คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1027 ช่วยได้ แต่ต้องตั้งป้ายอายุยืนให้ข้า
ตอนที่ 1027 ช่วยได้ แต่ต้องตั้งป้ายอายุยืนให้ข้า
ร่างกายของเหวินสือย่ำแย่เป็นอย่างมาก เนื่องจากพลังชั่วร้ายเข้าสู่ร่างกายและมีพลังหยินพัวพัน แต่ก็รักษาได้ไม่ยาก ฉินหลิวซีก็ไม่ได้ใช้คาถาอาคมใดๆ เพียงแต่วาดยันต์ไล่วิญญาณปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายให้เขาพกติดตัว จากนั้นก็ชี้แนะเถิงเจาในการฝังเข็มให้เขา เขียนใบสั่งยาให้คนไปต้มยามาให้ดื่ม
หลังจากทำเช่นนี้ สีหน้าของเหวินสือก็ดูดีขึ้นจริงๆ ไม่ได้หน้าซีดเหมือนผี ท่าทางราวกับใกล้จะตายเช่นเมื่อก่อนอีกต่อไป
เหวินไท่ฟู่เห็นดังนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก คิดไม่ถึงว่าชุยซื่อเสวียจะหาไต้ซือมาให้พวกเขาจริงๆ หลานชายไม่รักดีของตัวเองผู้นี้ถือว่ารอดพ้นภัยพิบัติเหตุความตายมาได้แล้วกระมัง
ชุยซื่อเสวียกล่าวกับเหวินไท่ฟู่ด้วยรอยยิ้มว่า “ไท่ฟู่ ท่านดูสิ เมื่อผู้เชี่ยวชาญลงมือ ก็รู้ว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ ข้าได้แก้ไขปัญหาในครอบครัวของท่านแล้ว สัญญาที่ท่านให้ไว้ก่อนหน้านี้ ท่านจะว่าอย่างไร”
เหวินไท่ฟู่สบถเบาๆ กล่าวว่า “แต่ว่าก็ยังไม่ได้ไปหาศพเจ้าของป้ายนั้นไม่ใช่หรือ เรื่องนี้ยังไม่จบ”
ชุยซื่อเสวียกล่าวว่า “ท่านเจ้าอาวาสทำอะไรไม่เคยปล่อยทิ้งกลางทาง แม้ว่านางจะปากร้าย แต่จิตใจดี”
เหวินไท่ฟู่ไม่ได้กล่าวอะไร
เหวินเหยี่ยนได้กล่าวกับฉินหลิวซีว่า “แม้ว่าจะได้รับคำชี้แนะจากท่านเจ้าอาวาส แต่การไปภูเขาเหยาครั้งนี้ หากไม่มีผู้เชี่ยวชาญอย่างท่านคอยชี้แนะอยู่ข้างๆ เกรงว่าน้องรองกับผู้ที่พาไปด้วยจะไปฝ่าฝืนข้อห้ามทำให้คำชี้แนะของท่านเสียเปล่า ดังนั้นท่านคิดว่าจะสามารถติดตามไปด้วยได้หรือไม่ ก็ไม่ต้องทำอะไร เพียงแค่คอยให้คำแนะนำอยู่ข้างๆ ก็พอ เรื่องหาศพนั้น เขาย่อมเป็นคนพาคนไปตามหาด้วยตัวเอง”
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่เพียงแค่หาศพเจอแล้วก็จะจบเรื่อง ซ้ำยังมีเรื่องเวรกรรม พวกเขาล้วนเป็นคนธรรมดาทั่วไป ไหนเลยจะรู้ว่าในนั้นมีข้อห้ามอะไรบ้าง โดยเฉพาะทะเลสาบแห้งแห่งนั้นก็ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ที่นั่น และยิ่งไม่รู้ชัดเจน หากเกิดเรื่องแปลกๆ ขึ้นมาจะทำอย่างไร
ฉินหลิวซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลู่สวินกล่าวอยู่ด้านข้างว่า “ข้าสามารถไปกับท่านอาจารย์ได้ เมื่อเรื่องนี้จบลง ตระกูลเหวินจะต้องขอบคุณอย่างสุดซึ้งแน่นอน”
ฉินหลิวซีนับข้อนิ้วทำนาย มีบางอย่างผุดขึ้นมาในหัว เดินไปที่หน้าประตู มองดูพลังมงคลของจวนเหวิน จากนั้นก็กลับมา กล่าวกับเหวินไท่ฟู่ว่า “หากข้าสามารถตามไปช่วยชี้แนะและแก้ไขได้ก็จะดี ซึ่งก็ไม่ได้ต้องการให้พวกท่านตอบแทนน้ำใจมากมายอะไร เพียงแต่มีคำขอหนึ่งข้อเท่านั้น”
ดวงตาเฒ่าของเหวินไท่ฟู่เป็นประกาย กล่าวว่า “อะไรหรือ”
ทุกคนตกตะลึง ป้ายอายุยืน ?
เจ้าโสมน้อยมองไปยังฉินหลิวซี เอียงศีรษะเล็กน้อย จากนั้นก็มองไปยังเหวินไท่ฟู่อย่างครุ่นคิด
เถิงเจาก็ประหลาดใจเช่นกัน ท่านอาจารย์ไม่เคยขอให้ใครตั้งแผ่นป้ายอวยพรอายุยืนให้นาง ตอนนี้กลับมีคำขอเช่นนี้กับจวนเหวิน มีความสำคัญอะไรหรือ
แน่นอนว่าเป็นเรื่องสำคัญ เหวินไท่ฟู่เดิมทีก็เป็นอาจารย์ของฮ่องเต้ ดาวเหวินฉวี่[1]ลงมาสู่โลกมนุษย์ จวนเหวินที่เขาอาศัยอยู่ย่อมมีพลังอันบริสุทธิ์ของเหวินชาง[2] หากนางตั้งแผ่นป้ายอายุยืนและได้รับการบูชาที่นี่ ย่อมมีพลังของเหวินชางคอยคุ้มครอง บางทีในภายภาคหน้าเมื่อนางเผชิญหน้ากับซื่อหลัว ก็จะมีโอกาสชนะมากขึ้นกระมัง
แต่อย่างไรก็ตาม ฉินหลิวซีก็ไม่ได้อธิบายเรื่องนี้กับพวกเขา
การตั้งป้ายอายุยืนบูชาทั้งกลางวันและกลางคืนก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ไม่ได้ เหวินไท่ฟู่จึงตอบตกลง เขาเองก็รู้ว่าป้ายอายุยืนนั้นนับว่าเป็นความเชื่อ กระทั่งยังกล่าวอีกว่า “ตราบใดที่ท่านสามารถช่วยข้าแก้ไขปัญหานี้ได้ ข้าสัญญากับท่าน ถึงแม้ว่าข้าจะไม่อยู่แล้ว ตราบใดที่ตระกูลเหวินยังไม่ล้มลง ป้ายอายุยืนของท่านนี้ก็จะคงอยู่ตลอดไป ตระกูลเหวินของข้าจะมีคนคอยจุดธูปบูชา”
ฉินหลิวซีเลิกคิ้วพลางเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะเดินทางไปกับคุณชายรองด้วย”
ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายแล้ว ข้างนอกมีหิมะตกลงมาอีกครั้ง ฉินหลิวซีและคนอื่นๆ จึงอาศัยอยู่ที่ตระกูลเหวิน รอจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นค่อยออกเดินทางไปยังภูเขาเหยาแห่งนั้น ก่อนจะถึงเวลานั้นก็ต้องเตรียมสิ่งของบางอย่าง
เช้าวันรุ่งขึ้น รถม้าขนาดใหญ่ของจวนเหวินก็ออกจากเมือง ล้อมรอบด้วยองครักษ์ขี่ม้าสูงใหญ่สิบกว่าคน เมื่อมาถึงนอกเมือง ลู่สวินพาบ่าวรับใช้น้อยและองครักษ์รออยู่ที่นั่น เมื่อเห็นรถม้าขนาดใหญ่ก็โยนสายบังเหียนทิ้ง เข้าไปนั่งในรถม้า
ในรถอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งแตกต่างจากภายนอกโดยสิ้นเชิง
“รถม้าคันนี้ หรือว่าจะปูเตาไว้ข้างล่าง เหตุใดจึงได้อบอุ่นเช่นนี้” ลู่สวินอยากรู้เป็นอย่างมาก รถม้าทั่วไป แม้ว่าจะมีที่กำบัง แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะไม่หนาวเลยแม้แต่นิด ทันทีที่เขาเข้ามาก็รู้สึกว่าเสื้อผ้าหนาๆ ที่สวมมานั้นเป็นส่วนเกิน ร้อนมาก
เหวินสือหดตัวอยู่มุมหนึ่ง เหลือบมองฉินหลิวซี จากนั้นก็เหลือบมองไปยังยันต์หลายแผ่นที่ติดอยู่ในรถ กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงว่า “พี่ใหญ่ลู่ล้อเล่นแล้ว ทั้งเมืองหลวงไหนเลยจะสามารถหารถม้าที่วางเตาไว้ข้างล่างได้”
“เช่นนั้นนี่คือ…”
“ติดยันต์ไฟไว้สามสี่แผ่น” ฉินหลิวซีอธิบายด้วยรอยยิ้ม
ยันต์เต๋านี้มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาจริงๆ ซ้ำยังมีของดีอย่างยันต์ไฟเหล่านี้ด้วย สิ่งนี้ไม่ดีกว่าเตาพกพาของบรรดาสตรีหรอกหรือ
ไม่รู้ว่าหลังจากกลับไปแล้วจะสามารถดึงยันต์กลับไปได้ด้วยหรือไม่
เหวินสือเห็นลู่สวินจ้องมองยันต์เหล่านั้น ดวงตาเป็นประกาย ใจเต้นเล็กน้อย พี่ใหญ่ลู่คงไม่ได้คิดที่จะเอายันต์เหล่านี้ไปหรอกกระมัง
ลู่สวินสังเกตเห็นความระมัดระวังในสายตาของเหวินสือ ฉีกปากยิ้มอย่างอึดอัด เจ้าเด็กคนนี้ยังคงหวงของเช่นเคย เขาก็แค่เหลือบมองยันต์เหล่านั้นเฉยๆ ไม่ใช่หรือ มองราวกับว่าเขาจะแย่งไปเสียอย่างนั้น เหอะ
ระยะทางจากเมืองหลวงถึงเหมืองหินภูเขาเหยา หากขี่ม้าเร็วเพียงแค่วันเดียวก็ถึงแล้ว เมื่อไปถึงเขตพื้นที่นั้น ฟ้าก็มืดลงแล้ว ขบวนเดินทางของพวกเขาจึงทำได้เพียงพักอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลเหมยบริเวณใกล้เคียงเหมืองหินเป็นการชั่วคราว
แต่ฉินหลิวซีและคนอื่นๆ กลับถูกซุ้มประตูหลายซุ้มที่ทางเข้าหมู่บ้านทำให้ตกตะลึง
เมื่อต้องการเข้าพัก ตระกูลเหวินได้ให้บ่าวรับใช้ขี่ม้าเร็วมาจัดการสิ่งต่างๆ แต่เนิ่นๆ แล้ว ตอนนี้ผู้ที่รออยู่หน้าประตูทางเข้าหมู่บ้านแห่งนี้คือผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านตระกูลเหมย เมื่อเห็นว่าพวกเขาตกตะลึงซุ้มประตูหมู่บ้าน ขณะที่กำลังจะกล่าว ลู่สวินก็ได้อธิบายแก่ฉินหลิวซีแล้ว
“เหล่านี้คือซุ้มประตูที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงหญิงหม้ายบริสุทธิ์ที่เสียไปแล้วของคนในหมู่บ้านตระกูลเหมย มีที่หมดหกซุ้ม ด้วยเหตุนี้หมู่บ้านตระกูลเหมยจึงมีชื่อเสียงในด้านศีลธรรม”
ผู้ใหญ่บ้านเหมยสีหน้าภาคภูมิใจ เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเกียรติของสตรีที่ยึดมั่นในรักเดียว หมู่บ้านตระกูลเหมยของพวกเราก็ยังเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นหมู่บ้านของสตรีผู้เสียสละ ตอนนี้ในหมู่บ้านมีสตรีที่เสียสละมากกว่าสิบสามคน”
ฉินหลิวซีได้ฟังดังนั้นก็กลั้นหัวเราะไว้แล้วละสายตาไป สีหน้าไม่เห็นด้วย หากมองดูอย่างละเอียด จะเห็นว่าสายตาของนางมีความรังเกียจ แต่นางไม่ได้กล่าวอะไรทั้งนั้น
ลู่สวินหูตาไวเป็นอย่างมาก สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงอารมณ์ของฉินหลิวซี ซ้ำยังเหลือบมองนาง เห็นว่าแม้ว่าสีหน้าของนางจะเรียบเฉย แต่ใบหน้าของนางเย็นชาอย่างเห็นได้ชัด จึงมองไปยังซุ้มประตูเหล่านั้นตามสัญชาตญาณ หรือว่าซุ้มประตูเหล่านั้นก็มีพลังความแค้นอันชั่วร้ายอะไรเหล่านั้นด้วย
เมื่อผู้ใหญ่บ้านเหมยนำทางอยู่ด้านหน้า ลู่สวินก็จงใจเดินช้าไปหนึ่งก้าว มาอยู่ข้างกายฉินหลิวซี ถามเสียงเบาว่า “หมู่บ้านแห่งนี้มีอะไรผิดปกติหรือ”
ฉินหลิวซีหัวเราะ กล่าวว่า “หากมีอะไรผิดปกติ นายท่านน้อยลู่จะทวงความยุติธรรมให้กับสตรีผู้เสียสละเหล่านี้หรือไม่”
ลู่สวิ๋นตกตะลึง เป็นปัญหาของสตรีผู้เสียสละหรือ
เขาหันกลับไปมอง เห็นว่าซุ้มประตูหินเหล่านั้น เมื่ออยู่ภายใต้ความมืดมิดกลับทำให้คนรู้สึกราวกับว่ากำลังแยกเขี้ยวยิงฟัน น่ากลัวราวกับสัตว์ร้าย
[1] ดาวเหวินฉวี่ คือ ชื่อของดวงดาวอันดับที่สี่ในกลุ่มดาวกระบวยใหญ่ (กลุ่มดาวจระเข้) เชื่อว่าเป็นดวงดาวแห่งการศึกษา สติปัญญา ศาสตร์ต่างๆ
[2] เทพเหวินชาง เป็นเทพเจ้าจีน โดยนับถือว่าเป็นเทพแห่งการศึกษา การรับราชการ และการสอบเข้าจอหงวน