คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1032 ตะขอทองตกน้ำเป็นลางร้าย
ตอนที่ 1032 ตะขอทองตกน้ำเป็นลางร้าย
เซวียปั๋วเจิ้นไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีของฉินหลิวซี บุตรสาวหายตัวไปเป็นเวลาสามวันแล้ว เขาก็ส่งคนออกไปตามหาไม่น้อย แต่กลับไม่มีร่องรอยของนางเลย
เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะไปพึ่งพาคนนอกอย่างลัทธิเต๋า แต่ตอนนี้ฉินหลิวซีอาสาขึ้นมาเอง ซ้ำยังมีลู่สวินกับเหวินสือรับรอง ภายใต้สถานการณ์ที่สิ้นหวัง จงใช้ความพยายามสุดท้ายรักษาไว้
ฮูหยินเซวียแอบหนีออกมา เซวียปั๋วเจิ้นทราบข่าวก็ไล่ตามมา เขาออกมาอย่างเร่งรีบ ย่อมไม่ได้พกสิ่งของของบุตรสาวติดตัวมาด้วย เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เห็นว่าสายตาของฉินหลิวซีชัดเจนและกระตือรือร้น จึงตัดสินใจแน่วแน่ ยืมกระดาษและพู่กันมาเขียนแปดอักษรเวลาตกฟากของบุตรสาว
กลุ่มคนยังไม่ทันได้เข้าเมือง คุยกันอยู่ในรถม้าขนาดใหญ่ของเหวินสือ ยื่นแปดอักษรเวลาตกฟากไปให้ จากนั้นเซวียปั๋วเจิ้นก็ตระหนักได้ถึงความอบอุ่นในรถม้า เขาร้อนมากในเสื้อคลุมหนาๆ ของตัวเอง
เขามองสำรวจรถม้า กระทั่งลูบพรมในรถม้า ในรถม้าก็ไม่ได้มีเตาเผา เหตุใดจึงได้อบอุ่นขนาดนี้
ฉินหลิวซีรับแปดอักษรเวลาตกฟากมา นางเหลือบมองดูแล้วนับข้อนิ้วทำนายเล็กน้อย ก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นมา เป็นเสาหยินบริสุทธิ์สี่ต้น
“เกิดอะไรขึ้นหรือ” เซวียปั๋วเจิ้นเห็นว่าสีหน้าของฉินหลิวซีไม่ค่อยดีพลันใจเต้นแรงขึ้นมา กล่าวว่า “มีอะไรที่ไม่เหมาะสมหรือ”
“แปดอักษรของนางเป็นเสาหยินบริสุทธิ์สี่ต้น ในภาษาของลัทธิเต๋านางเป็นสตรีหยินบริสุทธิ์ ร่างกายอ่อนแอป่วยง่ายแต่กำเนิด แต่ตราบใดที่หมั่นออกกำลังกาย ร่างกายก็จะสามารถมีชีวิตยืนยาวได้ ปีนี้นางอายุสิบสองปี ครบรอบวงจรใหญ่ ปีนี้ไม่ราบรื่น มีภัยพิบัติเล็กๆ น้อยๆ ไม่ขาดสาย และมีเคราะห์กรรมติดตัว”
ใบหน้าของเซวียปั๋วเจิ้นแตกสลายเล็กน้อย เอ่ยว่า “ท่านพูดถูก ปีนี้ลูกข้าเจ็บป่วยอยู่บ่อยๆ เดินอยู่บนถนนดีๆ ก็ล้มกระดูกหักต้องรักษาเป็นเวลาสามเดือน ตอนนี้เนื่องจากเข้าสู่ฤดูหนาวทำให้ร่างกายหนาวเย็น จึงได้ติดตามท่านแม่ของนางไปที่หมู่บ้านน้ำพุร้อนนอกเมืองหลวงเพื่อหลีกเลี่ยงฤดูหนาว กลับคิดไม่ถึงว่านางจะหายตัวไปในหมู่บ้าน”
ขณะที่เขากล่าวก็ขอบตาแดงเล็กน้อย “พวกเราสามีภรรยามีบุตรสาวเพียงคนเดียวเท่านี้ และเนื่องจากนางร่างกายอ่อนแอและป่วยบ่อยมาตั้งแต่เด็กจึงรักและเอ็นดูนางเป็นอย่างมาก จะบอกว่าเป็นชีวิตเลยก็ว่าได้ แต่…ท่านอาจารย์บอกว่าเป็นเคราะห์กรรมชีวิต จึงได้หายตัวไปเช่นนี้?”
ฉินหลิวซีพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของนาง สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย มองไปที่เขา กล่าวว่า “ท่านเป็นขุนนางสำนักไหน ส่งคนไปตรวจสอบสักหน่อยว่าช่วงนี้มีสตรีหายตัวไปหรือไม่ อายุไม่เกินสิบห้าปี แม้ว่าจะไม่ใช่สิบห้าปี ก็ต้องเป็นสตรีที่ยังไม่ได้แต่งงาน”
เซวียปั๋วเจิ้นตกตะลึง ขมวดคิ้วพลางเอ่ย “ท่านหมายความว่ามีการก่ออาชญากรรมเป็นกลุ่มหรือ”
“เรียกไม่ได้ว่าเป็นกลุ่ม แต่ผู้ที่หายตัวไป มีแปดอักษรเช่นเดียวกันกับคุณหนูเซวีย ล้วนเป็นหยินบริสุทธิ์” ฉินหลิวซีกล่าวด้วยเสียงเบาลงว่า “ช่วงนี้มีคนกำลังจับตัวสตรีที่เป็นหยินบริสุทธิ์”
“เป็นเพราะเหตุใดกัน” จับตัวคนไปขาย ยังต้องดูแปดอักษรด้วยหรือ
เซวียปั๋วเจิ้นพึ่งจะถามออกไป ทันใดนั้นก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ มองฉินหลิวซีพลางเอ่ย “มีคนต้องการใช้สตรีที่มีแปดอักษรเช่นนี้ไปทำวิชามารหรือ”
แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยรู้เรื่องวิชามารมากนัก แต่ก็เคยได้ยินมาบ้าง วิชาที่พบบ่อยที่สุดคือวิชาคุณไสยที่มีคนพูดถึง ตอนนี้นักพรตหญิงผู้นี้ได้ให้ความสำคัญเรื่องแปดอักษรที่เป็นหยินบริสุทธิ์ หรือว่ามีคนต้องการจับสตรีที่เป็นผู้บริสุทธิ์เหล่านั้นไปทำวิชามาร?
เซวียปั๋วเจิ้นสีหน้าดูแย่เป็นอย่างมาก
“ตอนนี้ยังไม่รู้ แต่เป็นไปได้ถึงแปดหรือเก้าในสิบส่วน” การเลือกแปดอักษรเวลาตกฟากที่แม่นยำเพื่อเอาตัวคนไป ย่อมเป็นเพราะทำวิชาที่ชั่วร้ายจึงได้เลือกคนเช่นนี้
เซวียปั๋วเจิ้นรีบยกผ้าม่านรถขึ้นทันที เรียกคนสนิทของตัวเองมา ให้คนรีบไปตรวจสอบที่สำนักราชการทันที
ลู่สวินกับเหวินสือไม่ได้อยู่ในรถคันนี้ เมื่อเห็นเขาสีหน้าดูย่ำแย่ก็หันมองหน้ากัน ก่อนจะเดินมาหาแล้วถามว่า “ใต้เท้าเซวีย มีอะไรที่พวกเข้าสามารถช่วยได้หรือไม่”
เซวียปั๋วเจิ้นมองไปยังฉินหลิวซี
ฉินหลิวซีกล่าวว่า “ช่วงนี้มีคนจับตัวสตรีที่มีแปดอักษรเป็นหยินบริสุทธิ์ ใต้เท้าลู่สังเกตการณ์ไว้สักหน่อย ก็ไม่รู้ว่าในเมืองมีสตรีที่เป็นแปดอักษรหยินบริสุทธิ์หายไปหรือไม่”
ลู่สวินสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย มีนักพรตมารกำลังทำวิชาชั่วร้ายเช่นนั้นอยู่หรือ
“ความจริงก็ไม่จำเป็นต้องไปสืบอย่างละเอียด หากท่านสามารถหาตัวบุตรสาวของข้าพบ คาดว่าจะต้องมีคนที่เป็นเช่นเดียวกันกับนางอยู่ที่นั่นด้วย” เซวียปั๋วเจิ้นกล่าว
ฉินหลิวซีพยักหน้า ทำนายโชคลาภและโชคร้ายของแปดอักษรนั้นอีกครั้ง และใช้วิชาทำนายต้าเหยี่ยนตามหาร่องรอย หลังจากนิ่งไปนานนางก็เงยหน้าขึ้น กล่าวว่า “ภายในระยะหนึ่งร้อยลี้ที่ใดมีตะขอทอง”
ทุกคนต่างมองหน้ากัน
ตะขอทอง คืออะไรกัน
เซวียปั๋วเจิ้นคิดอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวอย่างลังเลว่า “ตะขอทองในรัศมีหนึ่งร้อยลี้ที่ท่านกล่าวถึงข้าไม่รู้ แต่หากเป็นรัศมีหนึ่งร้อยลี้ เช่นนั้นที่เขตฉีซานมีภูเขาลูกหนึ่ง ด้านล่างภูเขามีทะเลสาบ เมื่อน้ำใสบริสุทธิ์ เงาภูเขาสะท้อนอยู่ในทะเลสาบราวกับตะขอทอง ถือว่าใช่หรือไม่”
ฉินหลิวซีพยักหน้า “ใช่”
ตะขอทองตกลงไปในน้ำเป็นลางร้าย คำทำนายเผยให้เห็นเช่นนี้
“เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเลยหรือไม่”
ฉินหลิวซีเหลือบมองดูสีฟ้า กล่าวว่า “ตามไม่ทัน พวกท่านอย่าไปเลย ไปแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ พวกเราอาจารย์ลูกศิษย์สามคนไปกันเองก็พอแล้ว”
หากเป็นผู้ที่ฝึกบำเพ็ญ เมื่อพวกเขาต้องไปเผชิญหน้าด้วยก็มีแต่จะเป็นตัวถ่วง
เซวียปั๋วเจิ้นขมวดคิ้ว “ได้อย่างไรกัน นั่นเป็นบุตรสาวข้านะ”
“ท่านจะเป็นตัวถ่วงข้า เมื่อต่อสู้กันขึ้นมา พวกเรายากที่จะดูแลท่านได้ หากพวกท่านจะไปก็ขี่ม้าไปกันเอง พวกเราขอนำหน้าไปก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในภายหลัง ลงจากรถ”
หา?
เซวียปั๋วเจิ้นถูกฉินหลิวซีผลักลงจากรถ ไม่ทันรอให้เขาได้ตอบโต้ ผ้าม่านรถก็สะบัดขึ้น
เมื่อเขาได้สติกลับมาอีกครั้ง ต้องการจะหารือกับฉินหลิวซีสักหน่อย แต่หลังจากเปิดผ้าม่านรถเข้ามา ก็รู้สึกสับสนไปหมด
คนล่ะ?
เหวินสือมองเข้าไปในรถ เห็นเพียงฮูหยินเซวียที่กำลังหลับอยู่ แต่กลับไม่เห็นฉินหลิวซีและคนอื่นๆ แล้ว อดขยี้ตาไม่ได้ พวกเขาไปไหนแล้ว
ทั้งๆ ที่ไม่ได้ออกมา เหตุใดจึงได้หายตัวไปกลางอากาศ
หลังจากเขาพุ่งเข้าไป กวาดสายตามองในรถม้าพลางเอ่ย “ไม่เห็นแล้วจริงๆ ด้วย” จากนั้นก็กล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “หรือว่านี่จะเป็นวิชาบังตาในตำนาน ความจริงพวกเขาได้เดินออกไปต่อหน้าต่อตาของพวกเราแล้ว?”
ลู่สวินพูดไม่ออก กล่าวว่า “หากเป็นเช่นนั้นก็ต้องขี่ม้า แต่ข้างนอกไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เลย”
“เช่นนั้นก็เหาะไป” เหวินสือตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม หากเขาศึกษาตอนนี้ไม่รู้ว่าจะเรียนรู้ได้มากแค่ไหน
เซวียปั๋วเจิ้นเหม่อลอย ในที่สุดก็เข้าใจความนับถือที่ลู่สวินและคนอื่นๆ มีต่อฉินหลิวซี มีความสามารถเช่นนี้จะต้องเป็นคนที่เก่งกาจเป็นที่สุดกระมัง
หากในสนามรบมีผู้ที่มีความสามารถเช่นนี้ สามารถบุกเข้าไปในค่ายของศัตรูได้อย่างเงียบๆ คงสามารถตัดหัวแม่ทัพของคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดายเลยกระมัง
หัวใจของเขาลุกเป็นไฟ แต่สายตาพลันตกไปอยู่ที่ฮูหยินที่มีใบหน้าซีดเซียวซึ่งพิงกำแพงอยู่ในรถ รีบกำจัดความคิดที่ไม่เหมาะสมตามความเป็นจริงออกไปในทันที มุ่งความสนใจไปที่เรื่องสำคัญในตอนนี้
แต่เมื่อนึกถึงการหายตัวไปของบุตรสาว เขาก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่านักพรตมารที่ลักพาตัวคนได้ลักพาตัวบุตรสาวไปอย่างเงียบๆ เช่นนี้หรือไม่
นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะป้องกัน คนทั่วไปสามารถมีพลังต้านทานเช่นนี้ได้หรือ
เซวียปั๋วเจิ้นจับประตูรถ นึกถึงสิ่งที่ฉินหลิวซีกล่าวเมื่อครู่นี้ นี่เป็นเคราะห์กรรมของบุตรสาว หัวใจก็บีบรัด คอของเขาราวกับถูกคนบีบเอาไว้ทำให้หายใจลำบาก
ลู่สวินก้าวไปข้างหน้า กล่าวเตือนว่า “ใต้เท้าเซวีย หากจะไปเขตฉีซานก็ต้องรีบหน่อย แล้วก็เรื่องเมื่อครู่นี้ อย่าได้เผยแพร่ออกไปจะดีกว่า”
เซวียปั๋วเจิ้นสะดุ้ง พยักหน้า “ข้าจะให้คนของข้าปิดปากให้สนิท”
ฉินหลิวซีและคนอื่นๆ หายตัวไปต่อหน้าต่อตา ไม่สามารถเผยแพร่ออกไปได้จริงๆ เพื่อไม่ให้เป็นการนำปัญหามาสู่พวกเขา