คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1047 หึๆ ขอบคุณที่ชวน
ตอนที่ 1047 หึๆ ขอบคุณที่ชวน
………………..
เสนาบดีลิ่นคิดว่าตนคงแก่แล้วจนฟังผิดไป ถึงได้ยินคำถามจากปากของฉินหลิวซีว่าตนสนใจที่จะก่อกบฏหรือไม่
เขามองฉินหลิวซีด้วยสีหน้าอึ้งๆ เกือบจะเสียมารยาทยื่นมือไปแตะหน้าผากของนาง เพื่อดูว่านางมีไข้หรือไม่
เสนาบดีลิ่นจิบชาลงไปหนึ่งอึก เพื่อกดความตกใจลง
“ท่านถูกซิ่นหยางอ๋องทำให้หลงผิดหรือไร ก่อกบฏอย่างนั้นหรือ”
ฉินหลิวซีส่ายศีรษะ “บุตรชายคนโตของจวนหนิงอ๋อง ฉีเชียน เป็นโอรสของฮ่องเต้ ข้อนี้ท่านเสนาบดีย่อมรู้ใช่หรือไม่”
ดวงตาของเสนาบดีลิ่นหดลงเล็กน้อย “อย่าบอกข้าว่าท่านคิดจะสนับสนุนเด็กคนนั้นขึ้นครองบัลลังก์”
“มีสิ่งใดที่ทำไม่ได้เล่า”
เสนาบดีลิ่นขมวดคิ้ว เอ่ย “บัดนี้รัชทายาทได้รับการแต่งตั้งแล้ว ต่อให้ฮ่องเต้สวรรคต รัชทายาทก็จะขึ้นครองบัลลังก์อย่างชอบธรรม แต่ท่านกลับเอ่ยว่าต้องการสนับสนุนโอรสนอกสมรสขึ้นครองราชย์หรือ”
รัชทายาทได้รับการแต่งตั้ง ต่อให้บรรดาอ๋องอื่นๆ ไม่ยอมรับแล้วก่อการแย่งชิงบัลลังก์ อย่างน้อยพวกเขาก็ยังเป็นโอรสในสายเลือดของฮ่องเต้ แต่ฉีเชียนในฐานะโอรสที่มีสถานะไม่ชัดเจน คิดจะแย่งชิงบัลลังก์ เกรงว่าคงจะถูกดูหมิ่นจากคนทั้งใต้หล้า
เสนาบดีลิ่นจ้องมองฉินหลิวซี ในแววตามีประกายของการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน “ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าท่านคิดทำสิ่งใด ท่านก็อยากจะเป็นราชครูหรือ”
วาจานี้ออกจะล่วงเกินอยู่บ้าง
เสนาบดีลิ่นเป็นขุนนางมานาน อีกทั้งยังอยู่ในตำแหน่งสูง ย่อมไม่ใช่ว่าฉินหลิวซีจะกล่าวคำสองคำแล้วเขาจะรีบร้อนถามว่า จะเริ่มอย่างไร เมื่อใดจะลงมือ
เขาย่อมต้องสงสัยในเจตนาของฉินหลิวซี และยิ่งต้องขบคิดให้ละเอียดถึงเป้าหมายของนางว่าบริสุทธิ์หรือไม่
เขาเข้าสอบจอหงวน ผ่านสนามการเมือง ได้เป็นขุนนางชั้นสูง ไม่ใช่เพื่อเสวยสุขอำนาจอย่างเดียว แต่เพื่อประชาราษฎร์ของแผ่นดิน หาใช่เพื่อรีดเค้นเบียดเบียนผู้คน
หากฉินหลิวซีคิดจะทำลายแผ่นดิน แม้ว่านางจะมีบุญคุณใหญ่หลวงกับตระกูลลิ่น เขาก็จะไม่มองข้าม และยิ่งจะไม่ยอมสมคบคิดกับนาง
แต่ฉินหลิวซีกลับไม่โกรธ หากเสนาบดีลิ่นตอบรับคำพูดของนางอย่างง่ายดาย นางกลับจะต้องชั่งน้ำหนักว่าคนผู้นี้ควรค่าแก่การไว้เนื้อเชื่อใจหรือไม่
เขารอบคอบมีวิจารณญาณของตนเอง ย่อมสามารถสร้างความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้
ฉินหลิวซีมองไปยังเสนาบดีลิ่น เอ่ย “ท่านเสนาบดีช่างยกย่องข้าแล้ว ข้ามิได้มีความสามารถที่จะทำลายแผ่นดินได้ ข้าเป็นเพียงนักพรตเต๋าตัวเล็กๆ ไหนเลยจะเป็นราชครูได้ ข้าเพียงต้องการสนับสนุนฉีเชียนขึ้นครองบัลลังก์ ก็เพราะข้ารู้ว่าใต้หล้าจะเกิดความวุ่นวาย ข้าอยากใช้เส้นสายของตนเอง รวบรวมคนเก่งกล้าขึ้นมาเป็นคณะผู้กล้าที่สามารถสร้างความสำเร็จใหญ่ เมื่อถึงเวลานั้นก็จะสามารถรักษาความสงบของใต้หล้าได้”
ความสามารถทำลายแผ่นดินหรือ
เฟิงซิ่วหันมามอง ไม่ นางมีความสามารถ แต่นางจะไม่ทำ
เสนาบดีลิ่นฟังวาจาของนาง สีหน้าเริ่มแสดงความเคร่งขรึม
เรื่องการก่อกบฏกลับกลายเป็นปัญหาใหญ่ถึงประชาราษฎร์ในใต้หล้า จะต้องร้ายแรงเพียงใดกัน เขานึกถึงคำพูดของฉินหลิวซีเกี่ยวกับจวนซิ่นหยางอ๋องที่บอกว่าอาจมีนักพรตใช้วิชาอาคม และภายในวังหลวงก็ยังมีราชครูที่กำลังสอนให้ฝ่าบาทบำเพ็ญตบะเพื่อชีวิตอมตะ ครั้นคิดดูแล้วเหมือนจะมีนักพรตหลายคนโผล่ขึ้นมาใช้วิชาอาคมกันมาก
เสนาบดีลิ่นเป็นคนฉลาด สมองของเขาหมุนไว รู้เท่าทันสถานการณ์ เอ่ย “ท่านเอ่ยเช่นนี้ หมายความว่ามีนักพรตชั่วร้ายที่คิดจะทำลายแผ่นดินหรืออย่างเช่น ราชครูในวังหลวงหรือ”
“ถึงแม้ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง เขาฝีมือเก่งกว่านักพรตเสียอีก เขาไม่ใช่นักพรต หากแต่เป็นพระสงฆ์ผู้บำเพ็ญที่มีชีวิตอยู่มาหลายพันปี เป็นปีศาจเฒ่าตนหนึ่ง”
มือของเสนาบดีลิ่นสั่นขึ้นมา พลางมองนางด้วยความตกตะลึง
ท่านมั่นใจหรือว่าไม่ได้แต่งเรื่องเทพนิยายขึ้นมาล้อข้าเล่น อายุยืนมาหลายพันปีอย่างนั้นหรือ
ฉินหลิวซียิ้มบาง “ปีศาจเฒ่าตนนั้นกำลังวางหมากกระดานใหญ่ ข้ากลัวว่าเพื่อให้แผนสำเร็จ เขาอาจใช้ทั้งใต้หล้าสังเวยฟ้า ถึงตอนนั้นคงไม่ใช่แค่ภัยหิมะธรรมดา แต่จะเป็นความโกลาหลครั้งใหญ่ หากไม่มีฮ่องเต้และขุนนางที่แข็งแกร่งบริหารจัดการ บ้านเมืองที่ตกอยู่ในหายนะย่อมต้องใช้เวลายาวนานในการฟื้นฟู”
นางยกกาน้ำชาขึ้นรินเติมน้ำชาให้เสนาบดีลิ่นพลางเอ่ยต่อ “แน่นอน สิ่งที่ข้าเอ่ยเป็นเพียงความเป็นไปได้หนึ่ง หรือฝ่ายธรรมะอาจได้รับการคุ้มครองจากฟ้าดินจนผ่านพ้นวิกฤตไปได้อย่างราบรื่น แต่ถ้าหากไม่ใช่เล่า”
หัวใจของเสนาบดีลิ่นเต้นระรัว เขาอยากเอ่ยสักประโยค ดังนั้นเรื่องเทพนิยายของท่านนี้ จุดสำคัญคงเป็นเทพต่อสู้กันแล้วมนุษย์ซวยใช่หรือไม่
เขากลับถามออกไปด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ท่านไม่ได้ล้อข้าเล่นจริงๆ ใช่หรือไม่”
นี่เกินจริงไปหน่อยแล้ว
“ข้ากำลังจริงจังชวนท่านก่อกบฏ เหตุใดจะเป็นการล้อเล่นได้เล่า” ฉินหลิวซีกล่าวหยอกเย้าพร้อมรอยยิ้ม
หึๆ ขอบคุณที่ชวนนะ
เสนาบดีลิ่นตั้งสติก่อนจะเอ่ยถามกลับไปว่า “ไยต้องเป็นฉีเชียนเล่า แม้จะมีข่าวลือว่าเขาเป็นโอรสมังกร แต่สถานะทางการของเขาก็ยังเป็นเพียงบุตรคนโตของหนิงอ๋อง ยิ่งกว่านั้น พระชายาหรูในวังหลวงก็เป็นมารดาแท้ๆ ของเขา ซึ่งทุกคนต่างรู้ดี หากเขาได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ ชื่อเสียงนี้…”
ฉินหลิวซีถามกลับหนึ่งประโยค “ตามสายตาของเสนาบดีลิ่น ท่านคิดว่ารัชทายาทองค์ปัจจุบันเป็นฮ่องเต้ที่ดีได้หรือไม่”
มุมปากของเสนาบดีลิ่นกระตุก “รัชทายาทค่อนข้างจะธรรมดาเกินไป[1]”
รัชทายาทองค์ปัจจุบันได้รับประโยชน์จากการเป็นโอรสองค์โตของฮ่องเต้ เมื่อยังเยาว์วัยเขาเคยดูสง่างาม แต่เมื่อได้เป็นรัชทายาทและอายุมากขึ้น เขากลับเริ่มอ้วนพีและหันไปแสวงหาความสุขสำราญ ยิ่งกว่านั้นเขายังระแวงและกดดันบรรดาพี่น้องของตนเอง
หากรัชทายาทได้ขึ้นครองบัลลังก์ ต่อให้ขยายอาณาเขตไม่ได้ การรักษาความมั่นคงของแผ่นดินก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว และคงต้องหวังพึ่งรุ่นถัดไป หากรุ่นถัดไปยังคงธรรมดาเช่นนี้ การเปลี่ยนแปลงราชวงศ์ก็คงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
“ท่านยังมองว่ารัชทายาทธรรมดาเกินไป แล้วเขาจะปกครองบ้านเมืองที่กำลังวุ่นวายได้หรือ หากเขายังมัวแต่หาความสุขสำราญในยุคสมัยที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยาก ผู้ที่ลำบากก็คือประชาชนชั้นล่าง” ฉินหลิวซีเอ่ย “ส่วนที่ท่านเอ่ยถึงเรื่องชื่อเสียงของฮ่องเต้ เสนาบดีลิ่นย่อมรู้ดียิ่งกว่าข้า ประวัติศาสตร์ถูกเขียนขึ้นโดยผู้ชนะ บรรพบุรุษตระกูลฉีตอนนั้นขึ้นหลังม้าสู้รบไปทั่ว ก็ไม่ได้มาจากชาวป่าแบกไม้หาฟืนหรอกหรือ”
เสนาบดีลิ่นเงียบไปชั่วขณะ
เนิ่นนานก่อนจะเอ่ยถาม “ท่านมองฉีเชียนดีเช่นนี้ เพราะเขามีลักษณะของฮ่องเต้ที่ดีหรือ”
“ไม่เชิง ข้าเพียงแค่รู้จักเขา และเขายังสามารถขัดเกลาได้”
เสนาบดีลิ่น “…”
ท่านช่างเป็นคนที่น่าหงุดหงิดยิ่งนัก
ฉินหลิวซีหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ย “ฮ่องเต้ที่ดีนั้นต้องมีการสั่งสอน หากข้าได้รวบรวมคนเหล่านี้ เช่นท่านเสนาบดีผู้ซึ่งเป็นถึงเสนาบดีชั้นหนึ่งที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อแผ่นดิน ขุนนางฝ่ายบุ๋น และบรรดานายพลเช่นตระกูลเฉวียนและตงหยางโหว รวมถึงมีตระกูลอวี้เป็นที่ปรึกษา อีกทั้งยังมีถุงเงินเช่นกงปั๋วเฉิงคอยสนับสนุน หากด้วยกลุ่มเช่นนี้ยังไม่สามารถบ่มเพาะฉีเชียนให้เป็นฮ่องเต้ที่ดีได้ ก็คงเป็นไม้เน่าที่ไม่อาจแกะสลักได้ ท่านก็เพียงเลือกผู้สืบทอดอื่น”
เมื่อเห็นนางเปิดเผยแผนการตรงไปตรงมา แววตาของเสนาบดีลิ่นก็เปลี่ยนไป
นี่คือคนสนับสนุนของนาง มีทั้งคน มีทั้งทรัพย์
หากเขาเป็นฮ่องเต้ คงต้องหวั่นเกรงว่านางจะไม่พอใจแล้วลุกขึ้นมาก่อกบฏเพียงชั่วพริบตา
ไม่แปลกใจเลยที่นางเอ่ยเรื่องกบฏได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ หากเขามีเครือข่ายเช่นนี้ คงต้องคิดบ้างว่าบัลลังก์นี้ควรเป็นของตระกูลลิ่นหรือไม่
คิดเช่นนี้ไม่ได้ พอคิดแล้วรู้สึกบาปหนักยิ่งนัก
เสนาบดีลิ่นรีบดื่มชาเย็นอีกถ้วยเพื่อดับความคิดฟุ้งซ่านของตนเอง เอ่ย “ท่านมั่นใจขนาดนั้นหรือว่าปีศาจเฒ่าตนนั้นจะทำให้แผ่นดินต้าเฟิงปั่นป่วนได้”
“แน่นอน” ฉินหลิวซีเอ่ย “ดังนั้น เอ่ยให้ไม่น่าฟังก็คือการก่อกบฏ แต่หากสำเร็จมันก็จะเป็นการเปลี่ยนแปลงราชวงศ์ พวกท่านล้วนจะมีความดีความชอบในการสนับสนุนฮ่องเต้องค์ใหม่ อย่างไรก็ตามความจริงแล้วพวกเรากำลังรับมือกับสถานการณ์ที่โกลาหล เสนาบดีลิ่น ท่านจะกล้าเสี่ยงเพื่อประชาชนเพื่อแผ่นดินหรือไม่”
[1] หมายถึงรัชทายาทองค์ปัจจุบันมีลักษณะธรรมดา ไม่ได้โดดเด่นในด้านการปกครองหรือมีความสามารถพิเศษในการเป็นผู้นำ