คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1066 เจ้าลองท้าทายข้าดูสิ
ตอนที่ 1066 เจ้าลองท้าทายข้าดูสิ
ฉินหลิวซีเอ่ยถึงคนโง่เขลาที่สมองเต็มไปด้วยไขมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งเหน็บแนมและเย้ยหยัน ทำให้โจวซื่อจื่อโกรธแทบอยากจะดึงดาบมาแทงนางให้ตาย น่าโมโหจริงๆ
แต่ว่าอาหนิงเป็นหมากที่จ้าวอ๋องส่งมาอยู่ข้างกายเขาอย่างนั้นหรือ
โจวซื่อจื่อหันไปมองอาหนิง อีกฝ่ายใบหน้าเย็นชา เอ่ย “ซื่อจื่อ ท่านเชื่อนางหรือ”
ฉินหลิวซีเอ่ยต่อ “ตระกูลโจวเป็นญาติของไทเฮา เป็นขุนนางชั้นสูง ในเมืองเซิ่งจิงนั้นเดินไปไหนมาไหนก็ไม่สะทกสะท้าน แต่ว่าโจวซื่อจื่อ ไม่มีใครบอกเจ้าหรือ ว่าควรยอมขัดแย้งกับผู้น้อย จะดีกว่าขัดแย้งกับนักพรตเต๋า”
โจวซื่อจื่อขมวดคิ้วแน่น
“เจ้าอาจมีพลทหารนับหมื่นเพื่อทำลายอารามนั่นเป็นความจริง แต่เจ้ากลับไม่รู้หรือว่านักพรตผู้หนึ่งที่มีความสามารถอย่างแท้จริงสามารถใช้วิชาคาถาอะไรได้บ้าง อย่างเช่นทำให้เจ้าโชคร้ายคอยตามติด อย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ มีโชคร้ายคอยตามติด เจ้าทำอะไรก็รู้สึกว่าไม่ดี เช่นเอาเลือดและเส้นผมของเจ้ามาทำนายวันเกิด ให้เจ้าตกอยู่ในสภาพโชคร้าย อีกทั้งสามารถใช้เข็มร้ายทั้งเจ็ดแทงรูปปั้นของเจ้าให้ตายอย่างไม่เหลือชิ้นดี” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “หรือเจ้าจะเอ่ยว่า สิ่งนี้สามารถทำให้เกิดผลกับบุคคลเพียงคนเดียวงั้นหรือ ไม่ใช่เลย หากตั้งใจจะทำให้ตระกูลเจ้าต้องเผชิญวิบัติ ข้าก็สามารถไปที่สุสานบรรพบุรุษของเจ้า ทำลายดวงวิญญาณที่นั่น เมื่อถึงตอนนั้น ทั้งตระกูลเจ้าตายหมดก็ไม่ใช่เรื่องยาก”
โจวซื่อจื่อยิ่งฟังยิ่งขนลุกซู่ จ้องไปที่ฉินหลิวซีเหมือนเห็นปีศาจร้าย
สตรีที่ชั่วร้ายผู้นี้
“วิชาเต๋า มีดีก็มีร้าย แปรเปลี่ยนได้ไม่รู้จบ ข้าไม่สนใจใช้วิชาชั่วร้าย แต่เจ้าท้าทายข้าดูสิ คนทุกคนมีเส้นขีดจำกัด เจ้าเหยียบเส้นขีดจำกัดของข้า ไม่ว่าด้วยเหตุอะไร อย่าได้โทษที่ข้าต้องเอาคืนเจ้า” ฉินหลิวซีโทนเสียงเปลี่ยนเอ่ยว่า “ไม่ผิดที่เจ้าจะบอกว่าถนนมีห้าสิบเส้น สวรรค์ย่อมมีทางรอดหนึ่งเส้นให้เสมอ หากเจอคาถาก็จะสามารถหานักพรตอื่นมาช่วยถอน แต่ผู้ใดจะให้ความมั่นใจได้ว่าจะคว้าโอกาสรอดนี้ไว้ได้ หากคว้าเอาไว้ไม่ได้ก็จะจบลงอย่างไม่เหลืออะไร เจ้าคิดว่าตระกูลเจ้าจะพนันได้หรือ หรือว่าเจ้ากล้าพนันชีวิตของตระกูลเจ้ากับข้า”
โจวซื่อจื่อพูดไม่ออก ลิ้นแห้ง ขนาดกลืนน้ำลายยังยากลำบาก หลีกเลี่ยงสายตาของฉินหลิวซีที่ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว “เจ้ากล้าหรือ เจ้าไม่กลัวฟ้าผ่าหรือ”
“ตอนเจ้าให้ชายชั่วนี้ทำร้ายนักพรตในอารามของข้า เคยคิดถึงฟ้าผ่าหรือไม่ ตอนที่เจ้าละเลยต่อชีวิตผู้อื่น เจ้าก็ควรคิดได้ว่ามีคนที่ละเลยต่อชีวิตมากกว่าเจ้า ทำไมหรือ ชีวิตของคนตระกูลโจวมีค่า ชีวิตของผู้อื่นไม่มีค่าหรือ”
แต่เขาก็ไม่กล้า
เกิดฉินหลิวซีคนบ้าผู้นี้บุกไปทำลายสุสานบรรพบุรุษตระกูลเขาจริงๆ เล่า ตระกูลโจวของเขาจะไม่จบสิ้นเลยหรือ
สุสานเชียวนะ ผู้ใดกล้าแตะต้องกันเล่า
แต่สตรีตรงหน้าเขากล้าทำ นางเป็นคนบ้า และตนทำให้นางโกรธแล้ว
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็รู้สึกเกร็งไปทั้งตัว
ล่วงเกินนักพรตบ้าผู้หนึ่งแล้ว ผลที่ตามมาจะหนักหนาสาหัสเพียงใด
โจวซื่อจื่อตาเบิกกว้าง รู้สึกหวาดกลัว
“คนอื่นอาจไม่รู้ว่านักพรตไม่ควรล่วงเกิน แต่วัดและอาราม เป็นสถานที่บูชาพระพุทธเจ้าและเทพเจ้า ต่อให้ไม่เชื่อ คนที่มีสมองสักหน่อยก็จะแสดงความเคารพและเกรงกลัว ไม่กล้าแสดงพฤติกรรมโง่เขลา แต่โจวซื่อจื่อทำอย่างไร เจ้ามาขอยา ไม่มีความจริงใจก็ช่างเถิด ยังกล้าปิดล้อมอารามทำร้ายนักพรต นี่คือท่าทีการมาขอยาของพวกเจ้าหรือ ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าอารามชิงผิงข้าไม่มียา ต่อให้มี ด้วยท่าทีนี้ของเจ้าข้าก็ไม่ให้”
ฉินหลิวซีเดินเข้าไปช้าๆ เอ่ย “ดังนั้นจะบอกว่า คนในตระกูลโจวต่างก็โง่เขลาไร้ยางอายเช่นเจ้าแบบนี้ทุกคนหรือ ถูกคนอื่นชักจูงเอาได้”
สายตาของนางตกไปที่อาหนิง เป็นสายตาที่ดุร้ายและกดดัน
ดวงตาของนาง ดำขลับทะลุทะลวง ชัดเจนราวกับมองเห็นใจคนได้
อาหนิงถูกบีบให้ถอยหลังไปหนึ่งก้าว มองไปที่ริมฝีปากที่เผยอออกของฉินหลิวซี เสียงของนางเหมือนกับคมมีดที่เจาะทะลุเข้าหู
“คนที่อยู่เบื้องหลังเขามีแผนการดีนี่ วางหมากเช่นนี้ได้อยู่ข้างตัวเจ้า ยุแยงเจ้า ทำร้ายนักพรตชรา ล่วงเกินอารามล่วงเกินข้า และข้าผู้เป็นเจ้าอาวาสจะไม่ทวงความยุติธรรมให้เขาได้อย่างไร ต้องจัดการอะไรบางอย่างกับตระกูลโจวของเจ้า เช่นนี้แล้วตระกูลโจวซวย ครอบครัวมารดารัชทายาทสูญเสียอำนาจ เขาก็จะสูญเสียกำลังช่วยเหลืออันใหญ่หลวง จะดึงเขาลงจากตำแหน่งในวังบูรพาก็ง่ายสักหน่อย หนักขึ้นไปอีกนิด ข้าโกรธไปถึงรัชทายาท จะดึงเขาลงจากหลังม้าด้วยตนเองก็ทำได้ เช่นนี้ตระกูลโจวพวกเจ้าจะทำอะไรได้หรือ จะเอ่ยถึงความมั่งคั่งไปไย”
เหงื่อเม็ดหนึ่งไหลจากหน้าผากของโจวซื่อจื่อ มองไปที่อาหนิง ไม่พูดไม่จาก็ทำร้ายนักพรตชรา สร้างความเดือดร้อนให้ตระกูลโจวของเขา
เช่นนั้นอาหนิงยังเป็นอาหนิงที่ใสสะอาดอยู่หรือไม่ หรือเป็นดังที่ฉินหลิวซีว่า เป็นหมากตัวหนึ่งที่จ้าวอ๋องวางไว้ข้างกายเขา
เช่นนั้นยาฟื้นคืนชีพนี้ ก็เป็นเพราะจวนจ้าวอ๋องตั้งใจให้เขาสืบได้อย่างนั้นหรือ
“อาหนิง เป็นเช่นนี้หรือ”
เฟิงซิวเดินเข้ามา มองดวงตาของเขา เอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “เจ้าลองบอกมาหน่อยสิ เจ้าเป็นสายลับของจวนจ้าวอ๋องหรือไม่”
ดวงตาของเขา มีความลุ่มหลง ดึงดูดให้หลงใหล อาหนิงพุ่งเข้าสู่ความลุ่มหลงนั้นโดยไม่ลังเล สายตาเหม่อลอย เอ่ยขึ้นโดยไม่รู้ตัว “ข้าเป็นองครักษ์เงาของจวนติ้งซีโหว แต่เจ้านายของข้าคือพระชายาจ้าวอ๋อง”
เมื่อโจวซื่อจื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ จับจ้องไปที่อาหนิงไม่วางตา
“ข่าวอารามชิงผิงมียาฟื้นคืนชีพที่หลุดออกไปเล่า” เฟิงซิวเอ่ยถามอีก
อาหนิงส่ายศีรษะ “ข้าไม่รู้ สิ่งที่ข้าต้องทำ คือทำให้ตระกูลมารดาองค์รัชทายาทขัดแย้งกับอารามชิงผิง”
“คนชั่ว” โจวซื่อจื่อพุ่งเข้ามา ดึงกระบี่ออกมาจะตัดคออาหนิง
พรึบ
เลือดพุ่งจากคออาหนิงกระเด็นไปโดนใบหน้าของโจวซื่อจื่อ
ร่างกายของโจวซื่อจื่อแข็งทื่อ มองดูสายตาไม่อยากเชื่อของเขาที่มองสบกับตน ก้าวถอยหลังสองก้าวโดยไม่รู้ตัว มือคลายออก กระบี่ร่วงลงสู่พื้นส่งเสียงดัง
อาหนิงล้มลงกับพื้น แหงนหน้ามองเพดาน ภาพหญิงสาวคนหนึ่งปรากฏตรงหน้า รอยยิ้มอ่อนหวาน แต่เขาไม่อาจได้มองมันอีกแล้ว
ก็ดี
อาหนิงหลับตาลง ริมฝีปากของเขาคลี่ยิ้มออกมาอย่างผ่อนคลาย
โจวซื่อจื่อที่ตกใจเดินไปได้สองก้าว สองมือทำอะไรไม่ถูก เอ่ย “อาหนิง”
วิญญาณของอาหนิงลอยออกจากร่าง มองโจวซื่อจื่อด้วยสายตาที่เย็นชา ความโกรธพุ่งขึ้น กำลังจะเคลื่อนไหว รัศมีสีทองรุนแรงได้พุ่งเข้ามา ทำให้เขาร้องเสียงดัง มองไปที่ฉินหลิวซีด้วยความกลัว
ฉินหลิวซีมองไปที่ยมทูตในความว่างเปล่าตรงหน้า บุ้ยปาก “พาเขาไป”
ยมทูตรีบสะบัดคล้องโซ่ตรวนจับอาหนิงไว้ “ไปกับข้า”
วิญญาณของเขาดำมืดไม่รู้ฆ่าคนไปมากมายเพียงใด ปาบกรรมหนักยิ่ง ใต้เท้าไม่ได้เล่นงานเขาจนวิญญาณแตกสลาย คงกลัวว่าจะทำให้อารามแปดเปื้อน
โจวซื่อจื่อสั่นสะท้านไปทั้งตัว มองไปยังความว่างเปล่าด้วยความตื่นตระหนก ลมเมื่อครู่หนาวมาก เหมือนเขาได้ยินเสียงโซ่ก้องอยู่ในหู และฉินหลิวซีบอกว่าให้เอาตัวไป เอ่ยกับใครกัน
มารดามันเถิด อารามนี้มีพลังขนาดนี้เลยหรือ