาสีหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ จึงเอ่ยเสียงเบาว่า “วิชาเต๋าของเสวียนเหมิน ผู้ที่บำเพ็ญตบะอย่างแท้จริง ไม่ว่าอะไรก็สามารถทำได้ แม้ว่าท่านจะเป็นลูกหลานราชวงศ์ผู้สูงศักดิ์ แต่ก็เป็นเพียงคนธรรมดา หากนางโกรธแล้วทำสิ่งลี้ลับที่น่ากลัวต่อท่านขึ้นมา ท่านจะหลบได้อย่างไร”
เจ้าอ๋องขนลุกซู่ไปทั้งตัว เอ่ยว่า “ไม่หรอกกระมัง”
“ผู้ที่มีความสามารถไม่เหมือนใครๆ ย่อมมีความทะนงตนของตัวพวกเขาเอง เนื่องจากว่ามีความสามารถนั้น” อวี้ลิ่งหลานมองดูรถม้าที่หายไปลับตาแล้วเอ่ยว่า “ล่วงเกินนาง มีแต่โทษไม่มีประโยชน์”
จ้าวอ๋องได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งรู้สึกหดหู่ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าสถานะท่านอ๋องของตัวเองไม่มีประโยชน์อีกต่อไป กลับต้องกลืนความอัปยศอดสูต่อหน้านักพรตหญิงคนหนึ่ง
อึดอัดเป็นอย่างมาก!
แต่อึดอัดก็ส่วนอึดอัด เขาก็ไม่ได้สูญเสียสติสัมปชัญญะที่ยืนกรานจะไปหาเรื่องฉินหลิวซี ประการแรกเป็นการฟังคำแนะนำอันชาญฉลาดของอวี้ลิ่งหลาน ประการที่สอง คำพูดที่แฝงความหมายของฉินหลิวซีเมื่อครู่นี้ มักจะทำให้รู้สึกไม่สบายใจ
ให้ตายเถอะ สตรีผู้นี้ช่างร้ายกาจ!
จ้าวอ๋องกับอวี้ลิ่งหลานออกไปจากร้านยาตำหนักอายุวัฒนะ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าทันทีที่เข้าจวนอ๋อง แผ่นไม้เนื้อแข็งที่มีโครงเหล็กอยู่เหนือศีรษะจะหล่นลงมาที่ศีรษะของเขาโดยตรง
จ้าวอ๋องหัวสมองว่างเปล่า มือและเท้าแข็งทื่อ ไม่รู้จักหลบ
“ท่านอ๋องระวัง” เดิมทีอวี้ลิ่งหลานอยู่ข้างหลังเขา เมื่อเห็นเช่นนี้ก็ผลักเขาออก แผ่นป้ายหล่นลงมา กระแทกจนส่วนที่หลวมมีตะปูกระเด็นออกมา ด้วยแรงกระแทกของมัน กระเด็นไปถูกมุมหางตาของจ้าวอ๋องที่อยู่บนพื้น เกี่ยวเอาเนื้อไปด้วย
“โอ๊ยๆๆ ตาข้า!” จ้าวอ๋องกุมหางตาพลางกรีดร้องอย่างน่าอนาถ
จบแล้ว เขาจะกลายเป็นคนตาบอดแล้ว หากตาบอดแล้วเขายังจะมีโอกาสทำอะไรได้อีก
จ้าวอ๋องถูกหมอกเลือดที่บดบังดวงตาทำให้หวาดกลัว เขากลอกตาแล้วเป็นลมไป
“รีบไปเชิญหมอหลวงมาเร็วเข้า”
จวนจ้าวอ๋องถูกการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้ทำเอาตกใจจนตกอยู่ในความวุ่นวายสับสน
มีเพียงอวี้ลิ่งหลานที่นึกบางอย่างขึ้นมาได้ ไม่ควรไปล่วงเกินนางจริงๆ ด้วย
และบนรถม้าในเวลานี้ ฉินหลิวซีกำลังตอบกลับคำพูดของเจ้าโสมน้อย
“อย่าพูดไร้สาระ ข้าไม่ใช่คนใจแคบเช่นนั้น จะไปลงมือทำร้ายเขาได้อย่างไร เป็นเขาเองที่โชคร้าย ยืนกรานจะมาเผชิญหน้ากับข้าเอง” ฉินหลิวซียืนกรานที่จะปฏิเสธคำพูดของเจ้าโสมน้อยว่านางเป็นคนลงมือทำร้ายจ้าวอ๋องหรือไม่
เจ้าโสมน้อยหัวเราะในลำคอ เจ้าว่าข้าเชื่อเจ้าหรือ
เถิงเจาเอ่ยว่า “ก็ไม่รู้ว่าเขาไปแปดเปื้อนพลังหยินติดตัวมาจากไหน เดิมทีก็โชคร้ายอยู่แล้ว แต่อย่างไรเสียก็เป็นองค์ชาย มีสายเลือดมังกร แม้ว่าจะประสบอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ จากความโชคร้าย แต่ก็ไม่ถึงชีวิต” ฮ่องเต้เป็นโอรสสวรรค์ โอรสสวรรค์คือมังกร ในเมื่อเขาเป็นองค์ชาย ย่อมเป็นสายเลือดมังกรด้วยเช่นกัน
และฉินหลิวซีเมื่อครู่นี้ก็เพียงแค่เดินอยู่หน้าร้านยาประตูตำหนักอายุวัฒนะไม่กี่ก้าว วางค่ายอาคมรวมหยินอย่างง่ายๆ ขึ้นมา ทำเอาพลังหยินรอบตัวทั้งหมดมารวมตัวกัน พลังหยินนั้นนางก็ได้รับมา จ้าวอ๋องเป็นเครือญาติ
ใช่แล้วเป็นเครือญาติกัน ดังนั้นจึงโชคร้ายเป็นเท่าตัว ย่อมประสบอุบัติเหตุ
เถิงเจาเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ หากเขานำหมื่นตำลึงทองมาทำนายดวงชะตาจริงๆ ท่านจะแสวงหาโชคลาภหลีกเลี่ยงโชคร้ายให้เขาจริงๆ หรือ”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น รับเงินมาก็ทำงาน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องใช้เงิน เขานำหมื่นตำลึงทองมาปัดเป่าโชคร้าย ก็เป็นการจ่ายเงินเพื่อซื้อความสงบสุข”
ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “ก็แค่หายนะนองเลือดเล็กๆ น้อยๆ ไม่ถึงแก่ชีวิต ช่วยปัดเป่าให้เขาแล้วจะอย่างไร แต่ผู้ประสบภัยพิบัติเหล่านั้น หากมีเงินหมื่นตำลึงทองไปแลกกับเสื้อผ้าเครื่องนุ่มห่มอาหารการกิน บางทีอาจจะสามารถหลีกเลี่ยงฤดูหนาวอันหนาวเหน็บนี้ไปได้ น่าเสียดายที่คนจนอย่างเขาหยิ่งในศักดิ์ศรีซ้ำยังตระหนี่ ไม่ยอมถูกหลอก”
เจ้าโสมน้อยเอ่ยว่า “ก็ไม่จนหรอกกระมัง อย่างไรเสียก็เป็นถึงท่านอ๋อง”
“ยิ่งเป็นคนอย่างพวกเขา ต้องการทำการใหญ่ เงินที่ต้องการก็ยิ่งมีมาก เงินหมื่นตำลึงทองสามารถทำอะไรได้หลายอย่าง แม้ว่าตอนนี้จะนำไปแจกโจ๊กการกุศลก็สามารถแลกกับชื่อเสียงด้านความใจบุญได้ แต่การใช้หมื่นตำลึงทองแลกกับการให้นักต้มตุ๋นทำนายหนึ่งครั้ง ไม่เพียงแต่รู้สึกเสียเปรียบ หากเผยแพร่ออกไป เขาต้องถูกสำนักผู้ตรวจการฟ้องร้องเป็นแน่ เกรงว่าเสด็จพ่อจะด่าเขาจนไม่เหลือชิ้นดี”
ลองคิดดู ภัยพิบัติหิมะนั้นร้ายแรง พระคลังว่างเปล่า พวกเขาพยายามหาเงินเพื่อบรรเทาภัยพิบัติ เขาเป็นถึงท่านอ๋อง มีเงินแต่ไม่บริจาค กลับเอาไปทำนายดวงชะตา ใครบ้างจะไม่ด่า
เจ้าโสมน้อยมองดูสีหน้าสีดายของฉินหลิวซี อดไม่ได้ที่จะจุดเทียนให้กับจ้าวอ๋องอย่างเงียบๆ เจ้ายืนกรานมาให้ด่าถึงที่เพื่ออะไร