คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1039 รอสักครู่ ข้าขอโดนฟ้าผ่าก่อน!
ตอนที่ 1039 รอสักครู่ ข้าขอโดนฟ้าผ่าก่อน!
เมื่อฉินหลิวซีกลับไปเขตฉีซานอีกครั้ง ก็เลยเวลาเที่ยงไปแล้ว อีกสองชั่วยามพระอาทิตย์ก็จะตกดินแล้ว แต่ผู้ที่ไปหาผ้าร้อยพรยังไม่กลับมา
เซวียปั๋วเจิ้นไม่ได้หลับมาทั้งคืน ตอนนี้ก็อยู่ข้างเตียงของบุตรสาว ใบหน้าซีดขาว สีหน้าเป็นทุกข์ ดวงตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดง
เขาไม่กล้าหลับตา กลัวว่าเมื่อหลับตา บุตรสาวก็จะจากพวกเขาไป
ผู้ที่ไปตามหาผ้าร้อยพรยังคงไม่กลับมา หัวใจของเขาหนักอึ้ง อดคิดฟุ้งซ่านไม่ได้ หากได้ไม่ครบจริงๆ ก็จะหมดหวังใช่หรือไม่
เมื่อเห็นว่าฉินหลิวซีกลับมา เซวียปั๋วเจิ้นเหมือนกับคนจมน้ำที่เห็นขอนไม้ลอยมา โซเซเดินเข้าไปหา
ฉินหลิวซีขมวดคิ้ว กล่าวว่า “ใต้เท้าควรจะพักผ่อนสักหน่อย”
เซวียปั๋วเจิ้นยิ้มอย่างขมขื่น ส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “ข้าวางใจไม่ได้ คนที่ไปตามหาร้อยคำอวยพรยังไม่กลับมา”
ฉินหลิวซีเหลือบมองดูสีฟ้า กล่าวว่า “ยังพอมีเวลา ข้าจะเตรียมตัวก่อน”
นางเรียกเถิงเจามา ตั้งแท่นบูชาเล็กๆ ในห้องนี้ จากนั้นก็เริ่มวาดยันต์ด้วยชาดแดงที่ทำขึ้นมาโดยเฉพาะ กระดาษยันต์เป็นกระดาษที่นางแช่ไว้ในส่วนผสมต่างๆ เมื่อละลายยันต์ก็สามารถดื่มได้ ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
แม้แต่ชาดแดงก็ทำขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน มิเช่นนั้นหากปรุงยาตามอำเภอใจ เมื่อดื่มลงไปปริมาณมาก พิษที่ซ่อนอยู่ก็จะเป็นอันตรายต่อร่างกาย
ฉินหลิวซีวาดยันต์ตรึงหยวน จากนั้นก็วาดยันต์นำหยินหยวนเข้าสู่ร่างกาย เป่าให้แห้งแล้ววางไว้เพื่อใช้ในภายหลัง
แท่นพิธีพร้อมแล้ว และนางก็ได้วาดค่ายอาคมไว้ที่แท่นพิธี
มีความเคลื่อนไหวจากด้านนอก ในที่สุดฮูหยินเซวียก็ฟื้น หลังจากสลบไป นางกลับมามีชีวิตชีวาขึ้นไม่น้อย รีบตามมาในทันที
เซวียปั๋วเจิ้นทำตัวเองให้กระปรี้กระเปร่าเดินเข้าไปพยุงนาง กล่าวว่า “เหตุใดไม่หลับให้นานกว่านี้”
ฮูหยินเซวียเหลือบมองเขา กล่าวว่า “ข้าจะเป็นคนเฝ้าเอง ท่านไปพักผ่อนสักหน่อยเถิด”
“ไม่เป็นไร ข้ายังทนได้”
ฮูหยินเซวียไม่ได้บังคับ นางมาอยู่ตรงหน้าเตียง แม้ว่าจะได้เตรียมใจไว้แล้ว แต่เมื่อได้เห็นบุตรสาวที่ใบหน้าแก่ชราอีกครั้งก็ยังคงตกใจกลัว ตัวสั่นเทาขึ้นมา
“อิงเอ๋อร์…” ทันทีที่นางเอ่ยปาก น้ำตาก็ร่วงหล่นลงมา
เซวียปั๋วเจิ้นประคองไหล่ของนางไว้ กล่าวปลอบโยนว่า “อย่าร้องไห้ไปเลย ท่านอาจารย์ได้คิดหาวิธีช่วยอิงเอ๋อร์แล้ว นางจะดีขึ้นอย่างแน่นอน”
ฮูหยินเซวียใช้หลังมือปาดหางตา หันกลับไปมองฉินหลิวซีแล้วจึงเอ่ย “ท่านอาจารย์ บุตรสาวข้าจะรอดจริงๆ หรือ”
“ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่” ฉินหลิวซีกล่าว
ฮูหยินเซวียรู้สึกจุกในลำคอ มองดูบุตรสาวด้วยน้ำตาคลอเบ้า กล่าวว่า “เหตุใดจึงได้เป็นเช่นนี้”
เรื่องเช่นนี้ได้ล้มล้างปรัชญาสามทัศน์[1]ของนางไปแล้ว!
ฉินหลิวซีไม่ได้กล่าวอะไร จากนั้นพลันได้ยินเสียงคนเอะอะโวยวายดังมาจากนอกเรือน จึงเดินออกไป
คนที่ไปตามหาผ้าร้อยพรกลับมาแล้ว
ลู่สวินก็ได้ตามไปช่วยด้วยเช่นกัน เมื่อเห็นนางก็กล่าวว่า “หาผ้าร้อยพรกลับมาแล้ว ต้องเย็บตอนนี้เลยหรือไม่”
“เปิดให้ข้าดูหน่อย”
องครักษ์รีบเปิดถุงสัมภาระทันที กองผ้าไหมหลากสีปรากฏขึ้นตรงหน้า
เซวียปั๋วเจิ้นและคนอื่นๆ ก็เดินออกมาแล้ว เมื่อเห็นดังนั้นก็ดีใจเป็นอย่างมาก “ดีจริงๆ อิงเอ๋อร์มีทางรอดแล้ว”
ฮูหยินเซวียกล่าวว่า “ข้าจะเป็นคนเย็บเอง”
ฉินหลิวซีกลับนั่งยองๆ กวาดสายตามองไป แยกผ้าที่ทับกันออก หยิบผ้าหนาผืนหนึ่งที่ปักลายไม้ไผ่ขึ้นมา กล่าวว่า “ผืนนี้ไม่ได้”
ทุกคนพากันตกตะลึง
เซวียปั๋วเจิ้นร้อนใจ เมื่อเห็นว่าสีฟ้าใกล้จะพลบค่ำแล้ว จึงกล่าวว่า “เหตุใดจึงไม่ได้”
“ผ้าผืนนี้ไม่มีแรงอธิษฐาน กลับมีแรงบาปชั่วร้าย” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบว่า “เจ้าของผ้าผืนนี้ไม่ใช่คนดี คงจะติดบาปชีวิต จึงได้มีแรงบาปชั่วร้ายเช่นนี้”
“นี่มัน…”
ลู่สวินรีบหยิบสมุดบัญชีมาจากองครักษ์อีกคนทันที แต่ละคนเขาล้วนให้ลงทะเบียนไว้ เผื่อว่าจะต้องขอผ้าเพิ่มอีกหนึ่งผืน และเจ้าของผ้าผืนนี้…
เป็นหญิงผู้สูงศักดิ์
แต่ภายนอกแล้ว ชื่อเสียงของนางสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ มีจิตใจเมตตาเป็นอย่างมาก ตัวนางเองก็เป็นหญิงพรหมจรรย์ที่สงบเสงี่ยม
แต่ฉินหลิวซีกลับบอกว่านางมีแรงบาป
แย่แล้ว ถูกห่านจิกตาเสียแล้ว!
ลู่สวินกล่าวว่า “ข้าจะไปหามาอีก”
“ไม่ต้องแล้ว” ฉินหลิวซีส่ายหน้า หยิบผ้าที่มีแรงบาปผืนนั้นออกมา จากนั้นก็ฉีกชายเสื้อของตัวเอง ใส่ลงไป กล่าวว่า “แค่นี้ก็พอแล้ว”
ความจริงแล้วนางก็ไม่ใช่คนจิตใจเมตตาอะไร ในมือก็มีบาปชีวิต แต่นางเป็นไต้ซือที่มีพลังบุญกุศล คำอวยพรของนางนั้นใช้ได้!
ทุกคนต่างมีการตอบสนอง พากันรู้สึกประทับใจ ใช่แล้ว นางก็เป็นสาวพรหมจรรย์ และยิ่งกว่านั้นคือเป็นผู้ที่มีเมตตาอันใหญ่หลวง
เซวียปั๋วเจิ้นแทบจะคุกเข่าให้ฉินหลิวซี
ฮูหยินเซวียกล่าวด้วยความตื่นเต้นว่า “ข้าจะไปเย็บ เพียงแค่เย็บพวกมันเข้าด้วยกันก็พอแล้วใช่หรือไม่”
ฉินหลิวซีพยักหน้า
ฮูหยินเซวียหยิบผ้าเหล่านั้นขึ้นมา นางหันหลังเดินเข้าไปในห้อง
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยามก็เป็นเวลาพลบค่ำ
เมื่อเย็บผ้าห่มร้อยพรเสร็จแล้ว ฉินหลิวซีเอาแก่นแท้เลือดของเซวียปั๋วเจิ้นกับภรรยามาผสมกัน ใช้นิ้วจุ่มลงไป วาดยันต์ลงบนหน้าผาก มือ และเท้าทั้งสองข้างของเซวียอวี่อิง ห่มผ้าห่มร้อยพรไว้บนตัวนาง จากนั้นจึงได้เริ่มทำพิธี
“เจาเจา เจ้ามาปกป้องพิธี อย่างให้ตะเกียงนิรันดร์ดับเป็นอันขาด”
ฉินหลิวซีชำระมือแล้วจุดธูป หยิบกระบี่ไม้ท้อเจ็ดดาว หลับตาลงเล็กน้อย กล่าวพึมพำเบาๆ เริ่มก้าวเดินตามแผนดวงดาวในค่ายอาคม ถือกระบี่เจ็ดดาวขึ้นมาร่ายรำ ปากท่องคาถา
“แสงสว่างทั้งเก้าเคลื่อนไปข้างหน้า ปราณต้นกำเนิดวนเวียน…ท้องฟ้าสีเหลือง ควบคุมหยินหยางของจักรวาล จิตวิญญาณจงกลับมา”
ภายในห้องมีลมพัด ทำเอายันต์กระดาษส่งเสียงดังพึ่บพั่บ
เซวียปั๋วเจิ้นและคนอื่นๆ เฝ้าดูการเคลื่อนไหวของฉินหลิวซีอย่างไม่คาดสายตา เมื่อเห็นท่าทางเคร่งขรึมจริงจังของนาง ราวกับเป็นภาพลวงตา อดรู้สึกเกรงขามไม่ได้
ที่แท้ก็ไม่ใช่เพียงแต่พวกที่มีผมสีขาวจึงจะดูสง่าราวกับเทพเซียน
เมื่อเถิงเจาเห็นว่าตะเกียงนิรันดร์สั่นไหวอย่างรุนแรง มือทั้งสองข้างร่ายคาถาปกป้องตะเกียง ตะเกียงนั้นสั่นคลอนเล็กน้อย จากนั้นก็เผาไหม้อย่างเงียบๆ
ฉินหลิวซีหยิบยันต์นำหยวน เปิดจุกขวดหยกออก ลูกปัดที่โปร่งแสงราวกับไข่มุกเม็ดหนึ่งลอยออกมา
เซวียปั๋วเจิ้นและคนอื่นๆ เบิกตาโต นี่ก็คือหยินหยวนที่กล่าวถึงหรือ
ยันต์นำหยวนจุดไฟเผาขึ้นมาเองเหนือศีรษะของเซวียอวี่อิง จากนั้นหยินหยวนเม็ดนั้นก็ลอยไป แต่กลับไม่ตกลงเสียที
ปลายนิ้วของฉินหลิวซีกดลงบนแท่นวิญญาณของเซวียอวี่อิง พลังอธิษฐานแห่งบุญกุศลไหลเข้าสู่แท่นวิญญาณ ท่องคาถาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “หยินหยวนกลับคืนสู่ร่าง โชคลาภและความดีไม่สิ้นสุด จงกลับคืน!”
เมื่อพลังอธิษฐานแห่งบุญกุศลเข้าสู่แท่นวิญญาณ หยินหยวนนั้นราวกับได้กลิ่นของอร่อย ทันใดนั้นก็พุ่งเข้าไปในแท่นวิญญาณของเซวียอวี่อิง
มือทั้งสองข้างของฉินหลิวซีร่ายคาถา เสกไปบนร่างของนางสองครั้งติดต่อกัน จากนั้นก็ใช้น้ำอุ่นที่แช่ด้วยขี้เถ้าธูปละลายยันต์ตรึงหยวน เชยคางนางขึ้นเล็กน้อย บีบที่แก้มทั้งสองข้างแล้วกรอกลงไป
หลังจากทั้งหมดนี้เสร็จสิ้น ฉินหลิวซีก็สีหน้าซีดเล็กน้อย
แต่ใบหน้าของเซวียอวี่อิง กลับเริ่มดูอวบอิ่มอย่างเห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า ริ้วรอยลดลง ผมสีขาวกลายเป็นสีดำ ค่อยๆ กลับมามีรูปลักษณ์ของสาวน้อย
ฮูหยินเซวียอุทานด้วยความตกใจ จากนั้นก็รีบเอามือปิดปาก กลัวว่าจะขัดจังหวะสถานการณ์นี้
เซวียปั๋วเจิ้นก็ร้องไห้ด้วยความดีใจเช่นกัน
สำเร็จแล้ว
จนกระทั่งเซวียอวี่อิงกลับมามีรูปร่างหน้าตาสมวัยเด็กสาวอายุสิบสองปีอย่างสมบูรณ์ เซวียปั๋วเจิ้นจึงกล้าเอ่ยถามฉินหลิวซี “หายดีแล้วใช่หรือไม่”
ฉินหลิวซีพยักหน้า ขณะที่กำลังจะกล่าวอะไรบางอย่าง ร่างกายพลันโซเซ รู้สึกเจ็บปวดที่หน้าอก นับข้อนิ้วทำนาย กล่าวว่า “ขอโทษด้วย รอสักครู่”
เซวียปั๋วเจิ้นและคนอื่นๆ สับสนเล็กน้อย รออะไรหรือ
กลับเห็นฉินหลิวซีรีบพุ่งออกจากห้องไปราวกับพายุ พึ่งจะไปถึงที่ลาน สายฟ้าสีม่วงก็ผ่าลงมาบนร่างของนางโดยตรง!
เปรี้ยง!
เทพประจำเมืองอำเภอหนานสีหน้าปกปิดความภาคภูมิใจของตัวเอง ‘เทพประจำเมืองอย่างข้าไม่เคยกล่าวอะไรไร้สาระ’
[1] ปรัชญาสามทัศน์ มุมมองในการมองและให้ความสำคัญกับสิ่งต่างๆ ในชีวิต