คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1038 ข้าเห็นเหมือนว่าเจ้าจะถูกฟ้าผ่า
ตอนที่ 1038 ข้าเห็นเหมือนว่าเจ้าจะถูกฟ้าผ่า
เมื่อฮูหยินเซวียเห็นบุตรสาวก็เป็นลมล้มพับไป ทำเอาเซวียปั๋วเจิ้นตกใจจนเสียขวัญ
โชคดีที่ฉินหลิวซีเชี่ยวชาญวิชาแพทย์ด้วยเช่นกัน หลังจากจับชีพจรจึงรู้ว่าความร้อนใจโจมตีหัวใจ อีกทั้งวิตกกังวลหดหู่ใจมาหลายวัน ทำให้นอนไม่หลับ ไฟตับพุ่งสูง และตอนนี้ก็เดินทางมาเป็นร้อยลี้ท่ามกลางสภาพอากาศหนาวเย็น ทำให้ร่างกายและจิตใจเหนื่อยล้า
ฮูหยินเซวียทำให้ตัวเองซึมเศร้าจนป่วย โชคดีที่นางเกิดจากตระกูลแม่ทัพ ได้มีการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ มีพื้นฐานทางร่างกาย ตราบใดที่รักษาอย่างระมัดระวัง ขจัดความหดหู่ก็จะไม่เป็นปัญหาใหญ่
ฉินหลิวซียังไม่เขียนใบสั่งยาในตอนนี้ เพียงแต่ฝังเข็มให้นางเพื่อขจัดความเย็นออกจากร่างกาย จากนั้นก็จุดธูปสงบจิต แล้วให้ยาขี้ผึ้งกับเซวียปั๋วเจิ้น
“ฮูหยินเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจ ต้องการการพักผ่อนมากที่สุด ซ้ำตอนนี้ยังได้รับการโจมตีอย่างรุนแรง เกรงว่าจะถูกกระตุ้นจนยากที่จะสงบลงได้เพราะเรื่องของคุณหนู ข้าได้ขจัดความหนาวเย็นออกจากร่างกายให้นางแล้ว และได้จุดธูปสงบจิต เมื่อนอนหลับพักผ่อน ดูแลจิตใจ ยาขี้ผึ้งนี้เอาไว้ทาต้นขาที่บอบช้ำของนาง แล้วค่อยเขียนใบสั่งยาให้นางในภายหลัง”
เซวียปั๋วเจิ้นรู้สึกถึงความอบอุ่นนี้ รับยาขี้ผึ้งมาพลางกล่าวขอบคุณ “รบกวนท่านอาจารย์แล้ว”
ฉินหลิวซีกล่าวว่า “ข้าจะไปเอาขี้เถ้าหน้าแท่นบูชาเทวรูป ผ้าห่มร้อยพรนั้น ท่านรีบให้คนไปจัดการ”
เซวียปั๋วเจิ้นรู้ถึงความเร่งด่วน สตรีพรหมจรรย์ร้อยคน ปกติแล้วก็ไม่ได้มีมาก แต่ต้องวิเคราะห์ด้วยว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ที่มีจิตใจเมตตาอย่างแท้จริงหรือไม่นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
สิ่งที่เรียกกันว่ารู้หน้าไม่รู้ใจ บางคนภายนอกดูอ่อนโยนมีเมตตา แต่ลับหลังกลับเป็นคนจิตใจมืดมนโหดเหี้ยม เสแสร้งอย่างแนบเนียน
และการตามหาสตรีพรหมจรรย์ที่มีเมตตาร้อยคนในเวลาเพียงวันเดียว ต้องใช้กำลังคนในการค้นหา
ตอนนี้ดวงจันทร์และดวงดาวส่องสว่างแล้ว ห่างจากเวลารุ่งสางเพียงสามชั่วยาม หากต้องจัดเตรียมให้เรียบร้อยก่อนพระอาทิตย์ตก นับว่าเวลากระชั้นชิดมาก
เซวียปั๋วเจิ้นเอายามอบให้สาวใช้ที่ตามมาทีหลัง ส่วนตัวเองก็ไปเตรียมการ ต้องการตามหาคนก็ต้องไปที่ว่าการอำเภอ เอาสำมะโนครัวที่สำนักราชการ หาผู้ที่ยังไม่ได้แต่งงาน แล้วค่อยตรวจสอบความมีมนุษยธรรม
โชคดีที่ตัวเขาเองเป็นขุนนางใหญ่ แม้ว่าจะให้คนไปเอาสำมะโนครัวผ่านทางประตูหลังของสำนักราชการ ก็ไม่มีขุนนางที่ว่าการอำเภอคนไหนกล้าชักสีหน้า ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
ทางด้านนี้เซวียปั๋วเจิ้นก็ให้คนออกตามหา ฉินหลิวซีให้เถิงเจากับเจ้าโสมน้อยอยู่ดูแลเซวียอวี่อิงที่นี่ และได้ใช้แรงอธิษฐานจุดตะเกียงนิรันดร์ไว้ปกป้องนาง แล้วจึงได้ใช้เส้นทางหยินกลับไปที่อารามชิงผิง
เดิมทีนางอยากจะไปเอาขี้เถ้าธูปที่ทางด้านศาลประจำเมือง แต่เมื่อพิจารณาถึงชีวิตของคนในอำเภอหนานเมื่อสองปีมานี้ไม่ดีเท่าแต่ก่อน ผู้ที่ไปกราบไหว้เทพประจำเมืองก็มีไม่มากนัก ควันธูปไม่พอ แรงอธิษฐานย่อมไม่พอ จึงได้กลับไปที่อารามชิงผิง
ผู้ที่อยู่เฝ้าธูปในคืนนี้คือซานหยวน เมื่อได้ยินความเคลื่อนไหวในวิหาร เขาที่กำลังเข้าสู่สมาธิก็ลืมตาขึ้นในทันที เมื่อเห็นฉินหลิวซีก็รีบลุกขึ้นยืน
“ท่านเจ้าอาวาส”
ฉินหลิวซีก้าวไปข้างหน้า กล่าวว่า “คืนนี้เจ้าอยู่เฝ้าธูปหรือ”
ซานหยวนพยักหน้า จากนั้นก็หยิบธูปสามดอกจากแท่นบูชายื่นให้ฉินหลิวซี กล่าวว่า “ช่วงนี้ในอารามกำลังแจกข้าวต้มการกุศล และเนื่องจากภัยพิบัติหิมะทางภาคเหนือ สภาพอากาศทางภาคใต้ก็หนาวเย็นเช่นกัน มีหลายคนที่ไม่มีบ้านให้กลับขอมาอยู่ในอาราม ซ้ำยังมีผู้ลี้ภัยที่มาขอหลบอาศัยอยู่ใต้บารมีของเจ้าลัทธิเต๋า คิดจะขโมยน้ำมันตะเกียง”
ฉินหลิวซีเงยหน้าขึ้น เห็นร่างทองของเจ้าลัทธิเต๋าของพวกเขาเบะปากด้วยความโกรธ จึงกล่าวว่า “จับตัวคนได้หรือไม่”
“เจ้าลัทธิเต๋าแสดงอภินิหาร เทวรูปเล็กล้มลงโดยไม่มีสาเหตุ กระแทกเขาจนหมดสติไป” ซานหยวนหัวเราะเบาๆ
ฉินหลิวซีคำนับสามครั้ง ปักธูปลงไปพลางกล่าวว่า “หากเขาปล่อยให้คนเอาค่าน้ำมันตะเกียงไปภายใต้สายตา เช่นนั้นก็เป็นคนโง่ที่ใจกว้างแล้ว”
เจ้าลัทธิเต๋า ‘ศิษย์ทรยศอยากถูกตีหรืออย่างไร!’
ฉินหลิวซีเหลือบมองดูธูปที่ลุกไหม้อย่างรวดเร็ว หากระดาษสีเหลืองหนึ่งแผ่น เอาขี้เถ้าในกระถางธูปใส่แล้วห่อไว้ จากนั้นก็เก็บไว้ในกระเป๋าก่อนจะตบบ่าซานหยวนเบาๆ “อย่าลืมฝึกบำเพ็ญ ต้องฝึกวาดยันต์ทุกวัน เป็นถึงนักพรตแม้แต่ยันต์ศักดิ์สิทธิ์หนึ่งแผ่นก็วาดออกมาไม่ได้ แล้วจะปราบสิ่งชั่วร้ายปกป้องเต๋าได้อย่างไร ดังนั้นต้องฝึกฝนทุกวัน เมื่อเจ้าสามารถวาดยันต์ศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้แล้ว ก็จะสัมผัสได้ถึงความหมายของการฝึกบำเพ็ญอย่างแท้จริง”
“ขอรับ”
ฉินหลิวซีออกจากวิหารใหญ่ ไปหาของบางอย่างที่ห้องเต๋า เคาะประตูเสียงดัง ชิงหย่วนได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจึงมาหา
“ท่านเจ้าอาวาสกลับมาแล้วหรือ”
ฉินหลิวซีหันกลับมา กล่าวว่า “กลับมาเอาของ ปีนี้เกิดภัยพิบัติหิมะ ผู้ประสบภัยมีจำนวนมาก การทำกุศลของอารามในปีนี้ลำบากหรือไม่”
ชิงหย่วนเอ่ยตอบ “เสบียงอาหารราคาแพงกว่าเมื่อก่อน ยาและเสบียงอาหารที่เก็บไว้เมื่อก่อนหน้านี้ได้หมดไปมากกว่าครึ่ง ที่เชิงเขาได้ร่วมมือกับฝ่ายราชการในเมืองสร้างกระท่อมหลายหลังเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยหลบพายุหิมะสำหรับผู้ลี้ภัย
“ซานหยวนบอกว่าในอารามเกือบจะถูกลักขโมย”
ชิงหย่วนยิ้มอย่างขมขื่น กล่าวว่า “ใช่แล้ว ปีนี้อากาศค่อนข้างหนาวกว่าเดิมมาก และช่วงนี้ก็เป็นฤดูหนาว ชีวิตของราษฎรยากลำบากขึ้นเรื่อยๆ ซ้ำยังมีคนแข็งตายไปจำนวนไม่น้อย”
ฉินหลิวซีกล่าวว่า “หลังจากหิมะละลายแล้ว คาดว่าจะมีภัยพิบัติเล็กๆ น้อยๆ สรุปก็คือปีหน้าจะแย่ขึ้นกว่าเดิมอยู่บ้าง ประหยัดเสบียงอาหารไว้สักหน่อย หากในอารามมีกำลังคนไม่พอ ก็สามารถขอให้ผู้ศรัทธาที่มีพละกำลังสักสามสี่คนมาช่วยทำงานจิปาถะและป้องกันขโมย เพื่อไม่ให้อารามเสียหายจนทำให้ผู้ศรัทธาตกใจ ให้ข้าวตอบแทนก็พอ”
“ได้ขอความช่วยเหลือแล้ว มิเช่นนั้นไม่รู้ว่าจะมีคนบุกเข้ามาอาศัยความอบอุ่นในวิหารมากแค่ไหน” ชิงหย่วนกล่าวพลางถอนหายใจ
ฉินหลิวซีขมวดคิ้ว หากภัยพิบัติหิมะนี้ไม่ได้รับการแก้ไขให้ดีขึ้นต่อไปเรื่อยๆ คาดว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ จึงกล่าวว่า “ภัยพิบัติทางธรรมชาติไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่ภัยพิบัติของคนสามารถหลีกเลี่ยงได้ เป็นการดีกว่าที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้คนให้มาก ดีกว่าปล่อยให้พวกเขามาทำลายอารามชิงผิง”
บางครั้งเมื่อผู้คนตกอยู่ในสภาวะสิ้นหวัง เพื่อให้มีชีวิตรอดต่อไปก็จะยอมทำทุกวิถีทางโดยไม่สนเทพเจ้า
ฉินหลิวซีได้กำชับอีกสองสามประโยค เมื่อเห็นว่าฟ้าใกล้รุ่งสางแล้วจึงกล่าวลากับเขา เปลี่ยนเส้นทางไปที่ศาลเทพประจำเมือง
ซาหยวนจื่อกำลังจุดธูปบูชาเทพประจำเมือง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าจึงหันกลับไป เมื่อเห็นนางก็พยักหน้าเล็กน้อยเป็นการทักทาย
ฉินหลิวซีก้าวไปข้างหน้า และได้จุดธูปบูชาเทพประจำเมือง
เมื่อเทพประจำเมืองเห็นนาง ใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ก็หุบลงอย่างรวดเร็ว “ไม่ได้บอกว่าจะไปเมืองหลวงหรอกหรือ ไม่เห็นนำเครื่องสักการะอันมีค่าใดๆ จากทางด้านนั้นมาถวายข้าเลย”
“ข้ารีบมา ไม่ได้จัดเตรียม” ฉินหลิวซีมองเขาก่อนจะกล่าวเสียงเบาว่า “เทพประจำเมือง ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย”
นางสูญเสียลูกศิษย์ไป เอากลับคืนมาไม่ได้แล้ว
เทพประจำเมืองตกตะลึง จากนั้นก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา “เจ้ามีเรื่องไม่พอใจอะไร รีบพูดออกมาให้ข้าดีใจสักหน่อย”
อารมณ์ที่ฉินหลิวซีพึ่งสร้างขึ้นมาได้หายไปในทันที ไม่สามารถพูดได้อีกต่อไป
นางหันหลังจะเดินจากไป
เทพประจำเมืองเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจ “เหตุใดจะไปเสียแล้ว ยังไม่ทันได้บ่นสักสองประโยคเลย เกิดอะไรขึ้น ต้องการให้ข้ามอบแสงอันศักดิ์สิทธิ์ให้เจ้าสักหน่อยหรือไม่ ข้าเห็นเจ้ามีพลังงานความทรุดโทรม ราวกับจะถูกฟ้าผ่าจนทรุดโทรม!”
ฉินหลิวซี “!”
ตอนนี้บอกว่าจะเนรคุณอาจารย์คงไม่ได้แล้ว ต้องบอกว่าจะสังหารเทพกระมัง!
เทพประจำเมืองเห็นนางใบหน้าบูดบึ้ง กล่าวว่า “จริงนะ อย่างไรเสียข้าก็เป็นเทพ บอกว่าเจ้าโหงวเฮ้งมีความทรุดโทรมก็คือมีความทรุดโทรม”
ท่านรีบหุบปากเถิด!
เทพประจำเมืองดีดแสงศักดิ์สิทธิ์ไปให้ ฉินหลิวซีไม่ทันได้กล่าวปฏิเสธ บนตัวได้ปกคลุมด้วยแสงสีทองนั้นแล้ว พลันรู้สึกอบอุ่น
“ควันธูปไม่ได้เจริญรุ่งเรืองมาก พลังศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่แข็งแกร่งพอ ก็มีเพียงเท่านี้ เมื่อเจ้าถูกฟ้าผ่าก็จะรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย!” เทพประจำเมืองกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “ข้าเป็นคนดีใช่หรือไม่ ครั้งหน้ามาอีก อย่าลืมเอาของอร่อยมาด้วย”
ความหดหู่ในใจของฉินหลิวซีได้หายไปแล้ว “ได้”