คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1017 ข้าไม่เชื่อเรื่องบังเอิญอยู่แล้ว
ตอนที่ 1017 ข้าไม่เชื่อเรื่องบังเอิญอยู่แล้ว
………………..
มั่วเหวินเผยรีบพาเถิงเจาออกจากจวนไป ขณะที่เหวินซื่อมองดูทารกผีตนนั้นวิ่งไปรอบๆ อย่างเหม่อลอย สูดหายใจเข้า สงบสติอารมณ์แล้วเรียกแม่บ้านคนสนิทมา สั่งให้รีบกลับตระกูลเดิมเพื่อถามท่านแม่ถึงที่มาที่ไปและที่อยู่ของนักพรตผู้นั้น
เหวินซื่อมองไปยังทารกผี เล่าเรื่องราวการตั้งครรภ์ของนางให้กับฉินหลิวซีฟังอย่างละเอียดว่า “ตั้งแต่ตั้งครรภ์ก็มีเลือดไหล นอนอยู่บนเตียงเป็นเวลาสามเดือนเพื่อปกป้องทารกในครรภ์ ตอนนั้นท่านหมอบอกแล้วว่าครรภ์อ่อนแอ ยากที่จะรักษาทารกในครรภ์ไว้ได้ และยากที่จะปกป้องให้ครบกำหนด ไม่แน่วันใดวันหนึ่งอาจจะหยุดการตั้งครรภ์ และหากทารกตัวใหญ่แล้วค่อยทำแท้ง จะยิ่งทำร้ายร่างกายของแม่ ให้ข้ารีบทำการตัดสินใจแต่เนิ่นๆ”
นางเช็ดหางตา มองดูทารกผีที่คลานอยู่บนพื้น กล่าวว่า “แต่นั่นเป็นบุตรคนแรกของข้า ในฐานะคนเป็นแม่จะทำใจได้อย่างไร ตราบใดที่มีโอกาสเพียงเส้นบางๆ ข้าก็จะรักษาเอาไว้ หากเขาเป็นคนดวงแข็งขึ้นมาล่ะ แต่ข้ากลับคิดไม่ถึงว่า…”
ฉินหลิวซีหยิบหมอนรองขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะเล็ก เอ่ยว่า “เจ้ายื่นมือมา”
เหวินซื่อวางมือลงบนหมอนรอง มองทารกผีตาไม่กะพริบ แม้ว่าเด็กจะไม่ได้น่ามอง แต่เมื่อรู้ว่าเป็นบุตรชายแท้ๆ ของตัวเอง นางก็ไม่ได้มีความกลัวแม้แต่นิด
สองนิ้วของฉินหลิวซีวางลงบนข้อมือของนาง และได้สังเกตสีหน้าของนาง เมื่อเปลี่ยนมือไปอีกข้าง ก็ได้ดูฝ้าที่เคลือบลิ้นนาง กล่าวว่า “เดิมทีร่างกายของเจ้าไม่ได้อ่อนแอ คงเป็นเพราะก่อนออกเรือนดูแลร่างกายเป็นอย่างดี”
เหวินซื่อพยักหน้า กล่าวว่า “ตอนที่ข้ายังไม่ได้ออกเรือน ท่านแม่ของข้าได้เชิญหมอมาเขียนใบสั่งยาปรับสภาพร่างกาย น้ำแกงบำรุงร่างกายก็ไม่เคยขาด แม้ว่าร่างกายจะไม่ได้ถึงขั้นไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ แต่ระดูนับว่าเป็นปกติ” นางยิ้มอย่างขมขื่นพลางกล่าวว่า “แต่บางทีข้าอาจโชคไม่ดีเล็กน้อย ในช่วงสองสามปีแรกข้าไม่เคยมีข่าวดีเลย ข้าทานน้ำแกงบำรุงร่างกายมาก็นับไม่ถ้วน ไปขอพรวัดเล็กใหญ่ในบริเวณใกล้เคียงเมืองหลวงมาหมดแล้ว จากนั้นจึงได้ตั้งครรภ์เมื่อปีที่สามเข้าปีที่สี่หลังจากแต่งงาน สวรรค์รู้ดีว่าข้ามีความสุขแค่ไหนหลังจากตั้งครรภ์ แต่มีความสุขได้ไม่นานก็ต้องนอนอยู่บนเตียงเพื่อรักษาทารกในครรภ์ สุดท้ายก็ยัง…”
นางน้ำเสียงสะอึกสะอื้น มองทารกผีด้วยความรู้สึกผิดอยู่บ้าง นางคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเด็กคนนี้จะสามารถมีชีวิตรอดได้
ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “การมีบุตรนั้นขึ้นอยู่กับวาสนา ดูจากโหงวเฮ้งของเจ้า วาสนาการมีบุตรของเจ้าไม่ได้มีมากนัก”
เหวินซื่อสีหน้าซีด กล่าวว่า “มีไม่มากหมายความว่าข้าไม่สามารถมีบุตรได้อีกแล้วหรือ”
“หากไม่ส่งเขาจากไป คงจะเป็นเช่นนั้น” ฉินหลิวซีเหลือบมองผีทารกตนนั้น กล่าวว่า “ไม่ได้เป็นเพียงเพราะเขาไม่ไปเกิดใหม่จึงทำให้เจ้าไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ แต่เป็นเพราะหากเป็นเช่นนี้ต่อไปเป็นเวลานาน พลังชีวิตของเจ้าจะถูกเขาดูดหมดจนตาย”
“เขาอยู่บนร่างกายของเจ้าทั้งวันทั้งคืน อาศัยการดูดซับพลังหยางของเจ้าจึงได้เติบโตขึ้นมาอย่างในตอนนี้ ดังนั้นเจ้าจึงได้รู้สึกหนาวเย็นร่างกายตลอดทั้งปี เพราะพลังหยินที่เต่ได้สัมผัสล้วนมาจากเขา โชคดีที่เจ้าไม่ได้อัญเชิญพระโพธิสัตว์กวนอิมมอบบุตรมาบูชาในห้อง มิเช่นนั้นเขาจะไม่กล้าเข้าไปในห้องเพราะมีรูปปั้นอยู่ และทำให้พลังความแค้นรุนแรงด้วยเหตุนี้ คิดว่าเจ้าอยากจะฆ่าเขาให้ตายกันไปข้างหนึ่ง เมื่อพลังความแค้นกลายเป็นความชั่วร้าย ก็จะกลายเป็นลูกฆ่าแม่แล้ว”
เหวินซื่อกำคอเสื้อบริเวณหน้าอก เอ่ยทั้งน้ำตาว่า “เดิมทีก็เป็นข้าที่ติดค้างเขา ชีวิตนี้คืนให้แก่เขาก็สมควรแล้ว เป็นข้าที่ไม่คู่ควรเป็นมารดาของเขา”
ราวกับทารกผีสัมผัสได้ ลอยเข้ามาหา กอดเท้าของนางไว้ คลอเคลียอย่างเสน่หา
ฉินหลิวซีเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ยาเป็นพิษสามส่วน เดิมทีร่างกายของเจ้าไม่ได้แย่ แต่ในปีนั้นร้อนใจที่อยากจะมีบุตร กินน้ำแกงยาเข้าไปมากมาย กลับทำให้หยินหยางของอวัยวะภายในเสียหาย แต่เมื่อพบว่าตั้งครรภ์จึงได้หยุดยาทันเวลา และเนื่องจากพื้นฐานแข็งแรง ไม่ถึงขั้นทำให้เด็กได้รับความเสียหายมากเกินไป หมอที่วินิจฉัยโรคให้แก่เจ้าวินิจฉัยไว้ว่าอย่างไร นี่มัน…”
ทันใดนั้นเหวินซื่อก็ใจสั่น กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “จวนจงฉินปั๋วของพวกเราก็มีท่านหมอประจำจวน ซ้ำยังเคยเป็นหมอหลวงในสำนักหมอหลวง ถูกไล่ออกเพราะกระทำผิด จึงได้มาเป็นท่านหมอประจำจวนในจวนของพวกเรา วิชาแพทย์ก็ไม่เลว และเป็นเขาที่วินิจฉัยให้ข้า บอกว่าท้ายที่สุดจะไม่สามารถรักษาเด็กเอาไว้ได้”
“แล้วเขาไปไหนล่ะ”
“เสียชีวิตแล้ว” เหวินซื่อกล่าวด้วยใบหน้าเศร้าหมอง “หลังจากที่ข้าแท้งบุตรได้ครึ่งปี เรือนของเขาก็เกิดไฟไหม้ เขาเสียชีวิตในกองไฟ”
ฉินหลิวซีเลิกคิ้ว “เช่นนั้นก็เป็นการตายโดยหาหลักฐานไม่ได้”
เหวินซื่อถามว่า “ท่านเจ้าอาวาสหมายความว่าเขาตั้งใจทำให้ข้าเข้าใจผิดหรือ”
“เจ้าเชื่อเรื่องบังเอิญหรือไม่ ข้าไม่เชื่ออยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีความจริงอยู่ตรงหน้า” ฉินหลิวซีชี้ทารกผีที่อยู่ข้างเท้านาง กล่าวว่า “ส่วนเจ้าถูกใครลอบวางแผนหรือไม่ เจ้าอยู่ที่เรือนหลังมาหลายปี ได้เห็นการแก่งแย่งชิงดีมานับไม่ถ้วน ควรจะรู้ดีอยู่แก่ใจแล้ว”
เหวินซื่อย่อมไม่เชื่อ ตอนนี้เมื่อนึกดูแล้วก็มีข้อสงสัยมากมายจริงๆ ตอนที่บุตรใกล้ครบเจ็ดเดือน แพทย์ประจำจวนหม่าก็เขียนใบสั่งยารักษาครรภ์ให้อยู่บ่อยๆ แต่ทารกกลับแย่ขึ้นเรื่อยๆ เขาถึงขั้นใช้การฝังเข็ม โน้มน้าวให้ตัวเองรีบตัดสินใจแต่เนิ่นๆ กระทั่งพบว่าเด็กไม่มีการเคลื่อนไหวแล้ว แม้แต่หมอข้างนอกต่างก็บอกว่าทารกได้ตายในครรภ์แล้ว นางจึงได้ให้เขาเขียนใบสั่งยาเร่งคลอด
ตอนนั้นหากเด็กยังมีชีวิตอยู่จริงๆ เช่นนั้นการตัดสินใจของตัวเองก็เป็นการฆ่าบุตรแล้วจริงๆ
เป็นนางที่ฆ่าบุตรชายด้วยมือของตัวเอง
นางช่างโง่เขลายิ่งนัก!
ฉินหลิวซีกลับมาพูดถึงสภาพชีพจรของนาง กล่าวว่า “หลังจากที่เจ้าแท้งบุตร เนื่องจากแท้งตอนที่ท้องโตมากแล้ว ร่างกายของแม่จึงได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก อีกทั้งเจ้ารู้สึกเสียใจและหดหู่ใจมาโดยตลอด แม้ว่าร่างกายจะฟื้นตัวแล้ว แต่กลับไม่สู้เมื่อก่อน บวกกับที่เด็กคนนี้อยู่กับเจ้า ความหนาวเย็นเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ชี่[1]และเลือดเสียหาย ความเย็นแทรกซึมเข้าไปในไขกระดูก เจ้าดื่มยามาตลอดหรือ”
เหวินซื่อพยักหน้า เรียกสาวใช้ให้ไปเอาใบสั่งยาที่ตัวเองกินในวันปกติ ยื่นให้ฉินหลิวซี
ฉินหลิวซีรับมา เมื่อมองดู ล้วนเป็นการบำรุงชี่และเลือด บำรุงกำลัง กระทั่งช่วยเรื่องการตั้งครรภ์ เอ่ยว่า “ต้นตอไม่ถูกกำจัด กินยาไปก็เปล่าประโยชน์ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสูญเสียพลังหยางอยู่ตลอด เจ้าจะกินยาบำรุงมากมายแค่ไหนก็ไม่ได้ช่วยอะไร”
เหวินซื่อก้มศีรษะลงอย่างเงียบๆ “เป็นข้าที่ติดค้างเขา”
“หากเจ้าต้องการ ตอนนี้ข้าสามารถจัดการกับเขาได้” ฉินหลิวซีมองไปยังทารกผี
ทารกผีดูกกลืนพลังหยางมาหลายปี ได้เข้าใจเรื่องราวของคนมานานแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของฉินหลิวซีก็ดวงตาแดงก่ำในทันที แยกเขี้ยวกางเล็บราวกับกำลังโมโห
ท่าทางราวกับว่าหากนางกล้าเขาก็จะสู้ตายกับนาง
ฉินหลิวซีหรี่ตาลง กล่าวอย่างเย็นชาว่า “หากเจ้ายังเกาะติดท่านแม่ของเจ้าต่อไป นางก็จะคืนชีวิตนี้ให้กับเจ้าจริงๆ แล้ว ชีวิตแลกชีวิต นับว่ายุติธรรม”
ทารกผีมองไปยังเหวินซื่อตามสัญชาตญาณ เมื่อเห็นว่านางขอบตาคล้ำและสีหน้าซีดก็เบะปาก ลอยออกห่างจากนาง ไม่กล้าเข้าใกล้อีก
เหวินซื่อเห็นดังนั้นก็น้ำตาไหลพราก อยากจะเดินไปหา “ลูกแม่ แม่ไม่กลัว เจ้ามาเถิด”
ฉินหลิวซีรั้งนางไว้ กล่าวว่า “ท่านอย่าทำเป็นเหมือนแม่ลูกผูกพันลึกซึ้ง การทำใจไม่ได้และความรู้สึกผิดของท่าน จะทำให้เขายิ่งไม่อยากจากไป การที่ผีมีความยึดติด ไม่มีประโยชน์อะไร”
เหวินซื่อตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าขยับตัว
มีเสียงเอะอะดังมาจากข้างนอก เป็นเถิงเจาและคนอื่นๆ กลับมาแล้ว
ฉินหลิวซีมองออกไป เห็นว่าเถิงเจาเสื้อผ้ายุ่งเหยิงสีหน้าซีดเล็กน้อย ส่วนมั่วเหวินเผยกลับท่าทางราวกับสูญเสียดวงจิต อดลุกขึ้นยืนไม่ได้ เดินไปที่หน้าประตู ถามว่า “เกิดอะไรขึ้น เจ้าไปต่อสู้อาคมกับใครมาหรือ”
“กรี๊ด ลูกแม่ เจ้าเป็นอะไร ท่านเจ้าอาวาส…”
ทันใดนั้นก็มีเสียงผีกรีดร้องโหยหวน ทำเอาคนศีรษะชา ฉินหลิวซีหันไปมอง สีหน้าเคร่งขรึม ร่ายคาถาไป
[1] ชี่ หรือลมปราณ หมายถึง ไหลเวียนอยู่ในร่างกายเราทุกคน เสมือนเป็นพลังงาน ของชีวิตที่ใช้ขับเคลื่อนในชีวิตประจาวัน สารขนาดเล็กในร่างกายที่มีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา