คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1036 นางไม่ใช่ศิษย์วั่งชวนอีกต่อไป
ตอนที่ 1036 นางไม่ใช่ศิษย์วั่งชวนอีกต่อไป
วั่งชวนหนีไปแล้ว เถิงเจาทั้งตกใจทั้งโกรธ แต่ไม่ได้ตามไป กลับวิ่งไปหาฉินหลิวซี พยุงนางลุกขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล “ท่านอาจารย์ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
เจ้าโสมน้อยก็วิ่งมาด้วย จ้องมองรอยเลือดที่มุมปากของฉินหลิวซี กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเทาว่า “เป็นอะไรหรือไม่” เมื่อเห็นว่านางสีหน้าซีดก็รีบดึงรากโสมออกมาจากระเป๋าใบใหญ่ที่ตัวเองถืออยู่ ยัดใส่ปากนางพลางเอ่ย “รีบกินเข้าไป เติมพลัง”
ฉินหลิวซีเช็ดคาบเลือดที่มุมปาก เคี้ยวรากโสมสี่ห้าทีแล้วกลืนลงไป ส่ายหน้าพลางเอ่ย “ไม่เป็นอะไร”
“แต่มันแตกแล้ว” เจ้าโสมน้อยชี้กระจกดูดวิญญาณเฉียนคุนในมือนาง กล่าวว่า “วั่งชวนนางเป็นบ้าไปแล้วหรือ นางจะสังหารอาจารย์ของตัวเองได้อย่างไร อีกอย่าง นางจากไปเพียงสี่ห้าปีก็เก่งกาจขนาดนี้แล้วหรือ โจมตีท่านจนเลือดออกแล้ว”
เถิงเจาเขม่นตาใส่เขา ไม่รู้จักพูดก็หุบปากไปซะ!
ฉินหลิวซีเก็บกระจกเฉียนคุน เอ่ยเสียงเรียบ “ที่เก่งกาจไม่ใช่นาง แต่เป็นมารเอ้อฝูที่อยู่เบื้องหลังนาง เขาได้ประทับวิญญาณลงบนร่างของนาง กระจกเฉียนคุนนี้อยู่กับเขาที่มหาอเวจีนรกเป็นเวลาหลายพันปี กล่าวได้ว่าดูดกลืนดวงวิญญาณของเขาทั้งวันทั้งคืน เขาคุ้นเคยกับมันเป็นที่สุด ทันทีที่มันออกมาเมื่อครู่ ซื่อหลัวย่อมสัมผัสได้ ตราประทับวิญญาณจึงได้เคลื่อนไหว ยืมมือนางโจมตีกระจกและข้า”
เถิงเจาและคนอื่นๆ สีหน้าเปลี่ยนไป กล่าวว่า “ตราประทับวิญญาณของมารเอ้อฝูผู้นี้ร้ายกาจยิ่งนัก เช่นนั้นปรมาจารย์จะไม่… ตอนนี้กระจกเฉียนคุนแตกแล้ว หมายความว่าเขาแข็งแกร่งขึ้นหรือไม่”
ฉินหลิวซีเอ่ยตอบ “หากจะฟื้นคืนกลับไปเป็นดังก่อนที่เขาจะถูกขังที่มหาอเวจีนรกนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ประการแรกคือไม่รู้ว่าตอนนี้เขาใช้ร่างของใครอยู่ หากร่างที่อาศัยอยู่นี้เป็นการยึดมา ต่อให้จะใกล้เคียงกับของเดิมแค่ไหนก็ไม่ดีเท่าร่างเดิม แม้ว่าจะไม่ได้ยึดมา ต่อให้สอดคล้องกับร่างกายนั้นทุกประการ แต่ก็เป็นเพียงร่างกายคนธรรมดา ย่อมไม่สู้กระดูกพุทธะของเขาในตอนนั้น ประการที่สอง พลังวิญญาณในตอนนี้ก็ไม่มากเหมือนเมื่อหลายพันปีก่อน การฝึกบำเพ็ญก็ไม่ดีเท่าเมื่อก่อน”
เขาถูกขังอยู่เป็นเวลานานก่อนจะหลบหนีออกมา ย่อมเตรียมตัวมาเป็นเวลานานแล้ว ตอนนี้ยังไม่ได้เริ่มวิธีการเป็นเทพ จะต้องเป็นเพราะพลังของเขาอ่อนแอลงเป็นอย่างมากแน่ๆ กำลังรอให้ตัวเองฟื้นฟูกลับมาอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงความล้มเหลวเป็นครั้งที่สอง ดังนั้นเขาจึงได้ตามหากระดูกพุทธะของเขาเหล่านั้น
ฉินหลิวซีก้มลงมองกระจกเฉียนคุนที่แตกร้าว กล่าวว่า “กระจกเฉียนคุนนี้เป็นสมบัติล้ำค่าและทรงพลังมาก แม้ว่ามันจะแตกแล้ว แต่การดูดกลืนของมันก็ไม่เบา ซื่อหลัวที่ได้ลงตราประทับวิญญาณไว้ ก็จะต้องทุกข์ทรมานกับการสะท้อนกลับอยู่บ้าง แต่ผู้ที่ได้รับผลกระทบร้ายแรงที่สุดกลับเป็น…”
เจ้าโสมน้อยเอ่ยถามว่า “ทำไมวั่งชวนจึงได้กลายเป็นเช่นนี้ นางลืมพวกเราไปแล้วหรือ”
วั่งชวนน้อยที่น่ารักน่าเอ็นดูนุ่มนิ่มของพวกเขา เหตุใดจึงได้กลายเป็นแม่มดปีศาจฆ่าคนไปเสียได้
ซื่อหลัวจอมโหดเหี้ยมผู้นั้นทำอะไรกับนางในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
“นางไม่ใช่วั่งชวนลูกศิษย์ข้า” ฉินหลิวซีหันหลัง เดินไปหาเซวียอวี่อิงที่อยู่บนพื้น กล่าวขึ้นมาว่า “วั่งชวนเป็นอดีตไปแล้ว นางคืออู๋ฉิง พวกเราไม่ใช่คนเส้นทางเดียวกันอีกต่อไป”
เถิงเจากับเจ้าโสมน้อยมองหน้ากัน รู้สึกใจหาย ทั้งเจ็บปวดและขมขื่น
ขณะที่ในเวลานี้วั่งชวนนั้นอาเจียนออกมาเป็นเลือดพลางวิ่งไปยังภูเขาศักดิ์สิทธิ์ หัวใจราวกับถูกตีจนแตกสลาย ทั้งเจ็บทั้งชา เครื่องรางของสตรีผู้นั้นร้ายกาจเป็นอย่างมาก นางเจ็บปวดเหลือเกิน
หัวใจนี้ก็ไม่รู้ว่าทำไมจึงได้รู้สึกเสียใจเช่นนี้
คนเหล่านั้นเป็นใคร
เหตุใดนางจึงเป็นเช่นนี้
บนยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ ซื่อหลัวเช็ดเลือดที่มุมปากด้วยใบหน้าซีดเซียว ใบหน้าเครียดเขม็ง ดวงตาทั้งสองข้างเย็นชาเข้าไปถึงกระดูก
เป็นกระจกดูดวิญญาณเฉียนคุนจริงๆ ด้วย ของสิ่งนี้ตกไปอยู่ในมือของนางเพื่อที่จะต่อกรกับเขาโดยเฉพาะหรือ เทพเฟิงตูจะให้นางเป็นผู้นำกอบกู้โลกหรือ
ช่างน่าขัน!
ซื่อหลัวหัวเราะออกมา อยากจะทำลายมันจริงๆ แต่ต้องอดทนไว้ รอถึงวันที่นางจะทำตามอย่างที่เขาคิด ปูทางให้เขา ส่งเขาขึ้นไปบนแท่นเทพเจ้าด้วยตัวเอง
เมื่อถึงเวลานั้น เขาจะเหลือตำแหน่งรับใช้เทพเจ้าไว้ให้นาง
ก๊อบแก๊บๆ
มีเสียงฝีเท้าเหยียบบนหิมะดังขึ้น
ตุบ
มีคนคุกเข่าอยู่บนพื้นหิมะ
ซื่อหลัวหันไปก่อนจะสะบัดแขนเสื้อตบเด็กน้อยชุดดำที่อยู่บนพื้นผู้นั้น เลือดไหลออกมาจากมุมปากแล้วหยดลงบนพื้นหิมะราวกับดอกเหมยสีแดงที่บานสะพรั่ง
อู๋ฉิงไม่ได้เช็ดมันออก ลุกขึ้นมาคุกเข่าบนพื้นอีกครั้ง
ซื่อหลัวเดินเข้าไปหาอย่างช้าๆ ด่านางว่าไร้ประโยชน์ จากนั้นก็ก้มลงมองนาง หรี่ตาพลางกล่าวว่า “ที่เจ้าลงมือฆ่าไม่ได้เป็นเพราะทำใจไม่ได้หรือ หรือว่าเจ้ายังมีความรู้สึกอยู่”
ความรู้สึก คืออะไร
อู๋ฉิงลืมไปแล้วว่าความรู้สึกคืออะไรตั้งแต่ฝึกบำเพ็ญเส้นทางไร้ความรู้สึก นางไม่มีความรู้สึก ในใจและในหัวมีเพียงวิธีการ และนางก็ลืมความรู้สึกทุกอย่างไปแล้ว
เส้นทางไร้ความรู้สึกนี้ยิ่งเดินก็ยิ่งไกล ยิ่งไร้ความรู้สึกขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ลืมสิ้นทุกอย่าง กลายเป็นเครื่องจักรกลที่ปรารถนาเพียงความก้าวหน้าเพื่อให้บรรลุเป้าหมายโดยไม่กลัวสิ่งอื่นใด รวมถึงฆ่าคนที่ขวางอยู่ตรงหน้า
ซื่อหลัวใช้ปลายเท้าเขี่ยคางนางให้เงยขึ้น เห็นว่าใบหน้าของนางขาวราวกับหิมะ เมื่อหมวกหล่นลง ก็ยังคงเห็นปอยผมสีขาวที่ขมับของนาง รูม่านตาของนางขยายออกเล็กน้อยจึงรู้ว่านางได้รับบาดเจ็บสาหัส
พลังของกระจกดูดวิญญาณเฉียนคุน แม้แต่เขาที่เพียงแค่ประทับตราวิญญาณก็ยังได้รับผลสะท้อนกลับ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนางที่เผชิญกับการโจมตีโดยตรง
“เจ้าตัวเล็กนั่นยังคำนึงถึงความรู้สึกและใจอ่อนมากกว่าที่ข้าคิดไว้ ช่างโง่เขลาจริงๆ” ซื่อหลัวแสยะยิ้ม
บาดเจ็บเช่นนี้ หากฉินหลิวซีต้องการตาม เพียงแต่ใช้ความพยายามเล็กน้อยก็ไล่ตามทันได้ ตราบใดที่ลงมือกับวั่งชวน สายกรรมจบลง จากนี้ไปวั่งชวนก็จะไม่สามารถทำสิ่งชั่วร้ายแล้วปล่อยให้นางแบกรับผลกรรมทางอ้อมอีกต่อไป
แต่ว่าฉินหลิวซีปล่อยนางไป เป็นเพราะทำใจไม่ได้ หรือเป็นเพราะนางมีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้องจัดการ
แต่อย่างไรเสียนางก็เป็นคนใจอ่อน
ซื่อหลัวดูหมิ่นความรู้สึกเช่นนี้ เพียงแต่รู้สึกว่าฉินหลิวซีกำลังรนหาที่ตาย แต่ก็ตื่นเต้นมากกว่า เขาปลูกฝังอู๋ฉิงขึ้นมา ยิ่งนางทำเรื่องชั่วร้ายมากเท่าไหร่ กรรมที่ฉินหลิวซีต้องแบกรับก็จะมากขึ้นเท่านั้น เส้นทางนี้นางจะเดินไปได้อีกนานแค่ไหน
ดูเหมือนจะน่าเบื่อไปหน่อย
ซื่อหลัวจ้องมองอู๋ฉิงที่ไร้ความรู้สึก มีร่องรอยของเจตนาฆ่าปรากฏขึ้นในดวงตา หากน่าเบื่อ เช่นนั้นก็ฆ่าเสียก็จบเรื่อง
การหายใจของอู๋ฉิงหยุดลงอย่างกะทันหัน
นางขนลุกไปทั้งร่างกายเพราะรู้สึกถึงพลังแห่งความตายเฉียดเข้ามาใกล้นางมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ทันใดนั้นก็หายไป
ซื่อหลัวถอยกลับ หากฆ่าก็จะขาดทุนเล็กน้อย เลี้ยงต่อไปอีกสักหน่อย ในภายภาคหน้าจะต้องมีเรื่องสนุกอย่างแน่นอน น่าสนใจ
“หยินหยวนเหล่านั้น เจ้ากักตัวฝึกบำเพ็ญเข้าสู่ร่างกายด้วยตัวเอง ก่อนออกจากการกักตัว ข้าต้องการเห็นเจ้าพัฒนาไปอีกขั้น” ซื่อหลัวมองขวดหยกเล็กที่เอวของนางอย่างเย็นชา
อู๋ฉิงตอบตกลงอย่างไร้ความรู้สึก
“คุกเข่าไป คิดทบทวนให้รอบคอบ” ซื่อหลัวทิ้งไว้หนึ่งประโยคแล้วเดินไปยังบ้านไม้ไผ่ในภูเขา
อู๋ฉิงยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น รู้สึกหนาวเย็นและชาที่หัวเข่า แต่นางก็ไม่ยอมขยับ ในหัวเอาแต่คิดหาวิธี
แต่มือของนางกลับแตะไปที่ข้อมือซ้ายโดยไม่รู้ตัว เมื่อนางลืมตาขึ้นแล้วมองที่ข้อมือ รู้สึกอยู่เสมอว่าควรจะมีอะไรบางอย่างสวมไว้ตรงนี้ ไม่ใช่ปล่อยให้ว่างเปล่าเช่นนี้ แต่สิ่งนั้นคืออะไร
อู๋ฉิงจ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หลับตาลงอีกครั้ง ท่องคาถาเงียบๆ แต่ในหัวกลับปรากฏดวงตาคู่หนึ่ง สายตาของดวงตาคู่นั้นซับซ้อนเป็นอย่างมาก
หัวใจของนางเจ็บปวดขึ้นมาอีกครั้ง อดนอนขดอยู่บนพื้นไม่ได้ กอดตัวเองแน่น พยายามไล่คนที่อยู่ในหัวออกไป
มีเพียงการทำเช่นนี้นางจึงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้!