คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1055 ต้นชาออกหัวคน
ตอนที่ 1055 ต้นชาออกหัวคน
ลี่เสวียฟู่ในยามนี้ตกอยู่ในความหวาดหวั่นสุดขีด
ตระกูลลี่ในตอนนี้มีท่าทีว่าจะเสื่อมถอย แต่ถึงกระนั้นก็เป็นไปอย่างช้าๆ หากหาคนที่ถูกต้อง ยังคงมีโอกาสพลิกฟื้นสถานการณ์ได้ ทว่าตอนนี้ฉินหลิวซีบอกว่าเครื่องบรรณาการมีปัญหา ใบชามีพลังแค้นแฝงอยู่ หากเรื่องนี้ไปถึงหูฮ่องเต้ ความพินาศของตระกูลเก้าชั่วโคตรก็อาจไม่พอ
ไม่รู้ว่าฉินหลิวซีจะเอาความลับไปฟ้องร้องหรือไม่ แต่ตนเองก็ไม่อาจฆ่านางเพื่อปิดปากได้
พลังของทั้งสองฝ่ายต่างกันลิบลับ
ลี่เสวียฟู่เสียใจอย่างสุดซึ้ง
“เจ้าคิดจะฆ่าข้าเพื่อปิดปากหรือ” ฉินหลิวซีมองดูเขาด้วยสายตาขบขัน
ลี่เสวียฟู่ใบหน้าขาวซีด ทรุดเข่าลงกับพื้นทันที “ข้าผู้แซ่ลี่มิกล้า”
“ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่กล้า แต่เป็นเพราะเจ้าไม่มีความมั่นใจ หากเจ้าคิดว่าตนเองมีพลังพอ เจ้าคงจะเก็บข้าไว้ที่นี่แล้ว” ฉินหลิวซีเหลือบมองเขา พลางหัวเราะเบาๆ
ลี่เสวียฟู่เหงื่อไหลพลั่ก เอ่ย “ท่านช่างล้อเล่นเก่งจริงๆ”
ให้ตายเถิด นักพรตหญิงผู้นี้มีพลังในการอ่านใจคน
ฉินหลิวซีเอ่ย “อย่าชักช้า ไปยังภูเขาชาที่มีต้นชาหยกหมอกเถิด”
ลี่เสวียฟู่หัวเราะกลบเกลื่อนแล้วลุกขึ้นจากพื้น สั่งให้คนเตรียมรถม้าเพื่อนำพาพวกเขาไปยังภูเขาชา เขาไม่กล้าขอให้ฉินหลิวซีช่วยตรวจดูลูกชายที่นอนป่วยอยู่บนเตียงก่อนเลยแม้แต่น้อย
ระหว่างทางลี่เสวียฟู่พยายามปัดเป่าความกังวลของตน จึงเอ่ยถามฉินหลิวซีอย่างกล้าๆ กลัวๆ “เหตุใดใบชาจึงมีพลังแค้นหรือ หากดื่มเข้าไปจะเกิดสิ่งใด”
“พลังแห่งความแค้นนั้นร้ายกาจและเป็นอัปมงคลอย่างยิ่ง หากพลังชั่วร้ายเข้าสู่ร่างกาย ผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างแรกคือร่างกาย มักจะป่วยออดๆ แอดๆ ไม่หยุด หากมีพลังหยางมากพอ และไม่ได้ดื่มเป็นประจำก็ไม่ต้องกังวลมากนัก ตากแดดสักหน่อย ไปไหว้พระที่วัดบ้างก็สามารถขับไล่พลังชั่วร้ายได้ แต่หากพลังหยางไม่เพียงพอ พลังชั่วร้ายจะเข้าสู่ร่างกาย ไม่เพียงแต่จะป่วย ยังทำให้โชคชะตาตกต่ำ เห็นสิ่งที่ปกติมองไม่เห็น และง่ายที่จะถูกสิ่งอัปมงคลรบกวน” ฉินหลิวซีมองเขาแล้วเอ่ย “เจ้าควรดีใจที่หยกหมอกนี้มีผลผลิตน้อย หากส่งออกไปในปริมาณมาก ให้คนได้ดื่มกันทั่ว อาจเกิดปัญหามากมายแน่นอน”
เหงื่อที่หน้าผากของลี่เสวียฟู่ตกลงมาไม่ขาดสาย
“นี่มันใบชาของปีก่อน แล้วใบชาของปีกลายเล่า…”
ฉินหลิวซีเอ่ยตอบ “เจ้าว่าเมื่อปีที่แล้วแทบจะส่งมอบไม่ทัน มีปริมาณน้อย คงไม่ได้มอบให้ผู้ใด หากเป็นฮ่องเต้เองก็ยังมีพลังมังกรคุ้มครองร่างกาย ไม่ง่ายที่พลังชั่วร้ายจะเข้ามา”
ลี่เสวียฟู่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ยังไม่ทันจะยิ้มออก ฉินหลิวซีกลับเอ่ยขึ้นอีกว่า “แต่หากฮ่องเต้มอบชาให้สนมผู้ใดหรือขุนนางผู้ใดที่โชคไม่ดี ก็…ต้องภาวนาให้โชคดีเถิด”
ลี่เสวียฟู่ “!”
นี่มันทรมานเสียยิ่งกว่าการประหารอย่างช้าๆ เสียอีก
ด้วยใจที่หวาดหวั่น ไม่นานพวกเขาก็มาถึงภูเขาชา เมื่อก้าวลงจากรถม้า ฉินหลิวซีก็ขมวดคิ้วทันที
นี่เป็นปัญหาใหญ่แล้ว
บรรพบุรุษของตระกูลลี่ทำสิ่งใดไว้กันแน่ เหตุใดพลังแค้นจึงแผ่ขยายไปทั่วทั้งภูเขาชา
เฟิงซิวเองก็เห็นเช่นกัน จึงฮึมฮัมเสียงดัง “ความโลภมากเกินไปเหมือนงูที่กลืนช้าง[1] นี่ก็หมายถึงคนเช่นพวกเจ้า เพื่อให้ตระกูลร่ำรวยยิ่งขึ้น ไม่ละอายใจในสิ่งใดเลย ไม่แปลกที่ลูกหลานต้องมารับกรรม”
ลี่เสวียฟู่เพียงแค่ก้าวลงจากรถม้า ร่างกายก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว เมื่อได้ยินเสียงถากถางและดูหมิ่นจากเฟิงซิว ก็เหมือนนกกระทา[2]ที่ไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงสักแอะเดียว
ฉินหลิวซีหันไปมองลี่เสวียฟู่ เอ่ย “ตระกูลลี่ของพวกเจ้า จงเตรียมตัวรับกับการล่มสลายเถิด นอกจากนี้ภูเขาชาแห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยพลังแค้น ในช่วงนี้อย่าให้ผู้ใดเข้ามาใกล้”
ลี่เสวียฟู่ตกใจเป็นอย่างยิ่ง
ฉินหลิวซีก้าวขึ้นเขาไปตรงจุดที่พลังแค้นหนาแน่นที่สุด ตลอดทางจนถึงกลางภูเขา นางหยุดลงเพื่อตรวจดูฮวงจุ้ยแถบนั้น พบว่าภูเขานี้เป็นพื้นที่ที่มีฮวงจุ้ยอันเป็นมงคลยิ่ง
ภูเขาสายนี้มีความศักดิ์สิทธิ์ของสันเขาจงเย่ว์ และความงดงามของภูผาลำธาร หากใช้ทำสุสานจะเป็นหลุมศพอันเป็นมงคล นำพาความเจริญรุ่งเรืองและความมั่งคั่งให้กับครอบครัวได้ แต่ตระกูลลี่กลับเลือกปลูกต้นชา
น่าเสียดายอย่างที่เฟิงซิวเอ่ยไว้ ความโลภไม่รู้จักพอเปรียบดั่งงูที่กลืนช้าง ตระกูลลี่โลภมากเกินไป ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำแล้ว
“นี่ นี่คือชาต้นเก่าของพวกเรา” ลี่เสวียฟู่ไม่รู้ว่าฉินหลิวซีรู้ทิศทางของต้นชาได้อย่างไร เขายืนอยู่ข้างๆ นางด้วยความกลัวพลางชี้ไปยังโรงเรือนอุ่น
ฉินหลิวซีมองดูต้นชาเก่าแก่ทั้งสามต้นที่เริ่มแห้งเหี่ยว เอ่ย “ต้นชาเหล่านี้รักษาไม่ได้แล้ว รื้อโรงเรือนนี้ไปเถิด ให้คนเอาจอบมาขุดต้นชาทิ้งเสีย”
ลี่เสวียฟู่หันไปมองต้นชาเก่าแก่เหล่านั้นทันใด เขาไม่ได้มาระยะหนึ่งแล้ว ต้นไม้กลับยิ่งแห้งเหี่ยวมากขึ้น โคนต้นบางส่วนเริ่มดำออกมา เห็นได้ชัดว่าช่วยไม่ได้แล้ว
ไยจึงเป็นเช่นนี้
นางบอกให้ขุดต้นชา ดังนั้นใต้ต้นชาเหล่านี้ฝังสิ่งใดไว้จริงๆ อย่างนั้นหรือ
ลี่เสวียฟู่เดินโซเซไปเรียกคนมา
ในขณะที่ฉินหลิวซีมองดูพลังแค้นที่พวยพุ่งออกมาจากใต้ต้นชา มันแผ่ขยายไปทั่วทุกทิศ นางยกนิ้วขึ้นนับคำนวณ
เนิ่นนานจึงส่งเสียงหึขึ้นมา “คนทำบาปฟ้าลงโทษ ช่างไม่ผิดเลย บาปที่ก่อขึ้นก็ต้องรับผิดเอง”
เฟิงซิวเอ่ยถาม “ที่นี่ถูกวางค่ายอาคมหรือ”
ฉินหลิวซีพยักหน้า “คงจะเป็นค่ายอาคมเร่งพลังชีวิต แต่ตอนนี้ค่ายอาคมพังแล้ว พลังชีวิตกลับกลายเป็นพลังแค้น ทำให้พลังแค้นแผ่ขยายออกไป นี่เป็นผลกรรมที่ก่อขึ้นเอง”
เฟิงซิวเปิดโรงเรือนอุ่นแล้วเดินไปยังต้นชา โบกปัดแขนเสื้อขับไล่พลังแค้นที่พยายามแทรกเข้าสู่ร่างกายเขาออกไป มองดูโคนต้นชาเก่าแก่ เอ่ย “โคนต้นชาถูกพลังแค้นกัดกร่อนเช่นนี้ จะไม่เหี่ยวเฉาก็คงเป็นไปไม่ได้”
ลี่เสวียฟู่นำคนกลับมา เมื่อได้ยินคำนี้เขาก็หยุดนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปข้างฉินหลิวซี เอ่ย “ท่านเจ้าอาวาส คนมากันแล้ว”
ฉินหลิวซีมองดูคนที่อยู่ตรงนั้น หยิบกระดาษเหลืองออกมาวาดยันต์ป้องกันภัยอย่างรวดเร็ว แจกจ่ายให้กับทุกคนคนละใบ จากนั้นวาดยันต์ขับไล่สิ่งอัปมงคลอีกใบ ยันต์ลุกไหม้โดยไม่ต้องใช้ไฟทันใด ตกลงบนพื้นใต้ต้นชาเก่าแก่ พลังแค้นจางหายไปไม่น้อย ไม่ได้รวมตัวกันอีก
ทุกคนที่เห็นภาพนี้ต่างหันไปมองหน้ากันด้วยความหวาดหวั่น หันไปมองลี่เสวียฟู่ทันใด
นี่เป็นการขับไล่วิญญาณร้ายหรือไม่
ลี่เสวียฟู่ทำหน้าเคร่งขรึมเอ่ย “เรื่องในวันนี้ ห้ามผู้ใดนำออกไปแพร่งพราย หากทำเสร็จแล้ว ข้าจะให้รางวัลพวกเจ้า”
ต้นชาเก่าแก่ถูกฉินหลิวซีถอนรากถอนโคนออกมาโดยที่นางไม่ได้ออกแรงเลย ต้นชาต้นหนึ่งถอนขึ้นมา ทุกคนต่างตกตะลึงอ้าปากค้าง
นี่มันพลังอันแข็งแกร่งเหนือมนุษย์อะไรกัน
เฟิงซิวเอ่ย “งานหยาบๆ เช่นนี้ให้ข้าทำเถิด”
เขาร่ายมนต์หนึ่งบท ทันใดนั้นภายใต้สายตาของทุกคน ลมหมุนสองสายพัดห่อหุ้มต้นชาต้นหนึ่งไว้แล้วดึงมันขึ้นมา
ทุกคนที่ถือจอบอยู่ต่างอุทานด้วยความตื่นตะลึง ช่างเป็นเรื่องที่ไม่เคยพบเคยเห็น นี่หรือคือเวทมนตร์คาถาที่เล่าลือกัน
เฟิงซิวส่งเสียงหึด้วยความภูมิใจ พวกมนุษย์ธรรมดา จงสักการะข้าเถิด
ฉินหลิวซีกลอกตาเหลือบมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะมองไปยังต้นชาเก่าแก่ที่ถูกดึงขึ้นมาตรงกลาง จากนั้นจู่ๆ สายตานางก็แข็งกร้าวขึ้น เมื่อเห็นโคนต้นชาที่มีรากหยาบๆ พันรอบกะโหลกศีรษะออกมา รากเจาะทะลุกะโหลกคล้ายกับว่าต้นชาเติบโตขึ้นมาจากศีรษะนั้น มองดูแล้วน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
มีคนเห็นภาพนี้เข้า ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนวิ่งหนีไป “โอ๊ยๆๆ นั่นมันหัวคน ต้นชาออกเป็นหัวคนแล้ว”
“เหลวไหล ต้นชางอกมาจากหัวคนต่างหาก” อีกคนตื่นตระหนกถอยหลังไปด้วยความกลัว
ลี่เสวียฟู่ทรุดนั่งลงกับพื้น ดวงตามืดมนมองไม่เห็นสิ่งใดแล้ว โอ้สวรรค์ มีของอยู่ที่นี่จริงๆ ยังเป็นหัวคนอีกด้วย
ใต้ต้นชามีศพฝังอยู่
บรรพบุรุษข้าเอ๋ย พวกท่านทำอะไรกัน
[1] งูที่กลืนช้าง เป็นสำนวนจีนที่แปลว่า “ความโลภของคนไม่มีที่สิ้นสุด เปรียบเสมือนงูกลืนช้าง” ซึ่งหมายถึงความโลภที่มากจนเกินไป ไม่รู้จักพอ จนพยายามทำสิ่งที่ใหญ่เกินกำลังของตนเอง
[2] นกกระทา เปรียบเปรย หมายถึงคนที่มีลักษณะขี้กลัว ขี้ขลาด หรือทำตัวหดตัวเล็กลงคล้ายกับนกกระทาที่ตกใจแล้วมักจะนิ่งหรือตัวสั่น