คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1064 ข้าเป็นคนธรรมดา ปลีกวิเวก เป็นอิสระนอกกรอบ
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 1064 ข้าเป็นคนธรรมดา ปลีกวิเวก เป็นอิสระนอกกรอบ
ตอนที่ 1064 ข้าเป็นคนธรรมดา ปลีกวิเวก เป็นอิสระนอกกรอบ
เรื่องที่ว่าจวนจงกั๋วกงรู้ว่าที่อารามชิงผิงมียาฟื้นคืนชีพได้อย่างไร จับคนมาถามก็รู้ได้ แต่ตอนนี้สำคัญที่สุดคือนักพรตชรา
“วิหารหลักของเจ้าลัทธิเต๋าก็ไม่มีผู้ใดเฝ้า ให้ศิษย์ภายในอารามทำหน้าที่ตามเดิม นอกจากนี้ โจวซื่อจื่ออะไรนั่นและคนของเขาอยู่ที่ใด” ฉินหลิวซีเอ่ยถาม
“คงอยู่เส้นทางไปสักการะ ที่หลังเขาขอรับ”
ฉินหลิวซีหรี่ตาลงเล็กน้อย เส้นทางไปสักการะ หากมีความจริงใจจริง คงไม่ให้ทหารล้อมอารามชิงผิงเช่นนี้ ไม่มีความรู้ในเรื่องมารยาทเอาเสียเลย
นางหันไปมองเฟิงซิว “แขกมาเยือน เชิญคนพวกนั้นกลับมาคุยกับข้าดีๆ”
คำว่า ‘เชิญ’ นางเน้นเสียงหนักเป็นพิเศษ
เฟิงซิวเบ้ปาก รู้แล้วว่าจะเรียกใช้เขา เขาไม่ใช่ผู้ติดตามหรือมือปราบเสียหน่อย
ที่ภูเขาด้านหลัง โจวซื่อจื่อซึ่งอยู่ในวัยกลางคน สีหน้าดูหงุดหงิดเล็กน้อย มองไปยังชายร่างผอมบางข้างกายด้วยแววตาไม่พอใจ เอ่ย “อาหนิง เจ้าไม่ควรลงมือกับนักพรตชรา พวกเรามาที่นี่เพื่อขอยา มิใช่มาสร้างศัตรู ตอนนี้กลับกลายเป็นสถานการณ์ที่แก้ไขได้ยากแล้ว”
สำหรับคนที่อยู่ปลีกวิเวกเหล่านี้ อย่างไรเขาก็ยังยำเกรงอยู่บ้าง
อาหนิงซึ่งมีดวงตายาวเรียว สวมชุดผ้าแพรสีดำ ยืนด้วยท่าทางเคร่งขรึม เอ่ยเย็นชา “อารามเล็กๆ เช่นนี้ ยังกล้าท้าทายราชวงศ์หรือ ท่านยกย่องพวกเขามากเกินไปแล้ว ท่านมาขอยาเพื่อนำไปถวายไทเฮา นั่นถือเป็นเกียรติแก่พวกเขาแล้ว แต่พวกเขากลับหาข้ออ้างมากมาย ท่านยอมได้ ข้าไม่ยอม”
โจวซื่อจื่อได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมองเขาด้วยแววตาเอ็นดู เอ่ยตำหนิ “แต่เจ้าก็ไม่ควรลงมือเพียงเพราะคำไม่เข้าหู หากพวกเขาสามารถปรุงยาฟื้นคืนชีพได้ ย่อมมีความสามารถอยู่บ้าง คนที่ปลีกวิเวกไม่เหมือนพวกเราที่เป็นมนุษย์ธรรมดา ถ้าสร้างศัตรูขึ้นมาแล้วพวกเขามีใจพยาบาทต่อเรา ไม่เป็นผลดีกับเรา เรื่องการขอยา ยิ่งยากขึ้นไปอีก”
อาหนิงหัวเราะเบาๆ เอ่ย “ท่านเอ่ยผิดแล้ว คนที่ปลีกวิเวกอาจมีวิชาล้ำเลิศ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เก่งกล้าเพียงนี้ ต่อให้วิชาล้ำเลิศเพียงใดก็เป็นเพียงคนธรรมดา ผู้ใดจะสู้ทัพหมื่นแสนได้ เหมือนกับยอดยุทธ์ที่เข้าสนามรบ ต่อให้วรยุทธ์สูงส่งเพียงใดก็ย่อมไม่สามารถต้านทัพหมื่นแสนที่บุกเข้ามาได้ การที่พวกเขาเปิดอารามนี้ขึ้น ก็เพื่อหาเงินบริจาค หากพวกเขายอมถวายยาก็จะได้รับเงินบริจาคมากมาย แต่ถ้าหากยังดื้อรั้นไม่ยอม อารามนี้ก็ไม่มีความจำเป็นต้องคงอยู่ต่อไปแล้ว”
โจวซื่อจื่อจิ้มนิ้วไปที่เขา เอ่ยต่ออย่างหยอกล้อ “เจ้านี่นะ เมื่อไหร่จะเลิกนิสัยรั้นนี้เสียที”
บ้านตระกูลโจวนับเป็นราชวงศ์ฝ่ายนอก ในเมืองหลวงถือเป็นตระกูลสูงส่ง แม้ท่านปู่จะล่วงลับไปแล้ว ตระกูลของตนถูกลดฐานะเป็นจวนกั๋วกง แต่เพราะไทเฮายังอยู่ สถานะของพวกเขาจึงไม่ตกต่ำเท่าใดนัก โดยเฉพาะเมื่อองค์รัชทายาทถูกแต่งตั้งเป็นไท่จื่อ ฐานะของพวกเขายิ่งมั่นคงขึ้นไปอีก
แต่ความมั่นคงนี้ก็ยังไม่ถึงขั้นที่ผลักไม่ล้ม เมื่ออำนาจฝ่ายนอกมีมากเกินไป ฮ่องเต้ย่อมระแวง ในวังมีไทเฮา หน้าราชสำนักมีรัชทายาท แม้ภายนอกดูเหมือนว่าตระกูลโจวจะมั่นคง แต่ที่จริงแล้วคงไม่อาจเทียบใครได้ หากไม่ใช่เพราะสองปีมานี้ฮ่องเต้ทุ่มเทให้กับการปรุงยาเพื่อแสวงหาชีวิตนิรันดร์ ตระกูลโจวคงถูกฮ่องเต้หาเรื่องกลั่นแกล้งไปแล้ว
เพราะฉะนั้น ไทเฮาต้องไม่สิ้นพระชนม์ ต้องทรงพระชนม์ยืนยาวตราบนานเท่านาน ไม่มีไทเฮาในอนาคตใดที่จะปกป้องตระกูลโจวได้ดีกว่าไทเฮาในปัจจุบัน
น่าเสียดายที่ยาของราชครูอู่ซั่งไม่ได้ผล ไทเฮาไม่ดีขึ้นแม้เพียงนิด เมื่อสืบได้ว่าที่อารามชิงผิงมียาฟื้นคืนชีพ เขาจึงได้รับคำสั่งจากบิดาให้นำมาถวายด้วยตนเอง
แต่ที่ไหนได้อารามชิงผิงช่างไม่รู้จักยกย่อง มัวแต่บ่ายเบี่ยง ไม่รู้จักกาลเทศะเลยจริงๆ
อาหนิงเอ่ยไม่ผิด หากอารามชิงผิงมีปัญญาก็พูดคุยกันได้ แต่ถ้าไม่รู้จักคิด อารามนี้ก็ควรถูกถล่มให้ราบสิ้น
เฟิงซิวที่แอบฟังอยู่ในมุมมืด กระดิกหางของตนเล็กน้อย ปากกระตุกเบาๆ เมื่อหันไปมองสองคนนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเอาหางพันรอบดวงตาและหูของตน
ไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพที่เสียดตาเช่นนี้ เอ่ยอย่างเรียบง่ายแต่มีนัยแฝง
แล้วไอ้โจวซื่อจื่อนี่ ถูกไขมันปิดสมองหรืออย่างไร ไยจึงดูท่าทางไร้สติเพียงนี้ ไม่ได้ยินหรือว่าเจ้านุ่มนิ่มนี่กำลังจงใจยุแยงให้เขาหลงกล
ถล่มอาราม ได้มันก็ได้อยู่หรอก แต่ไม่กลัวหรือว่าทวยเทพจะลงทัณฑ์ตระกูลโจว
ต่อให้ทวยเทพไม่ลงโทษ หากฉินหลิวซีนั้นเป็นคนที่รักลูกศิษย์ นางจะเป็นคนแรกที่ถกแขนเสื้อแล้วไปทำลายวิหารบรรพชนของตระกูลโจวรู้หรือไม่
เป็นถึงโจวซื่อจื่อแต่ช่างโง่เง่าสิ้นดี หลงเชื่อวาจาของชายคนรักตัวน้อย[1]ของตน สำนวนที่ว่า ‘คนรักย่อมมองว่าคนรักงามดุจหญิงงามไซซี’ นี่ช่างเป็นพิษจริงๆ
การขอยาด้วยวิธีการเช่นนี้มันโง่ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่การสร้างศัตรูไปพร้อมกับขอยายิ่งโง่กว่าเดิม คนเช่นข้ายังรู้เลยว่าอำนาจของญาติฝ่ายหลังบ้านราชวงศ์มันไม่ใช่เรื่องดีนักหรอก หากไทเฮาจากไปก็ปล่อยให้จากไปเถิด อย่างน้อยหลานชายของไทเฮาก็ได้เป็นรัชทายาทแล้ว หากต้องการให้ฝ่าบาทเบาใจก็จงมีอำนาจให้น้อยลงจะดีกว่า เมื่อไม่มีพิษภัยฝ่าบาทย่อมวางใจ
แต่กลับกัน เจ้ากลับต้องการให้ไทเฮามีชีวิตยืนยาวตลอดไป เป็นเสาหลักมั่นคงของตระกูลโจว ในขณะที่เจ้ามีรัชทายาทที่เป็นเบื้องหลังยิ่งใหญ่ดั่งเหล็กกล้า เจ้าไม่กลัวหรือว่ายามใดฝ่าบาทจะเกิดความระแวงขึ้น คิดว่าเจ้าต้องการล้มล้างราชบัลลังก์และขึ้นครองตำแหน่งแทน
ความโลภเกินพอดีเปรียบเสมือนงูที่พยายามจะกลืนช้าง สุดท้ายย่อมล้มลงอย่างแรง
ตระกูลโจวแสวงหาอำนาจโดยไม่รู้จักพอเช่นนี้ นั่นเป็นการโลภเกินไป
โจวซื่อจื่อผู้นี้กลับไม่คิดถึงเรื่องนี้ ปล่อยให้คนรักตัวน้อยของตนทำตัวหยาบคายกับนักพรตแห่งอารามเต๋า แล้วยังแสดงความเอ็นดูอย่างไม่ลืมหูลืมตา ช่างไร้สติสิ้นดี หากชายคนรักนั้นถูกส่งมาเป็นสายลับเพื่อทำลายตระกูลโจวล่ะก็คงน่าขบขันยิ่งนัก
ฮึ
“ผู้ใดน่ะ” อาหนิงพุ่งเข้าใส่เฟิงซิวด้วยสายตาเย็นชาและดุเดือด
เฟิงซิวก้าวออกมาจากป่า พร้อมเส้นผมพริ้วไสวในชุดสีแดงเพลิง ทำให้สายตาของอาหนิงต้องหรี่ลงด้วยความระแวดระวัง
“เจ้าเป็นผู้ใด”
เฟิงซิวก้าวเข้ามาช้าๆ พร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ข้าหรือ คนธรรมดาปลีกวิเวก ไม่มีสิ่งใดพิเศษหรอก”
อาหนิงได้ยินคำพูดที่แฝงความเสียดสีจึงพลิกฝ่ามือหมายจะโจมตีใส่เฟิงซิว ทว่าเมื่อฝ่ามือใกล้ถึงอกของเฟิงซิว กลับถูกตรึงไว้ไม่ให้เคลื่อนไหว ราวกับถูกบางสิ่งบางอย่างพันธนาการไว้จนขยับไม่ได้ ไม่อาจควบคุม
ใบหน้าของอาหนิงซีดลงทันที เขากดริมฝีปากแน่นพร้อมกับส่งเสียงแหลมออกจากปาก
“ฮ่า เจ้าผู้เก่งกาจหมายจะทำร้ายข้าคนธรรมดาผู้ปลีกวิเวกนี้ ข้าเพียงแค่ป้องกันตัวเท่านั้น” เฟิงซิวกล่าวพลางยกมืออย่างบริสุทธิ์ใจ
โจวซื่อจื่อรีบพุ่งเข้ามา ไม่รอเขาเอ่ยปากก็เห็นกับตาว่ามือของอาหนิงถูกตัดขาดอย่างไร้เหตุผล แล้วทันใดนั้นก็มีสุนัขจิ้งจอกวิ่งออกมาจากที่ใดไม่รู้ คาบมือที่ขาดหายลับเข้าป่าในพริบตา
อาหนิงหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ เขารีบแตะจุดสำคัญบนร่างกายเพื่อห้ามเลือดแล้วถอยหลังไปสองก้าว กำมือข้างที่ถูกตัดแน่น
“อาหนิง” โจวซื่อจื่อตวาดเสียงดัง “ทหาร จับตัวเขาไว้”
ทหารที่ล้อมอยู่รอบๆ รีบกรูเข้ามาพร้อมดาบในมือ
“พวกเจ้าไม่ยุติธรรมเลย ข้าคนเดียวต่อสู้กับพวกเจ้าตั้งมากมาย ช่างไร้ยางอาย” เฟิงซิวหมุนปลายนิ้วเล่นไปมา เอ่ย “ในเมื่อพวกเจ้าไร้ยางอาย เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่ให้เกียรติก็แล้วกัน”
ทันใดนั้นใบไม้จำนวนมากก็ลอยมาปกคลุมทหารทุกคน ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยบาดแผล เลือดไหลท่วมใบหน้า ปวดแสบปวดร้อนจนร้องไม่ออก
อาหนิงคว้าแขนโจวซื่อจื่อแล้วพาวิ่งหนี เฟิงซิวเคลื่อนตัวว่องไวปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าพวกเขาทันที “ข้าปล่อยพวกเจ้าไปแล้วหรือ เมื่อครู่ปากเก่งนักไม่ใช่หรือ คนธรรมดาปลีกวิเวกและร่างมนุษย์ธรรมดานั้นจะต้านทานทหารนับหมื่นได้อย่างไร ข้าเห็นด้วยมากทีเดียว”
“บังอาจ เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นผู้ใด” โจวซื่อจื่อตวาดลั่น
เฟิงซิวตอบกลับอย่างเย้ยหยัน “ข้ารู้เพียงว่า ผู้มาเยือนคือแขก ต้องต้อนรับขับสู้ให้ดี”
เอ่ยจบเฟิงซิวใช้ร่ายคาถาปีศาจดึงทั้งสองคนเข้าไปในค่ายอาคมมายา จากนั้นทำให้เหล่าทหารล้มหมดสติบนพื้นหิมะ แล้วเดินกลับลงเขาอย่างสบายใจ
[1] มักใช้ในเชิงรักใคร่หรือพูดถึงคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด โรแมนติก ในลักษณะเอ็นดูหรือน่ารัก โดยมีน้ำเสียงที่อาจแฝงความอ่อนโยนหรือหยอกล้อ