คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1062 ไฟลุกท่วมเรือนหลังบ้านของตนเอง
ตอนที่ 1062 ไฟลุกท่วมเรือนหลังบ้านของตนเอง
หลังจากได้เงินค่าน้ำมันตะเกียงจากตระกูลลี่มาก้อนหนึ่ง ฉินหลิวซีก็เปลี่ยนเส้นทาง กลับไปยังอารามชิงผิงก่อนรอบหนึ่ง ครั้งนี้หิมะตกหนักและครอบคลุมเป็นบริเวณกว้าง ที่ตีนเขาของอารามชิงผิงมีผู้ลี้ภัยจำนวนมากจากที่อื่นมาอาศัยอยู่ อารามชิงผิงจึงได้แจกจ่ายทานช่วยเหลือ ซึ่งจำเป็นต้องใช้เงินบุญกุศล เสบียงที่สะสมไว้ก็เกรงว่าจะไม่พอแล้ว
ฉินหลิวซีตั้งใจจะนำเงินหมื่นตำลึงที่ได้มาทำบุญทั้งหมด เพื่อชดเชยราคาข้าวที่แพงขึ้น แต่ไม่คิดว่าเรือนหลังบ้านของตนกลับมีไฟลุกท่วม
เมื่อเห็นว่าอารามชิงผิงถูกทหารจำนวนมากเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด ตนยังถูกขวางอยู่ที่ประตูเขา ใบหน้าของฉินหลิวซีพลันเย็นเยียบขึ้นทันที
ตั้งแต่ที่อารามชิงผิงเปิดใหม่มา จะกี่ปีก่อนก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้ อารามถูกทหารเฝ้าล้อมไว้หนาแน่น ไปก่อเรื่องอะไรกันมา
แล้วชิงหย่วนทำสิ่งใดอยู่ ไยเกิดเรื่องถึงไม่ได้แจ้งนาง
เฟิงซิวมองฉินหลิวซีที่ถูกขวางอยู่หน้าประตูอารามของตน พลางจุดเทียนให้ทหารเบื้องหน้าพร้อมกับเอ่ยหยอกล้อหนึ่งประโยค “ไม่คิดเลยสินะ มีบ้านแต่เข้าไม่ได้”
ฉินหลิวซีหันขวับมามองเขา เจ้าหาเรื่องตายหรือ
เฟิงซิวลูบจมูกหัวเราะแห้งๆ ถอยหลังไปหนึ่งก้าว เชิญท่านขอรับ ข้าขอยืนโบกธงให้กำลังใจท่านแสดงฤทธิ์เดช
ทหารที่ขวางอยู่ก็ยังคงถามต่อไป “พวกเจ้าเป็นผู้ใด อารามชิงผิงในช่วงนี้มีแขกผู้มีเกียรติอยู่ ไม่อนุญาตให้ผู้ใดมาขอพรจุดธูป กลับไป”
ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเย็นชา “แขกผู้มีเกียรติยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น ต้องใช้ทหารหนาแน่นเฝ้าระวัง ไม่ให้ผู้ใดเข้าออกได้เพื่อขอพรหรือ ฝ่าบาทหรือ”
น้ำเสียงนางเยียบเย็น ดวงตาคมดั่งคมมีด ทหารที่เผชิญหน้ากับนางรู้สึกหนาวสะท้านแทบจะถอยหลังไปสองก้าว เอ่ยด้วยเสียงที่แข็งกระด้างแต่แฝงความกลัว “ข้าไม่มีเหตุผลต้องบอกเจ้า รู้ตัวแล้วก็รีบไปเสีย”
“อ้อ ถ้าข้าไม่รู้ตัวเล่า”
ฉึบ
ทหารผู้นั้นจับดาบดึงออกจากฝักเล็กน้อย
เฮ้อ…
เฟิงซิวส่ายศีรษะ ทหารย่อมเป็นทหารแต่ไร้ความรู้ในการสังเกต น่าขายหน้าจริงๆ ยังไม่รู้ว่าใครบางคนไม่ควรท้าทาย เพียงดูการแต่งกายและท่าทางของนางก็น่าจะสั่นสะท้านในใจได้แล้ว
ไม่รู้จักแถมยังกล้าชักดาบอีกหรือ
ผู้ใดสั่งสอนพวกเจ้ามา
ฉินหลิวซียกมือโบก ทหารผู้นั้นพลันถูกตบกระเด็นลงไปบนพื้น จากนั้นมองดูดาบของตนที่พุ่งออกจากฝัก พุ่งตรงมาทางหน้าผากของเขา ตกใจจนนึกไม่ทันว่าต้องหลบ
ทุกคนตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะฉินหลิวซีลงมือกะทันหัน แต่เป็นเพราะดาบนั้นไม่ได้อยู่ในมือผู้ใดเลย ทว่ากลับเหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นยกขึ้นเพื่อหมายจะปลิดชีวิต
นี่คือ วิชาอาคมหรือ
ดาบนั้นหยุดอยู่ตรงหน้าทหารผู้นั้น ห่างเพียงนิดเดียวก็จะเสียบเข้าตาได้ ทหารผู้นั้นหน้าซีดเผือด สองขาสั่นระริก
“เจ้าอาวาสอย่างข้าจะกลับอารามตนเอง ต้องขออนุญาตพวกเจ้าด้วยหรือ ถ้าตามองไม่เห็น ข้าช่วยควักให้ก็ได้นะ” ฉินหลิวซียิ้มหยัน ดาบขยับเข้าใกล้อีกนิด
“อ๊ากกก ข้าน้อยตาหามีแววไม่ มองไม่เห็นภูเขา ขอท่านเซียนโปรดไว้ชีวิตด้วย” ทหารร้องออกมา ในใจแอบด่ามารดา เจ้าไม่บอก ผู้ใดจะไปรู้เล่าว่าเจ้าเป็นเจ้าอาวาสอารามชิงผิง
แต่ว่าผู้ใดจะรู้ว่าเจ้าอาวาสอารามชิงผิงจะอายุน้อยเพียงนี้ ไม่ใช่ว่าเจ้าอาวาสควรจะมีลักษณะสง่างามผมหงอก คิ้วขาว ใบหน้าเปี่ยมด้วยเมตตาหรอกหรือ
ผู้ใดจะโหดเหี้ยมเหมือนนางเช่นนี้
“ไสหัวไป” ฉินหลิวซีหักดาบเล่มนั้นทิ้ง สะบัดแขนเสื้อ ทหารที่เตรียมกระโจนเข้าใส่พลันถูกพัดกระเด็น “ไสหัวลงเขาไปให้หมด”
ทุกคนไม่กล้าขยับ โดยเฉพาะเมื่อเห็นฉินหลิวซีเดินเพียงก้าวเดียว แต่เหมือนเดินได้สิบก้าว ร่างหายไปไกลในพริบตา พวกทหารยิ่งตัวสั่นสะท้านหนักขึ้น
“พวกไร้ประโยชน์” เฟิงซิวมองด้วยสายตาเย็นชา บิดนิ้วเล็กน้อยแล้วร่ายมนต์ปีศาจใส่เพื่อลงโทษ
ไม่นานนักพวกทหารที่ล้มอยู่ก็ลุกขึ้น ทว่าใบหน้าพลันเปลี่ยนสี ปวดท้องขึ้นมาอย่างหนัก
พวกเขาวิ่งไปหาห้องน้ำกันแทบบ้าคลั่ง วิ่งไปไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงดัง ปุ๊ปุ๊ปุ๊ น้ำเหลืองไหลออกจากขากางเกงส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว
ท้องเสียกันหมดแล้ว
คิดว่าตนเองสำคัญนักหรืออย่างไร
พวกนั้นหันมามองนางด้วยความสงสัย แต่พอเห็นสีหน้าและชุดของนางก็ไม่มีผู้ใดกล้าก้าวเข้ามาถามอะไร ได้แต่มองนางเดินเข้าไปในวิหารใหญ่
เฟิงซิวตามขึ้นมา ก่อนจะทำให้บางคนไสหัวไป
ทำไม ไม่ไสหัวไปหรือ
ไม่ไปก็ไม่ไป
ทันใดนั้นลมพายุก็พัดโหมขึ้น เหล่าทหารที่ถือหอกอยู่ล้มลงกับพื้น ที่บอกว่าไสหัวลงเขาไป ความจริงแล้วคือกลิ้ง
ทหารที่กลิ้งลงบันได ข้าเป็นผู้ใด ข้าอยู่ที่ใด ข้ากลายเป็นก้อนกลมๆ ได้อย่างไร
ช่วยข้าด้วยเถิด อารามเต๋าแห่งนี้มีภูตผีปีศาจ
ฉินหลิวซีเดินเข้าวิหารใหญ่ เห็นว่าภายในยังเป็นปกติดี ยกเว้นธูปที่มีกลิ่นจางๆ และใบหน้าของท่านเจ้าลัทธิเต๋าที่ดูมืดหม่น อย่างอื่น…
ไม่มีอะไรวุ่นวายนี่นา
ท่านเจ้าลัทธิเต๋า ศิษย์ทรยศ สีหน้าแสดงความผิดหวังของเจ้าหมายความว่าอย่างไร
ฉินหลิวซีหยิบธูปขึ้นมา โบกมือเล็กน้อยให้ไฟติด คำนับสามครั้ง ก่อนเสียบธูปลงในกระถางธูป
ถ้าพวกนี้กล้าก่อความวุ่นวายในวิหาร นางก็จะไม่เกรงใจและจะให้พวกเขาเผชิญกับความโชคร้ายแน่ แต่เสียดายที่พวกเขายังไม่ได้ทำสิ่งใด
ฉินหลิวซีมุ่งหน้าไปยังเรือนพักของเหล่านักพรตเต๋า ด้านนี้ยิ่งมีทหารเฝ้าอยู่มากมาย รวมทั้งศิษย์ในอารามที่ยืนอยู่ด้วย แต่ทุกคนต่างเต็มไปด้วยความโกรธ
ซานหยวนถูกกดลงกับพื้น ดวงตาแดงฉาน
เมื่อฉินหลิวซีปรากฏตัว ทุกคนต่างตกตะลึง ซานหยวนเองก็ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เผยสีหน้าเศร้าสร้อยทุกข์ระทม
“ท่านเจ้าอาวาส”
เหล่าศิษย์ของอารามรวมทั้งอู๋เหวยต่างพากันเดินเข้ามาหานางด้วยความตื่นเต้น ราวกับได้พบกับที่พึ่งพิง
นี่คือเจ้าอาวาสแห่งอารามชิงผิงหรือ
สายตาของทหารหลายคนตกลงบนตัวฉินหลิวซีอย่างไม่ยั้งคิด บางคนยังแสดงท่าทางหยาบคาย คิดในใจว่าทำไมนางถึงไม่อยู่ที่สำนักแม่ชี
สายตาของพวกเขาแสดงออกถึงความลามกเกินไปจนแม้แต่เฟิงซิวที่เห็นแล้วทนไม่ได้ ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเย็นชา สายตาเป็นประกายสีแดงแวบหนึ่งพร้อมกับสะบัดมือเล็กน้อย
“โอ๊ย ตาข้า” ทหารที่ยังคงมองฉินหลิวซีด้วยใบหน้าหื่นกระหายจู่ๆ ก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด มือของพวกเขาปิดตาทั้งสองไว้ เลือดซึมออกมาจากร่องนิ้ว ทำให้คนอื่นต่างตกใจ
นี่ ฝีมือนักพรตหญิงผู้นี้หรือ
ทันทีที่นางปรากฏตัว พี่น้องของพวกเขาก็มีปัญหากับดวงตา
ทหารที่กดซานหยวนไว้ปล่อยมือออกโดยไม่รู้ตัว เขาได้รับอิสระแล้วจึงรีบวิ่งไปหาฉินหลิวซี เอ่ย “ท่านเจ้าอาวาส ได้โปรดช่วยท่านอาจารย์ของข้าด้วย ท่านอาจารย์…”
ฉินหลิวซีถาม “เขาอยู่ที่ที่ใด”
ซานหยวนมองไปยังที่พักของนักพรตเต๋าชรา ฉินหลิวซีรีบเดินไปยังที่นั่น มีคนหนึ่งเข้ามาขวาง เอ่ย “เจ้าคือเจ้าอาวาสปู้ฉิวหรือ ข้า…”
ฉินหลิวซียื่นเท้าออกมาเตะเข้าไปที่ลำตัวของเขา ชายผู้นั้นที่มีรูปร่างกำยำและสวมชุดทหารสีแดงเข้มกระเด็นออกไปในลักษณะวิถีโค้ง
ปัง
เขากระแทกเข้ากับเสาก่อนจะกระอักเลือดออกมา
ฉินหลิวซีหันไปหาเฟิงซิว “อย่าให้พวกเขาขยับ”
“ได้เลย”
จากนั้นฉินหลิวซีก็เดินไปยังที่พักของนักพรตเต๋าชรา ซานหยวนวิ่งนำหน้านางเข้าไปภายใน พลางตะโกน “ท่านอาจารย์อาชิงหย่วน ท่านเจ้าอาวาสกลับมาแล้ว”
ชิงหย่วนหันมา พอเห็นฉินหลิวซี เขารีบหลบทางให้ “ท่านกลับมาทันเวลาพอดี เร็ว รีบเข้าไปเถิด ข้ามีวิชาแพทย์ไม่เพียงพอ นักพรตเต๋าชราใกล้จะไม่ไหวแล้ว”