คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1046 ท่านสนใจจะก่อกบฏหรือไม่
ตอนที่ 1046 ท่านสนใจจะก่อกบฏหรือไม่
………………..
ฉินหลิวซีเชิญเสนาบดีลิ่นเข้ามาในห้องส่วนตัวของเฟิงซิวที่ไม่อาจมองเข้ามาจากภายนอกด้วยตนเอง อย่างไรต้องเจรจาเรื่องก่อกบฏ…อ้อ หมายถึงการวางแผนเรื่องสำคัญเกี่ยวกับการบ่มเพาะฮ่องเต้องค์ถัดไป ไม่ใช่เรื่องที่ควรให้ผนังมีหูได้ยิน
เพียงแต่สีหน้าของเสนาบดีลิ่นไม่สู้ดีนัก ผิวหน้าซีดคล้ำ ริมฝีปากยังมีแผลพุพองสองแห่ง ดีที่อยู่ในตำแหน่งสูงมานานจึงยังคงสง่างาม แม้มีความเคร่งขรึมอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ลดทอนความสง่าของเขาลงเลย ฉินหลิวซีสั่งคนให้นำผงยามาพลางเอ่ย “หมอหลวงในสำนักหมอหลวงก็ว่างงาน ยังปล่อยให้ท่านเป็นแผลพุพองเช่นนี้ได้”
เสนาบดีลิ่นยิ้มอย่างขมขื่น “เมื่อปลายฤดูหนาวปีก่อน หิมะตกหนักกระจายพื้นที่กว้าง ผู้ประสบภัยก็มีมาก ข้าเพิ่งได้รับตำแหน่งคืน แม้การได้กลับสู่ตำแหน่งย่อมเป็นเรื่องน่ายินดี แต่กลับมาเจอเหตุการณ์เช่นนี้ทำให้ปวดหัวนัก สมบัติของแผ่นดินร่อยหรอ การบรรเทาภัยยากลำบาก หากไม่เช่นนั้นคงไม่เกิดการประมูลครั้งนี้ อีกอย่างผู้ครองอำนาจต้องมองภาพรวม มิใช่เพียงจดจ้องสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยเฉพาะ โดยเฉพาะข้าเพิ่งกลับมารับตำแหน่ง ย่อมต้องสร้างผลงานให้สมฐานะ”
“ผู้ที่มีความสามารถย่อมมีงานล้นมือ ท่านเหนื่อยมากจริงๆ” ฉินหลิวซียื่นชาถ้วยหนึ่งไปให้
เสนาบดีลิ่นส่ายศีรษะ เอ่ย “อยู่ในตำแหน่ง ต้องคิดวางแผนเพื่อบ้านเมือง”
เขายกถ้วยชาขึ้นดื่มหนึ่งจิบ มองฉินหลิวซีแล้วเอ่ย “หลายปีไม่ได้พบกัน ท่านกลับยิ่งสง่างามยิ่งขึ้นไปอีก อาจารย์ของท่าน…แม้ว่าเรื่องนี้จะล่าช้าไปบ้าง แต่ข้าก็ต้องขอแสดงความเสียใจต่อท่านด้วย”
ฉินหลิวซีหัวเราะเบาๆ เอ่ยตอบ “คำนี้ ข้าก็ต้องเอ่ยกับท่านเช่นกัน”
อาจารย์ของนางสิ้นไปแล้ว เช่นเดียวกับมารดาของเขาที่จากไป
เสนาบดีลิ่นนึกถึงมารดาผู้ล่วงลับ ใบหน้าฉายแววระลึกถึง เอ่ย “มารดาของข้าจากไปอย่างสงบสุข ต้องขอบคุณท่านเจ้าอาวาสที่เคยช่วยรักษามารดาของข้า หากมิใช่ท่าน นางคงทุกข์ทรมานมากก่อนสิ้นลมหายใจ”
ขณะเอ่ย เขายังยกมือคำนับฉินหลิวซีด้วยความจริงใจไปด้วย
ฉินหลิวซียิ้มเอ่ย “ท่านผู้เฒ่าคงได้ขึ้นสวรรค์อย่างแน่นอน”
เสนาบดีลิ่นหัวเราะเล็กน้อย พลางเลิกคิ้วเอ่ย “ได้ยินว่ารองเจ้ากรมฝ่ายซ้ายชุยเป็นคนเสนอให้จัดการประมูลการกุศลนี้ และยังเป็นความคิดของท่านด้วยหรือ”
“ข่าวของท่านรวดเร็วยิ่งนัก ข้าบอกใต้เท้าชุยว่าอย่าแพร่งพรายออกไป แต่กลับปิดบังท่านมิได้” ฉินหลิวซีเอ่ยชื่นชม
“เพราะความบังเอิญ ขณะที่ครอบครัวของเขาเข้ามาเมืองหลวงนั้น ก็ได้พบกับพวกชิงถัง ต่อมาได้มาเยือนที่บ้าน จึงไม่ได้ปิดบังอะไร” เสนาบดีลิ่นเอ่ย “หลานสาวของข้า ก็ได้รับความช่วยเหลือจากท่านไม่น้อย หากมิใช่ว่านางมีบุญ คงไม่รอดจนถึงวันที่ได้พบท่าน”
กู่กลืนกินวิญญาณ เขาและครอบครัวต่างไม่รู้เรื่อง เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ก็อดหวาดผวาขึ้นมาไม่ได้
ฉินหลิวซีเคาะโต๊ะเบาๆ เอ่ย “เสนาบดีลิ่นต้องการชดใช้บุญคุณแทนหลานสาวของท่านหรือ”
เสนาบดีลิ่นเป็นผู้มากประสบการณ์ในราชสำนัก เมื่อได้ยินคำนี้ก็เอ่ยถามอย่างชาญฉลาด “ท่านอยากให้ข้าบริจาคสร้างรูปหล่อทองคำหรือว่ามอบเงินเป็นเงินหรือ”
มุมปากของฉินหลิวซีกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะส่ายศีรษะพลางเอ่ย “ครั้งนี้มีเรื่องอื่น”
“เอ๋?”
“ท่านเป็นถึงเสนาบดีเอก มีขุนนางและผู้มีความสามารถมากมายอยู่เบื้องล่าง แม้ไม่ได้รู้ทุกเรื่อง แต่หากจะสืบข่าวบางอย่างก็น่าจะพอทำได้ใช่หรือไม่”
เสนาบดีลิ่นหรี่ตาลงเล็กน้อย เอ่ย “ท่านต้องการสืบเรื่องใด”
“มิใช่ใครอื่นหรอก เพียงแค่ศัตรูของพวกท่าน ซืออี๋จวิ้นจู่”
เสนาบดีลิ่นนิ่งไปครู่หนึ่ง “นางทำอะไรท่านหรือ”
“ที่จริงแล้ว ควรจะสืบเรื่องของจวนซิ่นหยางอ๋องมากกว่า” ฉินหลิวซีเอ่ย “หญิงข้างกายซืออี๋จวิ้นจู่ที่ใช้กู่ผู้นั้น เป็นนางที่ใช้กู่กับหลานสาวท่าน ข้ากำจัดกู่นั้นไปแล้ว แม่หมอกู่ผู้นั้นได้รับพลังสะท้อนกลับ ตายไปแล้ว แต่คนตัวเล็กตายไป มีคนตัวใหญ่เข้ามา ซืออี๋จวิ้นจู่ตามหาอาจารย์แม่หมอกู่ผู้นั้นมา บังเอิญตายในน้ำมือข้าแล้วเช่นกัน”
เสนาบดีลิ่น “…”
เจ้าเอ่ยถึงเรื่องสังหารคนได้ง่ายดายเหลือเกิน
“ท่านรู้หรือไม่ ไยข้าจึงสังหารนักพรตเต๋าผู้นั้น ก็เพราะข้าได้ยินเรื่องแปลกประหลาดและชั่วร้ายจากปากของเขานั่นเอง”
เสนาบดีลิ่นไม่ได้เอ่ยตอบ เพียงรอฟังต่อ
ฉินหลิวซีจึงเล่าเรื่องที่จวนซิ่นหยางต้องการใช้อาคมชั่วร้ายเพื่อขอให้ได้บุตรผู้ยิ่งใหญ่ให้ฟังหนึ่งรอบ
สีหน้าของเสนาบดีลิ่นแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย มีความเคร่งเครียดแฝงอยู่
ในฐานะที่เขาเป็นเสนาบดีแห่งราชสำนัก ย่อมไวต่อเรื่องที่เกี่ยวกับการแย่งชิงอำนาจ ทันทีที่ได้ฟังฉินหลิวซีเอ่ยเช่นนี้ ในหัวของเขาก็ปรากฏความคิดหนึ่งขึ้นมาในทันใด
ซิ่นหยางอ๋องต้องการก่อกบฏ
บุตรที่ครบรอบด้านด้วยธาตุทั้งห้า มีดวงชะตาที่ไม่สิ้นสุด หากได้มา ทุกอย่างก็ย่อมสมปรารถนามิใช่หรือ
หากซิ่นหยางอ๋องต้องการก่อกบฏ ด้วยดวงชะตาของบุตรเช่นนี้ ย่อมพลิกโค่นราชบัลลังก์ได้เช่นกัน
แต่ทว่า…
“นางไม่มีวันคลอดลูกได้” เสนาบดีลิ่นส่ายศีรษะ
ฉินหลิวซีมองดูเขาอย่างสงสัย ความหมายของเขาคืออะไรกัน
เสนาบดีลิ่นยกถ้วยชา ดื่มอย่างช้าๆ ก่อนจะเอ่ยอย่างมีนัยยะลึกซึ้งว่า “นางเป็นคนชั่วช้าขนาดที่จะลงมือทำร้ายทารกได้เช่นนี้ จะคู่ควรเป็นมารดาได้หรือ เมื่อไม่มีจิตใจแห่งความเป็นมารดา ก็อย่าได้ปล่อยให้ทารกต้องทนทุกข์ ให้ไปเกิดใหม่ที่อื่นเสียเถอะ”
เมื่อฉินหลิวซีได้ฟังจึงเข้าใจ เอ่ย “ท่านให้ยาทำลายบุตรแก่นาง”
“แม้ไม่ใช่ แต่ก็ใกล้เคียง” เสนาบดีลิ่นเอ่ย “แต่หากข้าเป็นซิ่นหยางอ๋อง คงไม่วางความหวังไว้ในที่เดียวแน่นอน หากเขาต้องการบุตรที่ยิ่งใหญ่นี้จริง เขาคงไม่ฝากความหวังไว้ที่ซืออี๋จวิ้นจู่เพียงผู้เดียว”
ฉินหลิวซีเลิกคิ้ว เอ่ยอย่างสนใจ “การปลูกเมล็ดในหลุมเดียว ย่อมยากที่จะงอกออกมา หากปลูกในหลายหลุมพร้อมกัน…”
สีหน้านางตกใจ สบตากับเสนาบดีลิ่น
หรือว่านอกจากอนุซ่งนี้แล้ว ยังมีสตรีอื่นที่เป็นรังสำหรับตั้งครรภ์หยินนี้อีกหรือ หรือว่าการตั้งครรภ์หยินนี้มีเลือดของสตรีหลายคน หรือจะเป็นซืออี๋จวิ้นจู่ หรือสตรีอื่นในจวนซิ่นหยาง
หากเป็นเช่นนี้ก็ย่อมไร้ข้อผิดพลาดใดๆ
ฉินหลิวซียิ่งคิดยิ่งเห็นว่าซิ่นหยางอ๋องต้องวางแผนเช่นนี้ นางพลาดไม่ทันคิดถึงเรื่องนี้ไปเสียแล้ว
“เสนาบดีลิ่น ช่างมีแผนการลึกซึ้งจริงๆ”
เสนาบดีลิ่นหัวเราะ “ข้าจะถือว่าท่านเอ่ยชมข้าแล้วกัน แต่ท่านคิดว่าซิ่นหยางอ๋องทำเช่นนี้เพราะต้องการ…”
“ก่อกบฏ”
เสนาบดีลิ่นสำลักชาเมื่อได้ฟังคำเอ่ยที่ตรงไปตรงมาของนาง เขามองออกไปข้างนอกอย่างสังหรณ์ใจว่าสถานที่แห่งนี้เก็บเสียงได้ดีหรือไม่
ฉินหลิวซีหัวเราะเบาๆ
“ท่านวางใจ ที่นี่ไม่มีผู้ใดได้ยินเราคุยกัน”
เฟิงซิวที่แปลงตัวเป็นเสาไม้ยืนอยู่ข้างๆ ใช่ ข้าไม่ใช่คน
“ท่านต้องการสืบดูว่าซิ่นหยางอ๋องกำลังก่อกบฏใช่หรือไม่” เสนาบดีลิ่นถามหยั่งเชิง
“เขาจะก่อกบฏหรือไม่ ข้าไม่ใส่ใจ แต่การใช้วิชาชั่วร้ายเช่นนี้ ข้าอยากรู้ว่าซิ่นหยางอ๋องได้เรื่องนี้มาจากที่ใด ข้าสงสัยว่าเขามีผู้เชี่ยวชาญวิชาลึกลับนี้คอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง” ฉินหลิวซีเอ่ย “ชีวิตของซิ่นหยางอ๋องข้าไม่สนใจ ข้าเพียงต้องการรู้ว่าใครเป็นผู้ช่วยเหลือเขา”
หากซิ่นหยางอ๋องกำลังวางแผนการใหญ่ เพื่อความสงบของต้าเฟิง จำเป็นต้องสืบเรื่องนี้ให้ชัดเจน อย่างไรพื้นที่ของซิ่นหยางอ๋องอย่างไท่โจวทั้งตั้งอยู่ในทำเลที่ป้องกันได้ง่าย ยากที่จะโจมตี และยังมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ หากเขาต้องการก่อกบฏจริงก็นับว่ามีทุนอยู่ไม่น้อย
เสนาบดีลิ่นจึงเอ่ย “เมื่อข้ากลับไปแล้ว ข้าจะให้คนไปสืบดู”
ฉินหลิวซีจึงส่งเครื่องรางคุ้มภัยให้หลายชิ้น เอ่ยว่า “หากมีผู้เชี่ยวชาญวิชาลึกลับนี้อยู่จริง ให้คนของท่านระวังตัวอย่าให้ถูกพบเห็น และอย่าทำการใดโดยพลการ เพียงสืบหาข่าวเท่านั้น เครื่องรางเหล่านี้ขอมอบให้คนของท่านไว้ใช้ป้องกันตัว”
เมื่อเห็นนางจริงจังเช่นนี้ เสนาบดีลิ่นจึงได้รู้ว่าผู้มีวิชาในโลกนี้ไม่ใช่นางเพียงคนเดียว เขาจึงรับเครื่องรางเหล่านั้นมาโดยไม่เกรงใจ
เมื่อเก็บเครื่องรางเข้ากระเป๋า เขาก็ยกถ้วยชาขึ้นจิบอีกคำ แต่แล้วก็ได้ยินฉินหลิวซีเอ่ยประโยคหนึ่งขึ้น
“ว่าแต่ เสนาบดีลิ่น ท่านสนใจจะก่อกบฏหรือไม่”
พรวด!
เสนาบดีลิ่นมองนางด้วยความตกตะลึง เจ้าเอ่ยซ้ำอีกครั้งได้หรือไม่