คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1028 ใส่ใจทำไม หมู่บ้านกระจอกๆ นี้คู่ควรด้วยหรือ!
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 1028 ใส่ใจทำไม หมู่บ้านกระจอกๆ นี้คู่ควรด้วยหรือ!
ตอนที่ 1028 ใส่ใจทำไม หมู่บ้านกระจอกๆ นี้คู่ควรด้วยหรือ!
แม้ว่าจะพักค้างคืนที่หมู่บ้านสตรีผู้เสียสละแห่งนี้ แต่ฉินหลิวซีก็ไม่ได้นอน เพียงแต่นั่งขัดสมาธิทำสมาธิอยู่บนเตียง เถิงเจาเห็นดังนั้นก็ทำตาม
เจ้าโสมน้อยที่คิดว่าตัวเองไร้ประโยชน์ก็นอนหลับไปอย่างไม่ลังเล กลางดึกเขาก็ได้เดินออกไปยิงกระต่ายอย่างสะลึมสะลือ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ร้องตะโกนออกมา
ฉินหลิวซีลืมตาขึ้นมาในทันที กระโจนออกมาอย่างรวดเร็วไปที่หน้าประตู กล่าวว่า “ร้องโวยวายอะไรกัน”
เถิงเจามองสำรวจไปรอบๆ พลางขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ย “มีพลังหยิน”
“ผี มีผี เมื่อครู่นี้มันจ้องมองมาที่ข้า แล้วก็หายไปในพริบตา” เจ้าโสมน้อยกล่าวด้วยความสั่นเทา
ลู่สวินและคนอื่นๆ ก็ตามมาเมื่อได้ยินเสียง เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็พากันมองไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น “อยู่ไหน”
เจ้าโสมน้อยชี้ไปที่ป่าอันมืดมิด “มันหายไปตรงนั้น”
ฉินหลิวซีเหลือบมอง เอ่ยเสียเรียบว่า “เอาล่ะ เลิกพูดเรื่องผีได้แล้ว แม้ว่าจะมี ก็ใช่เรื่องที่เจ้าจะตะโกนโวยวายเช่นนี้หรือ ต่อให้มีผีก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้ ตื่นตระหนกทำไมกัน”
นางกล่าวพลางเหลือบมองไปทางห้องด้านขวา เมื่อผู้ใหญ่บ้านเหมยได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็สวมชุดคลุมเดินออกมา ฉินหลิวซีเหลือบมองเขา ทั้งสองคนสบตากัน เขารู้สึกร้อนตัวขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล
“กลับไปนอนเถิด” ฉินหลิวซีหันหลังแล้วเดินจากไป
ทุกคนเห็นดังนั้นก็มองหน้ากัน แต่ต่างคนก็กลับไปที่ห้องของตัวเอง
เจ้าโสมน้อยกล่าวว่า “ข้าดูไม่ผิดจริงๆ นะ เป็นผีผู้หญิง”
เถิงเจาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวว่า “บางทีอาจจะเป็นดวงวิญญาณในหมู่บ้านแห่งนี้”
ขณะที่กล่าวคำพูดนี้เขาก็มองไปยังฉินหลิวซี อยากรู้ความเห็นของนาง
ฉินหลิวซีน้ำเสียงเย็นชา กล่าวว่า “สตรีบริสุทธิ์ผู้เสียสละไหนเลยจะเป็นง่ายเช่นนั้น ต้องหักห้ามใจและอยู่กับความเหงา บางทีชื่อเสียงนี้อาจเป็นโซ่ตรวนหนักที่กดทับทำให้คนหายใจไม่ออก มีสตรีบางคนไม่ได้เต็มใจที่จะเป็นสตรีบริสุทธิ์ผู้เสียสละอะไรเหล่านั้น รักษาชื่อเสียงสตรีผู้เสียสละทั้งชีวิตอย่างโดดเดี่ยวโดยเปล่าประโยชน์ ซุ้มประตูหกซุ้มหน้าทางเข้าหมู่บ้านแห่งนั้น มีสี่ซุ้มที่แฝงไว้ด้วยพลังความแค้น”
ซึ่งหมายความว่าอย่างน้อยเจ้าของซุ้มประตูทั้งสี่ก็ไม่ได้สมัครใจที่จะเป็นสตรีบริสุทธิ์ผู้เสียสละอะไรนั่น
“แล้วผีที่ข้าพึ่งเห็นเมื่อครู่นี้ ใช่ดวงวิญญาณเหล่านั้นหรือไม่” เจ้าโสมน้อยเอ่ยถาม
ฉินหลิวซีกล่าวว่า “ใช่หรือไม่ใช่ สำคัญด้วยหรือ”
ทั้งสองคนเงียบไป เมื่อเห็นนางไม่กล่าวอะไรอีกแล้วนั่งทำสมาธิอีกครั้ง พวกเขาจึงหยุดถาม
เพียงแต่ช่วงครึ่งคืนหลัง พวกเขาก็ได้ยินเสียงผีร้องไห้คร่ำครวญอย่างเศร้าใจ น่าสงสารเป็นอย่างมาก
ฉินหลิวซีหันไป กล่าวดุด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “หากยังร้องอีกข้าจะทำให้เจ้าวิญญาณแตกสลาย”
เสียงร้องไห้หยุดลง
หลังจากนั้นไม่นานก็เริ่มสะอึกสะอื้นอีกครั้ง
ไม่จบไม่สิ้นกันเสียที!
ฉินหลิวซีเสกคาถาไปที่หน้าต่าง ได้ยินเสียงกรีดร้องดังขึ้น เสียงร้องไห้ได้หยุดไปในที่สุด เพียงแต่ไม่นานในห้องก็เต็มไปด้วยความหนาวเย็น ในไม่ช้าก็มีร่างผีเข้ามาทางรอยแยกของหน้าต่าง มองฉินหลิวซีอย่างเงียบๆ สายตาขุ่นเคืองราวกับมองดูบุรุษทรยศ
“ทั้งๆ ที่รู้ว่ามีไต้ซืออยู่ที่นี่ เจ้าก็ยังกล้ามา” ฉินหลิวซีมองดูสตรีวัยยี่สิบปีสวยชุดขาวถักผมเปียใหญ่อย่างเย็นชา เอ่ยขึ้นว่า “หากเจ้ามีความแค้นก็ไปแก้แค้น มาหาข้าทำไม”
“อาจารย์ ข้า ข้ามิกล้า!” ผีสาวชุดขาวคุกเข่าลง มองนางอย่างเขินอาย กล่าวว่า “ข้าเป็นหม้าย แต่ข้าไม่ได้อยากเป็นสตรีบริสุทธิ์ผู้เสียสละเลยแม้แต่นิด เป็นพวกเขาที่บังคับให้ข้าเป็น ข้าอยากจะหนี พวกเขาก็ฝังข้าไว้ในห้องใต้ดิน ไม่ให้กินให้ดื่ม ทำให้ข้าอดตายทั้งเป็น จากนั้นก็บอกกับคนภายนอกว่าข้าร้องไห้ให้แก่สามีผู้ล่วงลับจนตายโดยไม่เคยได้เห็นหน้ากันมาก่อนด้วยซ้ำ ช่างน่าขันยิ่งนัก”
ฉินหลิวซีมองนางพลางเอ่ย “กล้าวิ่งมาหาข้าถึงที่ เหตุใดจึงไม่กล้าไปคิดบัญชีกับคนที่ทำร้ายเจ้า”
“พวกเขาร้อนตัว ไปขอยันต์และเทพผู้พิทักษ์เรือนมาบูชา ข้าไม่กล้าเข้า เทพประตูนี้ก็ไม่ใช่เทพประตูที่ดีอะไร คนเช่นนี้ก็ยังไปปกป้องพวกเขา ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย” ผีสาวชุดขาวกล่าวด้วยความโกรธ
เจ้าโสมน้อยกล่าวว่า “พวกเขาคงไม่สามารถทำตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดองไม่ออกจากเรือนตลอดชีวิตได้หรอกกระมัง ตราบใดที่พวกเขาออกจากเรือน เจ้าก็ยังหาโอกาสไม่ได้อีกหรือ”
“พวกเขาพกยันต์แคล้วคลาดติดตัวไปด้วย”
ฉินหลิวซีกล่าวว่า “เจ้าอยากแก้แค้น ย่อมหาโอกาสได้เสมอ เมื่อยันต์แคล้วคลาดถูกทำลาย ก็ปกป้องให้แคล้วคลาดไม่ได้แล้ว แต่เจ้าต้องคิดให้ดี หากเจ้าเอาชีวิตคนไป เมื่อไปคิดบัญชีบุญกรรมที่ยมโลก ก็ต้องถูกลงโทษ”
ผีสาวชุดขาวเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง “แล้วบัญชีที่พวกเขาฆ่าข้าล่ะ”
“ก็จะถูกตัดสินเช่นกัน” ฉินหลิวซีกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “หากกรรมดีกรรมชั่วไม่มีผลตอบแทน เช่นนั้นจักรวาลย่อมเห็นแก่ตัว และบุญกรรมของคนนั้น ใต้หล้าย่อมรับรู้ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลว่าคนชั่วจะไม่ได้รับผลกรรม”
ผีสาวชุดขาวเม้มริมฝีปาก เงียบไปนานก่อนที่จะโค้งคำนับให้ฉินหลิวซีแล้วจากไป
เจ้าโสมน้อยเอ่ย “ข้าคิดว่าท่านจะรับนางไว้”
ฉินหลิวซีกล่าวว่า “หากนางอยากไปก็คงไปตั้งนานแล้ว เมื่อครู่ก็จะขอให้ข้าส่งนางไป แต่นางไม่ได้ขอ ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่นางเลือก ข้าจะไปบังคับนางทำไม”
“หากไต้ซือท่านอื่นรู้เขา เกรงว่าจะถ่มน้ำลายใส่เจ้า” เจ้าโสมน้อยบ่นพึมพำ
ฉินหลิวซีหัวเราะอย่างไม่เห็นด้วย “เจ้าคิดว่าข้าเคยกลัวด้วยหรือ”
นางมองออกไปนอกหน้าต่างพลางเอ่ย “หมู่บ้านที่กล้าทำสิ่งชั่วร้าย ก็ต้องกล้าที่จะรับโทษของบาปที่ทำด้วย”
นางจะไปสนใจทำไม หมู่บ้านกระจอกๆ เช่นนี้คู่ควรด้วยหรือ!
เถิงเจากับเจ้าโสมน้อยมองหน้ากัน ไม่ได้กล่าวอะไรอีก
เช้าของวันรุ่งขึ้น ฉินหลิวซีและพรรคพวกถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยเสียงกรีดร้องอันน่าสะพรึงกลัวในหมู่บ้าน
เดิมทีฉินหลิวซีไม่ได้อยากไปยุ่งมากนัก แต่ระหว่างทางที่พวกเขาจะไป ได้ผ่านบ้านหลังหนึ่ง มีชาวบ้านจำนวนไม่น้อยมุ่งอยู่หน้าประตูชะเง้อมอง อย่างไรเสียลู่สวินก็เป็นขุนนางในราชสำนัก เมื่อให้คนหลบไป ก็ได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในลาน
หญิงชราวัยห้าสิบปีคนหนึ่งเอนกายอยู่ใต้ชายคา มือทั้งสองข้างบีบคอ ดวงตาถลนออกมา ลิ้นจุกปาก ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ก็ไม่รู้ว่าเห็นอะไรเข้า ที่ผนังห้องด้านหลังของนางเขียนด้วยตัวอักษรสีแดงไว้ว่า ฆ่าคนชดใช้
และข้างหญิงชราก็มีสาวน้อยคนหนึ่งกำลังร้องไห้หาแม่
ชาวบ้านพากันชี้มือชี้ไม้ บางคนก็สีหน้าซีดร้อนตัวอย่างเห็นได้ชัด ซ้ำยังหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก
ฉินหลิวซีมองไป ผีสาวชุดขาวตนนั้นดวงตาแดงก่ำเป็นสีเลือด บนตัวมีพลังชั่วร้ายติดอยู่ นางได้กลายเป็นผีร้ายแล้ว นางกำลังจ้องมองไปยังผู้ใหญ่บ้านเหมยที่มาอย่างเร่งรีบ พลังแค้นล้นทะลักออกมา
ราวกับรับรู้ถึงสายตาของฉินหลิวซี นางมองมา สายตาหลบเลี่ยงเล็กน้อย แต่ในไม่ช้าก็กลับมามั่นคงอีกครั้ง ลอยไปอยู่ข้างหลังผู้ใหญ่บ้านเหมย เป่าพลังผีที่ข้างหูของเขา ราวกับกระซิบภาษาผี
ฉินหลิวซีเห็นผู้ใหญ่บ้านเหมยสะดุ้งอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าหม่นหมองซีดขาว ซ้ำยังกวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง เมื่อสังเกตถึงสายตาของนางก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นเรื่อยๆ และผีสาวชุดขาวตนนั้นก็หายไปในทันที
ฉินหลิวซีถอนหายใจเบาๆ
“นี่โดนวิญญาณร้ายหรือ” เหวินสือไม่รู้ว่ามายืนข้างนางตั้งแต่เมื่อไหร่ เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ก็กล่าวพึมพำว่า “นี่มันน่าสงสารเกินไปแล้วกระมัง”
ฉินหลิวซีแสยะยิ้ม “นางน่าสงสาร ผู้ที่น่าสงสารย่อมมีสิ่งที่น่าเกลียดชัง หากไม่ทำบาปทำกรรม ก็ไม่ต้องมาชดใช้กรรมเช่นนี้ ชีวิตแลกด้วยชีวิต ยุติธรรม”
นางกล่าวจบก็จากไป เมื่อเดินผ่านผู้ใหญ่บ้านเหมยก็เอ่ยขึ้นมาว่า “บาปกรรมที่พวกเจ้าทำ ย่อมต้องชดใช้ หากเจ้ายังมีความเป็นคนก็จัดการซุ้มประตูเหล่านั้นซะ เพื่อไม่ให้หมู่บ้านสตรีผู้เสียสละกลายเป็นตำนานหมู่บ้านสตรีผู้เสียสละขึ้นมาจริงๆ”
เมื่อทำบาปทำกรรมมามาก หมู่บ้านแห่งนี้ก็จะไม่มีอยู่อีกต่อไป
ตอนนี้เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น