คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1041 เทพเจ้าเล่ห์มีความเป็นคนสักที
ตอนที่ 1041 เทพเจ้าเล่ห์มีความเป็นคนสักที
………………..
เถิงเจาจัดการเรื่องอยู่ที่ห้องถัดไป กำชับเซวียปั๋วเจิ้นเกี่ยวกับการดูแลต่อจากนี้ ส่วนฉินหลิวซีกำลังอดทนต่อความเจ็บปวดวางค่ายอาคมเล็กๆ ให้ตัวเอง ถอดเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งออก หันศีรษะเล็กน้อย เห็นเนื้อไหม้เกรียมสีดำบนไหล่หลังถูกฟ้าผ่า อดกัดฟันด้วยความเจ็บปวดไม่ได้
“เทพเจ้าเล่ห์ ใช้สายฟ้าฟาดข้านับว่ามีความสามารถนักหรือ หากเก่งจริงท่านก็ผ่านักพรตปีศาจทั้งใต้หล้านี้ให้ตาย ข้าจะเรียกท่านว่าพ่อ เจ็บจะตายอยู่แล้ว!”
ฉินหลิวซีร้องซี้ดด้วยความเจ็บปวด เปิดกระเป๋าใบใหญ่ของตัวเอง หยิบยาหุยชุนออกมา กลืนลงไปโดยไม่ลังเล
ใครขาดทุนก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่ตัวเอง!
ทันทีที่กลืนยาลงไป นางก็นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง มือทั้งสองข้างร่ายคาถาโคจรมหาจักรวาล เข้าสู่สมาธิ
ทันทีที่นางหายใจก็พบว่าเส้นลมปราณของตัวเองขยายออกไม่น้อย แต่ละเส้นเปล่งประกายด้วยแสงสีม่วงจางๆ
เอ๋ นี่คือ?
เทพเจ้าเล่ห์มีความเป็นคนกับเขาแล้วหรือ?
ฉินหลิวซีร่ายคาถาใหม่อีกครั้ง โคจรมหาจักรวาล เข้าสู่การทำสมาธิอย่างเป็นทางการ
การกักตัวฝึกบำเพ็ญในครั้งนี้ได้ผ่านไปเป็นเวลาสามวัน ตรุษจีนก็ได้มาถึงแล้ว นางลืมตาขึ้นด้วยความรู้สึกสดชื่น
หลังจากร่ายคาถาชำระล้างให้ตัวเองก็หยิบเสื้อผ้ามาเปลี่ยน จากนั้นฉินหลิวซีจึงได้เปิดประตู
เถิงเจากับเจ้าโสมน้อยนั่งอยู่ใต้ชายคา ดื่มชาชื่นชมหิมะ บนโต๊ะชายังมีขนมกินเล่นหน้าตาน่ากิน เมื่อทั้งสองได้ยินการเคลื่อนไหวก็พากันดีใจ รีบหันกลับมา
“ท่านอาจารย์ ท่านออกมาแล้ว” เถิงเจาลุกขึ้นพลางมองสำรวจนาง เมื่อเห็นว่านางมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมากก็อดถอนหายใจด้วยความโล่งอกไม่ได้
เจ้าโสมน้อยมองดวงตาของฉินหลิวซีอย่างละเอียด เอ่ยว่า “ดูเหมือนว่าในดวงตาของท่านจะมีสายฟ้า”
ไม่ธรรมดา ทั้งๆ ที่ถูกฟ้าผ่า หากเป็นไต้ซือท่านอื่นเกรงว่ากักตัวฝึกบำเพ็ญเป็นเวลาครึ่งปีหนึ่งปีก็ยังไม่ดีขึ้นกระมัง แต่นางใช้เวลาเพียงสามวัน และดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้น ดูร้ายกาจขึ้นกว่าเมื่อก่อน
ฉินหลิวซีเอ่ย “ครั้งนี้นับว่าได้รับพรเพราะภัยพิบัติ หิวแล้ว ให้คนไปเตรียมอาหารมา กินไปด้วยคุยไปด้วยดีกว่า”
ฉินหลิวซีมองไปยังห้องถัดไป “คนตระกูลเซวียไปแล้วหรือ”
“ก็จะตรุษจีนแล้วไม่ใช่หรือ คุณหนูเซวียผู้นั้นฟื้นแล้ว ก็เลยให้พวกเขากลับเมืองหลวงไปแล้ว อย่างไรเสียก็ไม่รู้ว่าท่านกักตัวครั้งนี้จะออกมาอีกทีเมื่อไหร่” เจ้าโสมน้อยเอ่ยต่อไปว่า “ใต้เท้าเซวียผู้นั้นบอกว่าเมื่อพวกเรากลับไปเมืองหลวง จะขอบคุณท่านอีกครั้ง ส่วนศพทางด้านฉีซาน เขาได้ส่งคนไปจัดการแล้ว เจาเจาก็ยังได้ไปสวดพระสูตรเกิดใหม่ที่นั้น และทำพิธีเล็กๆ ด้วย”
“ตรุษจีนแล้วหรือ”
“วันนี้เป็นวันแรกของปีใหม่ ท่านอาจารย์ สุขสันต์วันตรุษจีน ขอให้ท่านประสบความสำเร็จมีแต่ความราบรื่น เจริญรุ่งเรืองสมดังปรารถนาในวันปีใหม่” เถิงเจาถอยหลังสองก้าวแล้วคุกเข่าลง โขกศีรษะคำนับสามครั้ง
หลังจากห่างหายไปสามปี ในที่สุดเขาก็สามารถโขกศีรษะคำนับนางในวันปีใหม่ได้แล้ว
เจ้าโสมน้อยเห็นดังนั้นก็คุกเข่าลงโขกศีรษะคำนับด้วย
ฉินหลิวซีรับไว้ ให้พวกเขาลุกขึ้น กล่าวว่า “ข้าไม่ได้เตรียมของขวัญสำหรับตรุษจีน เมื่อกลับไปเมืองหลวง ดูว่าจิ่วเสียนกับตำหนักอายุวัฒนะมีวัตถุดิบอะไรบ้าง ค่อยทำเป็นเครื่องรางคุ้มภัยให้พวกเจ้าคนละชิ้น ตอนนี้พกเครื่องรางหยกนี้ติดตัวไปก่อน”
นางยื่นเครื่องรางหยกสายฟ้าให้พวกเขาสองชิ้น
“ให้พวกเราด้วยหรือ” เจ้าโสมน้อยรับมาด้วยความดีใจ ถูเครื่องรางหยกเล่นอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอาใส่กระเป๋า แล้วหยิบรากโสมที่หนาเท่านิ้วและผลโสมสีแดงสองสามผลออกมายื่นให้ “ของขวัญตอบแทน”
ฉินหลิวซีรับมาแล้วใส่กล่องหยกไว้ ก่อนจะมองไปยังเถิงเจา เขาหน้าแดงเล็กน้อย หยิบสร้อยข้อมือออกมายื่นให้พลางกล่าวว่า “ข้าไปหาไม้เหลยจี[1]ที่ส่วนลึกของภูเขาด้านหลัง จากนั้นก็ขัดมันให้เป็นลูกปัด แล้วแกะสลักอักขระ เตรียมไว้นานแล้ว ปลุกเสกภายใต้แท่นประดิษฐานของเจ้าลัทธิเต๋า”
นางประหลาดใจเล็กน้อย ก้มลงมองลูกปัดไม้เหลยจี ขัดได้แวววาวเป็นอย่างมาก แต่ละเม็ดมีขนาดเท่านิ้วก้อย แกะสลักอักขระอย่างประณีต ได้รับการหล่อเลี้ยงอย่างดี
แม้ว่านางจะไม่ต้องการเครื่องรางปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายเช่นนี้ แต่นี่เป็นความกตัญญูของลูกศิษย์ ฉินหลิวซีมีความสุขเป็นอย่างมาก เอาใส่บนข้อมือทันที ก่อนจะลูบศีรษะเขาพลางกล่าวชื่นชมว่า “เจ้ามีความตั้งใจ สร้อยข้อมือนี้หล่อเลี้ยงได้เป็นอย่างดี”
เถิงเจาดีใจเป็นอย่างมาก
เจ้าโสมน้อยกลับหงุดหงิดเล็กน้อย เหลือบมองเถิงเจาด้วยความขุ่นเคือง เจ้าเด็กคนนี้ขี้โกง ใช้วิธีนี้ ของขวัญของข้าก็ยิ่งดูเหมือนไม่ใส่ใจ กลายเป็นของด้อยค่าไปแล้ว
ให้ตายเถอะ จะเตรียมของขวัญก็ไม่บอกกันสักหน่อย
ฉินหลิวซีก็จับมวยผมของเจ้าโสมน้อยพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ของขวัญของเจ้าข้าก็ชอบมากเช่นกัน โสมพันปีเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างแท้จริง เป็นของขวัญที่หายาก”
เจ้าโสมน้อยภูมิใจเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกเขินอยู่บ้าง ก่อนจะเอ่ยตอบว่า “ก็งั้นๆ แหละ”
องครักษ์พาคนนำอาหารมาให้ ฉินหลิวซีถามองครักษ์ผู้นั้นว่า “พวกเจ้าเหลืออยู่ที่นี่กันกี่คน”
องครักษ์รีบตอบว่า “มีอีกสามคน ท่านอาจารย์มีอะไรจะกำชับหรือขอรับ”
ฉินหลิวซีหยิบยันต์แคล้วคลาดสามแผ่นยื่นให้เขา ยิ้มพลางเอ่ย “วันตรุษจีนยังต้องรบกวนให้พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ มอบยันต์คุ้มภัยให้พวกเจ้าเล็กๆ น้อยๆ ขอสวรรค์จงประทานพรไม่มีที่สิ้นสุด”
องครักษ์ดีใจมาก รับมาด้วยมือทั้งสองข้าง ก่อนจะโค้งคำนับขอบคุณฉินหลิวซี
ไต้ซือท่านนี้ถูกฟ้าผ่าก็ยังรอดชีวิตมาได้ หลังจากกักตัวสองสามวันนี้ก็ยิ่งดูสง่างามกว่าเมื่อก่อน ยันต์คุ้มภัยที่นางมอบให้ย่อมเป็นของดี
“พวกเจ้าเองก็น่าจะกลับเมืองหลวงได้แล้ว พวกเรากินอาหารเสร็จแล้วก็จะกลับเช่นกัน”
องครักษ์รีบกล่าวว่า “ข้าน้อยจะไปเตรียมรถม้าเดี๋ยวนี้ขอรับ”
“ไม่ต้อง พวกเรายังมีที่ให้ไปอีก” ฉินหลิวซีปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม ในพลบค่ำวันแรกของปีใหม่ โรงประมูลจิ่วเสียนจะทำการประมูลการกุศล หากนางเดินทางโดยใช้เส้นทางปกติ เกรงว่าจะไปไม่ทัน
เมื่อองครักษ์แน่ใจแล้วว่าพวกเขาไม่ต้องการคนรับใช้แล้วจึงกล่าวขอบคุณอีกครั้ง และจากไปพร้อมกับสหายอีกสองคน
ฉินหลิวซี เถิงเจา และเจ้าโสมน้อยรับประทานอาหารด้วยกัน พลางอธิบายว่าเหตุใดครั้งนี้จึงได้รับพรจากหายนะ
สายฟ้าขัดเกลาร่างกาย
ตราบใดที่รอดมาได้ ตบะเต๋าก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีกขั้น และนางก็ยังสามารถใช้สายฟ้าได้โดยไม่ต้องใช้ยันต์
เจ้าโสมน้อยกล่าวว่า “ครั้งนี้เป็นเพราะกรรมที่วั่งชวนนำมาให้ ท่านจึงถูกฟ้าผ่าหรือ”
รอยยิ้มของฉินหลิวซีจางหายไปเล็กน้อย กล่าวว่า “มีสตรีบริสุทธิ์สามคนเสียชีวิตเพราะนาง แม้ว่าข้าจะไม่ได้เป็นคนฆ่าโดยตรง แต่เป็นเพราะข้าช่วยชีวิตนางไว้ในตอนนั้นก็ต้องรับผลกระทบไปด้วย ไม่ใช่เรื่องร้ายแรง แต่ผลกระทบนี้กลับไม่สามารถลบล้างไปได้”
เจ้าโสมน้อยเงียบไปแล้วจึงเอ่ย “บอกต่อใต้หล้า ยุติสถานะอาจารย์กับลูกศิษย์ผู้นี้เถิด ครั้งนี้สามคน หากไม่ใช่เพราะพวกเราตามไปทันเวลา เกรงว่าจะเป็นสี่คน ในภายภาคหน้าก็อาจจะเป็นสี่สิบคน แม้ว่าจะไม่ร้ายแรง แต่เล็กๆ น้อยๆ รวมกันขึ้นมาก็ร้ายแรงได้เช่นกัน”
ฉินหลิวซีกล่าวว่า “มีเพียงนางหรือไม่ก็ข้าตายไป สายกรรมนี้จึงจะตัดขาดอย่างสมบูรณ์”
บรรยากาศเยือกเย็นเล็กน้อย
“ไม่เป็นไร ทำความดีให้มากขึ้น สั่งสมบุญกุศลให้มากขึ้น ย่อมสามารถชดใช้ได้ ข้าช่วยชีวิตคนไว้มากมาย ย่อมต้องมีคนที่เปลี่ยนไป ไม่ใช่เพียงแค่นางคนเดียว ไม่ใช่กรรมสายตรงก็นับว่าดีแล้ว”
เช่นนั้นเจ้ายังได้พยายามอย่างหนักเพื่อช่วยเซวียอวี่อิงผู้นั้น แล้วยังมอบสิ่งดีๆ ให้มากมาย ทั้งเครื่องรางหยกทั้งบุญกุศล
นี่เป็นการชดใช้ให้วั่งชวนหรือ
เจ้าโสมน้อยไม่ได้เอ่ยอะไรอีก กล่าวว่า “ช่างเถิด ทั้งหมดล้วนถูกลิขิตไว้แล้ว กินข้าว วันแรกของปีใหม่ เมืองหลวงจะต้องครึกครื้นเป็นอย่างมากแน่นอน พวกเรารีบกลับไปกันเถอะ”
“ไม่ พวกเราต้องไปตอนนี้!” จู่ๆ ฉินหลิวซีก็วางชามกับตะเกียบลง หยิบตั๋วเงินขึ้นมาหนึ่งใบ วางไว้บนโต๊ะก่อนจะคว้าทั้งสองคนแล้วหายตัวไปจากห้อง
[1] ไม้เหลยจี ไม้ฟ้าผ่า หมายถึง ไม้ที่เหลือจากต้นไม้ที่ปลูกตามปกติซึ่งถูกฟ้าผ่า