คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1025 นักบวชผู้นี้ปากร้ายมาก
ตอนที่ 1025 นักบวชผู้นี้ปากร้ายมาก
เหวินไท่ฟู่ถามตัวเองมาตลอดชีวิตที่สูงส่งของเขา เขาไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับใคร แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังให้ความเคารพเขาอยู่บ้าง แต่กลับพ่ายแพ้ให้กับฉินหลิวซีครั้งแล้วครั้งเล่า ซ้ำยังโกรธไม่ได้
ช่างเป็นเด็กรุ่นหลังที่ห้าวหาญดีจริงๆ
ฉินหลิวซีก็ไม่ได้เอาอกเอาใจเขา เดิมทีนางก็ไม่ใช่คนให้ความเคารพผู้อาวุโส แต่เขากลับแสร้งที่จะทำเช่นนั้น ทั้งยังแสร้งทำเป็นวางอำนาจ นี่ก็เหมือนกับเสือที่ไม่มีฟันไม่ใช่หรือ
เหวินไท่ฟู่ที่ทำให้ตัวเองหงุดหงิดเอง ได้แต่แสดงสีหน้านิ่งไม่พูดอะไร
เมื่อเข้าไปในลานของเหวินสือแล้ว ฉินหลิวซีก็ชะงักฝีเท้า สายตาเหลือบมองไปทางด้านขวา เห็นภาพแกะสลักหินติดอยู่บนกำแพง จึงเดินเข้าไปยืนอยู่ด้านหน้าภาพนั้น
หินแกะสลักนี้เป็นภาพแกะสลักแบบนูน เป็นภาพสาวงามสวมเสื้อผ้าคลุมไหล่แต่เปลือยอก เท้ายืนอยู่บนเมฆมงคล นางยกมือที่ถือดอกไม้ มือเรียวยาว ที่ข้อมือมีลูกปัดห้อยอยู่ ดูเหมือนมีชีวิต
“ภาพนี้…”
เหวินไท่ฟู่สีหน้าไม่น่าดูเล็กน้อย กล่าวว่า “เจ้าเด็กไม่รักดีผู้นั้นเป็นคนแกะสลัก เขาไม่มีหัวในการศึกษาเล่าเรียน แต่กลับมีพรสวรรค์ในศิลปะเป็นอย่างมาก เก่งเรื่องภาพประติมากรรมแกะสลักเป็นพิเศษ ภาพนี้แกะสลักจากหินที่เขาพบช่วงเข้าฤดูร้อน แกะสลักทั้งวันทั้งคืนเป็นเวลาสิบวัน ซ้ำยังแขวนไว้บนกำแพง ทำลายศีลธรรม หึ เมื่อทำเสร็จ ก็ทำเอาตัวเองเหนื่อยจนหมดแรง”
น้ำเสียงของเขาค่อนข้างภาคภูมิใจอยู่เล็กน้อย แต่ก็รู้สึกโกรธที่หลานชายไม่สนใจเรื่องที่จริงจัง แต่ที่มากไปกว่านั้นคือความรัก
ฉินหลิวซีเอ่ย “พวกท่านมองภาพนี้แล้วรู้สึกอย่างไร”
เหวินไท่ฟู่กล่าวด้วยสีหน้ามืดครึ้มว่า “ภาพนี้มีอะไรน่าดูกัน ข้าเห็นแล้วรู้สึกหงุดหงิด ลู่เฉวียน ไปให้ช่างฝีมือถอดรูปแกะสลักนี้ออกแล้วทุบมันเป็นชิ้นๆ “
ชุยซื่อเสวี่ยก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าสาวงามบนภาพนั้นผิดศีลธรรม เพียงแต่รู้สึกว่าเมื่อมองภาพนี้ก็รู้สึกร้อนใจและหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล
“นายท่านผู้เฒ่า ไม่ได้นะขอรับ นายท่านน้อยรองหวงแหนภาพแกะสลักหินนี้มาก ไม่ให้พวกบ่าวแตะต้องขอรับ” บ่าวรับใช้น้อยของเหวินสือพุ่งเข้ามา เอ่ยอย่างกล้าหาญ
เหวินไท่ฟู่เหลือบมองไปที่เรือนหลัก มีความเศร้าในแววตาเล็กน้อย กล่าวว่า “เขาป่วยหนักจนไม่รู้เรื่องอะไรแล้ว ไม่แน่สักวันหนึ่งก็คง…แตะต้องภาพนี้แล้วจะอย่างไร”
“หากท่านแตะต้องมัน เกรงว่าท่านจะต้องนอนป่วยอยู่บนเตียงเร็วกว่าหลานชายของท่าน และอาจจะนำหน้าเขาไปหนึ่งก้าว”
ฉินหลิวซีกล่าวอย่างเย็นชาอยู่ข้างๆ
“อะไรนะ”
เมื่อเหวินเหยี่ยนที่พาลู่สวินมาด้วยได้ยินคำพูดนี้พอดี อดตกใจไม่ได้
ลู่สวินก็ก้าวไปข้างหน้า เมื่อเห็นฉินหลิวซีก็มีสีหน้าประหลาดใจ แต่กลับคำนับเหวินไท่ฟู่ก่อน “คำนับไท่ฟู่” จากนั้นก็มองไปยังฉินหลิวซี ยิ้มพลางเอ่ย “พึ่งได้ยินจากเหวินเหยี่ยนว่าท่านมาที่ตระกูลเหวิน ข้ากำลังสงสัยว่าฟังผิดไปหรือไม่ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นท่านจริงๆ ไม่ได้พบกันนาน ท่านเจ้าอาวาสดูมีสง่าราศีมากขึ้นเรื่อยๆ”
ฉินหลิวซีพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “คุณชายลู่ก็เช่นกัน”
เหวินไท่ฟู่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่ทั้งสองรู้จักกัน แต่กลับไม่มีเวลามาสนใจสิ่งนี้ กล่าวว่า “พวกท่านอย่าพึ่งทักทายกันตอนนี้ เมื่อครู่ท่านบอกว่าไม่สามารถแตะต้องหินแกะสลักนี้ได้ หมายความว่าอย่างไร”
“ใช่แล้ว เรื่องนี้สำคัญ” ชุยซื่อเสวียก็ตกใจไม่น้อยเลย เพียงแค่หินแกะสลักภาพเดียวจะทำให้ไท่ฟู่จากไปได้ นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว ซ้ำยังแขวนไว้บนกำแพงอีก
ฉินหลิวซีมองไปยังเถิงเจาและคนอื่นๆ เชิดคางขึ้น “พวกเจ้าลองพูดมา”
เถิงเจากล่าวว่า “หินแกะสลักนี้แฝงไว้ด้วยพลังแค้นอย่างรุนแรง หากนายท่านผู้เฒ่าแตะต้องมันขึ้นมาจริงๆ ก็จะถูกวิญญาณแค้นนี้ทำร้าย หากไม่มีเครื่องรางป้องกันตัว ด้วยอายุและร่างกายของชายชราอย่างท่าน เกรงว่าจะไม่สามารถต้านทานความชั่วร้ายที่เข้าสู่ร่างกายได้”
เหวินเหยี่ยนสีหน้าซีด รีบดึงเหวินไท่ฟู่ถอยหลังหลายก้าว
เหวินไท่ฟู่ก็สับสนเล็กน้อย “พลังแค้น ภาพนี้?”
เขาโกรธจนหน้าอกกระเพื่อม เจ้าเด็กไม่รักดีแกะสลักอะไรขึ้นมากันแน่
“กล่าวให้ถูกก็คือเป็นเพราะหินก้อนนี้” ฉินหลิวซีกล่าวว่า “ท่านบอกว่าคุณชายรองเหวินเอาสิ่งนี้กลับมาลงมือแกะสลักด้วยตัวเอง ไม่ทราบว่าเขาไปได้มาจากไหน”
ลู่สวินได้กล่าวแทรกขึ้นมาในเวลานี้ว่า “เรื่องนี้ข้ารู้ ในเดือนเจ็ดของปีนี้ ข้าได้ไปทำธุระที่ภูเขาเหยา เหวินสือตามข้าไปด้วย หินก้อนนี้นั้นได้มาจากทะเลสาบแห้งเหมืองหินแห่งนั้น เนื่องจากหินก้อนนี้ถูกชะล้างด้วยน้ำในทะเลสาบ จึงเป็นมันวาวเรียบเนียนเป็นอย่างมาก ทั้งยังมีสีเขียวเข้มราวกับหยก เหวินสือจึงเอามันกลับมาด้วย”
ฉินหลิวซีหัวเราะ “ไม่แปลกใจเลยที่พลังหยินรุนแรงขนาดนี้ ที่แท้ก็เคยถูกหล่อเลี้ยงอยู่ในน้ำ เดิมทีก้อนหินเป็นหยิน น้ำก็เป็นหยิน และตัวมันเองก็มีอยู่เพื่อทำเป็นป้ายสุสาน นับเป็นหยินสองเท่า ไม่เพียงเท่านี้ ป้ายสุสานของเขา เหวินสือไม่เพียงแต่นำเอากลับมา ซ้ำยังแกะสลักลงบนก้อนหิน และภาพที่แกะสลักก็เป็นสาวงามที่ถือดอกไม้อยู่ในมือ หากข้าเป็นเจ้าของหลุมศพ ข้าก็ต้องโกรธแค้นแน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเอาไปแขวนไว้บนกำแพง”
ทุกคนต่างก็สีหน้าเปลี่ยนไป
นี่ นี่คือป้ายสุสาน?
ชุยซื่อเสวียรู้สึกว่าตัวเองมีพลังงานความดี ไม่สิ เขาเพียงพกยันต์ไฟของฉินหลิวซีติดตัวไว้ ปกป้องให้แคล้วคลาดปลอดภัย จึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ
“ใต้เท้าชุย ในเมื่อหินแกะสลักก้อนนี้แฝงไว้ด้วยพลังชั่วร้าย ท่านก็อย่าไปเข้าใกล้เลย” เหวินเหยี่ยนรีบหยุดเขาไว้
ชุยซื่อเสวียหัวเราะ ตบกระเป๋าที่พกติดตัว กล่าวว่า “ไม่ต้องกลัว ข้ามียันต์คุ้มภัย”
เขาพูดพลางเข้าไปมองใกล้ๆ อย่างละเอียด กล่าวว่า “แวววาวขนาดนี้ ไม่เห็นร่องรอยการแกะสลักตัวอักษรใดๆ เลย นี่เป็นป้ายสุสานจริงๆ หรือ”
ลู่สวินก็เข้าไปดูใกล้ๆ กล่าวว่า “ข้าเองก็มองไม่ออก”
ฉินหลิวซีเอ่ย “ป้ายสุสานบางป้าย บางทีอาจจะไม่ระบุชื่อ แม้ว่าจะมีตัวอักษร แต่ก็สลักอย่างบางๆ บวกกับที่มันถูกชะล้างด้วยน้ำไหลในทะเลสาบเป็นเวลาหลายปี ก็จะค่อยๆ ถูกขัดจนเรียบขึ้น อีกอย่าง แผ่นป้ายนี้คงจะมีอายุหลายปีแล้ว”
“พวกท่านกำลังทำอะไร” น้ำเสียงแหบแห้งอ่อนแรงดังขึ้น
ทุกคนหันกลับไป กลับเห็นเหวินสือที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ พุ่งเข้ามาอย่างทุลักทุเล ขวางอยู่ตรงหน้าภาพหินแกะสลัก มองพวกเขาอย่างระมัดระวัง “อย่าคิดแตะต้องภาพของเข้า”
“น้องรอง เจ้าลุกขึ้นมาได้อย่างไร รีบกลับเข้าไปนอน” เหวินเหยี่ยนดุบ่าวรับใช้น้อยที่ปรนนิบัติอยู่ในลานนี้ “พวกเจ้าตายกันหมดแล้วหรือ คุณชายน้อยรองออกมาก็ไม่รั้งเขาไว้”
บ่าวรับใช้น้อยคนหนึ่งรีบหยิบเสื้อคลุมตัวใหญ่มาคลุมบนร่างกายของเหวินสือ
เหวินไท่ฟู่ก็ตกใจโกรธเช่นกัน “ยังไม่พานายท่านรองของพวกเจ้ากลับไปอีก สือเอ๋อร์ ข้างนอกหนาว รีบกลับเข้าไปเถิด พวกเราเชิญหมอลัทธิเต๋ามารักษาให้เจ้าแล้ว”
ใบหน้าของเหวินสือซูบผอมและซีดเซียวเป็นอย่างมาก ไม่มีสีเลือดเลยแม้แต่นิด ขอบตาดำคล้ำ ดวงตาทั้งสองข้าเต็มไปด้วยเส้นสีแดง จุดเทียนถิงกลางหน้าผากมีเมฆดำรวมตัวกัน ทั้งร่างกายถูกปกคลุมไปด้วยพลังแค้น
ฉินหลิวซีเอ่ย “ไม่ได้เป็นโรคลมแดด แต่โดนวิญญาณร้ายจริงๆ ด้วย”
เหวินสือจ้องมองสำรวจนาง ถามว่า “เจ้าเป็นใคร”
“คนที่จะมาช่วยเจ้า”
เหวินสืออยากจะหัวเราะ เขาได้รู้จากปากของหมอทั่วไปและหมอหลวงแต่ละคนแล้วว่าเขาจะตายในไม่ช้า
ลู่สวินกล่าวว่า “น้องสือ ท่านเจ้าอาวาสอารามชิงผิงท่านนี้ ไม่ว่าจะเป็นวิชาแพทย์หรือวิชาเต๋าก็ล้วนเก่งกาจทั้งนั้น เข้าไปก่อนเถิด ข้างนอกหนาวเกินไปแล้ว”
เหวินสือฉีกปากยิ้ม ทันใดนั้นก็ไอขึ้นมา ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปาก ไม่นานก็กลายเป็นสีแดง ทำเอาปากที่ซีดเซียวก็เลอะสีแดงด้วยเช่นกัน กล่าวว่า “เจ้าอาวาสหรือ นั่นก็คือนักต้มตุ๋น ก่อนหน้านี้ก็มีไต้ซือจากวัดมาท่องพระสูตรไล่วิญญาณให้ข้า ก็ช่วยอะไรข้าไม่ได้ไม่ใช่หรือ”
ลู่สวินกับชุยซื่อเสวียอยากจะบอกว่านักต้มตุ๋นผู้นี้ไม่ใช่นักต้มตุ๋นธรรมดาทั่วไป นางมีอภินิหารจริงๆ
ฉินหลิวซีกล่าวว่า “คนอื่นช่วยไม่ได้ แต่ข้าช่วยได้! อีกอย่าง หากไม่ใช้เพราะมีไต้ซือท่องพระสูตรซ้ำยังมอบยันต์แคล้วคลาดไว้ให้เจ้าปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายออกไป เจ้าคงได้ไปพบยมบาลตั้งนานแล้ว”
เหวินสือ “…”
นี่มันนักบวชอะไรกัน ช่างปากร้ายเสียจริง!