คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1070 ข้าหาเรื่องให้ฟ่านคงทำ
ตอนที่ 1070 ข้าหาเรื่องให้ฟ่านคงทำ
ฉินหลิวซีนั่งปิดด่านฟื้นฟูอยู่สองวัน เมื่อออกมาก็ข้ามเขาไปอีกฟากหนึ่ง ไปหาไต้ซือฮุ่ยเหนิงแห่งวัดอู๋เซียง จากนั้นเดินทางไปยังทะเลทรายดำอีกครั้ง
แม้พุทธกับเต๋าจะไม่แยกกัน แต่ตัวนางเองมีนิสัยเย็นชา ไม่อาจทำตนเป็นพระผู้เมตตาได้ ดังนั้นจึงไม่เคยสนใจศึกษาคัมภีร์พุทธธรรมอย่างลึกซึ้ง
ไต้ซือฮุ่ยเหนิงนั้นแตกต่างออกไป เขาเป็นเจ้าอาวาสวัดอู๋เซียง อีกทั้งยังเป็นพระสงฆ์ผู้บรรลุธรรม ความเข้าใจในพระคัมภีร์นั้นย่อมลึกซึ้งยิ่งกว่านางมากนัก ไม่แน่ใจว่าเขาจะสามารถมองออกถึงความไม่ปกติของม่านอาคมนี้ได้หรือไม่
เมื่อไต้ซือฮุ่ยเหนิงได้ยินว่ามารเอ้อฝูซื่อหลัวได้สร้างม่านอาคมใหญ่ขึ้นก็รีบรุดตามนางไปด้วยความยินดี เมื่อไปถึงสถานที่นั้น เขาเห็นฉินหลิวซีกำลังจะร่ายมนต์จึงรีบยับยั้งนางไว้
“ปู้ฉิวท่านเพิ่งดีขึ้น อย่าเพิ่งใช้วิชา ให้อาตมาดูเองก่อนก็พอ”
ฉินหลิวซีลังเลชั่วครู่ เอ่ย “แต่ตัวอักษรบาลีเหล่านั้นมีสีเลือด มันดูประหลาดเกินไป ไม่รู้ว่าจะมีอันตรายอะไรหรือไม่ ไต้ซือท่าน…”
ไต้ซือฮุ่ยเหนิงยิ้มอย่างเมตตา มองนางด้วยสายตาอบอุ่น เอ่ย “มารเอ้อฝูซื่อหลัวหนีจากปรโลกมายังโลกมนุษย์ หากเขาก่อหายนะทำให้สิ่งมีชีวิตในโลกต้องพบกับภัยพิบัติใหญ่หลวง ก็จะกลายเป็นมหันตภัยของโลกมนุษย์ ทำให้ทั้งพุทธและเต๋ารวมถึงผู้ที่ฝึกฝนวิชาแห่งการบำเพ็ญไม่สามารถเพิกเฉยได้ ปู้ฉิวเอ๋ย โลกนี้ไม่ได้มีเพียงท่านคนเดียวที่สนใจเรื่องนี้ มารเอ้อฝูซื่อหลัวมิใช่ความรับผิดชอบของท่านเพียงผู้เดียว แต่เป็นของเราทุกคนที่ฝึกฝนวิชา ท่านจงตั้งใจปฏิบัติคุณธรรม สร้างความสัมพันธ์ที่ดี สะสมบุญบารมี แล้วจะมีคนเข้ามาช่วยเหลือท่านเอง ร่วมเคียงบ่าต่อสู้ไปกับท่าน ท่านจะไม่ต้องเผชิญหน้าเพียงลำพังอย่างแน่นอน”
ฉินหลิวซีตกตะลึง
ท่านจะไม่ต้องเผชิญหน้าเพียงลำพังอย่างแน่นอน
เมื่อท่านผลิบาน สายลมอันแผ่วเบาย่อมพัดมาเอง
ถ้อยคำเหล่านี้ราวกับสายฟ้าที่ฟาดลงบนโสตประสาท ทำให้นางรู้สึกแสบจมูกขึ้นทันใด หัวใจที่เครียดขึงมาตลอดผ่อนคลายลงกลับคืนสู่ความสงบผ่อนคลายดังเช่นยามวัยเยาว์ สติแจ่มใสขึ้นมาอีกครั้ง
มารในใจหายไป
ไต้ซือฮุ่ยเหนิงเห็นนางตกอยู่ในสภาวะรู้แจ้งก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน นั่งขัดสมาธิลง มือหนึ่งวางไว้ที่หน้าอก หลับตาลงเบาๆ เริ่มสวดมนต์พุทธคาถา พลังกระแสแห่งสวรรค์และปฐพีไหลวนรอบกายของเขาเบาบาง
คัมภีร์สวดมนต์แผ่กระจายออกไปราวกับระลอกคลื่นไร้รูป สะท้อนส่องไปข้างหน้า แสงสีทองจากท้องฟ้าส่องลงมาบนร่างของไต้ซือฮุ่ยเหนิง ทำให้ทั้งร่างกายของเขาดูเหมือนจะเปี่ยมไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์
ไต้ซือฮุ่ยเหนิงลืมตาขึ้น มองไปข้างหน้า ตัวอักษรบาลีที่แฝงไปด้วยสีเลือดสะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา ราวกับลูกศรที่แหลมคม
เขาจ้องมองตัวอักษรเหล่านั้น อ่านทีละคำๆ บันทึกพวกมันไว้ในใจ จนกระทั่งมุมปากของเขาเริ่มมีโลหิตซึมออกมา
ฉินหลิวซีได้สติกลับมา ใบหน้าของนางเปลี่ยนสีทันที นางรีบเดินเข้ามา มือทั้งสองตวัดวาดยันต์ปราณเทพ กดลงบนแผ่นหลังของไต้ซือฮุ่ยเหนิง
“ไต้ซือ พอแล้ว” นางเอ่ยเบา ไม่กี่ประโยค
ไต้ซือฮุ่ยเหนิงกลับไม่สนใจ ยังคงจ้องมองตัวอักษรเหล่านั้นต่อไป จนกระทั่งดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีเลือด เลือดไหลลงมาจากหางตา สุดท้ายเขาจึงปิดตาลง กระอักเลือดออกมา ร่างกายอ่อนยวบล้มลงไปกับพื้น
ฉินหลิวซีประคองเขาไว้ รีบหยิบยายัดใส่ปากเขา นางรู้สึกผิดและเป็นกังวลอย่างมาก
สภาพของไต้ซือฮุ่ยเหนิงชัดเจนว่าเขาใช้พลังจนหมด หากไม่เช่นนั้น เขาคงไม่ซูบซีดเพียงนี้ ดวงตาของเขาเองก็…
“ไต้ซือ ดวงตาของท่าน” นางเอ่ยเสียงสั่น
ไต้ซือฮุ่ยเหนิงยิ้มอย่างอ่อนโยนปลอบโยน “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แค่ตาบอดเท่านั้น”
หัวใจของฉินหลิวซีหล่นวูบลง นางรีบล้วงเข็มทองออกมา เอ่ย “ข้าจะช่วยท่านฝังเข็มรักษา”
ไต้ซือฮุ่ยเหนิงจับมือนางไว้ เอ่ย “ไร้ประโยชน์แล้ว อาตมาใช้ดวงตาคู่นี้เพื่อค้นหาความลับแห่งสวรรค์ อายุปูนนี้แล้วก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว”
ฉินหลิวซีรู้สึกผิดยิ่งขึ้นไปอีก เอ่ย “ขอโทษ ข้าผิดเอง หากไม่ใช่เพราะข้าพาท่านมาที่นี่ ดวงตาของท่านก็คงไม่เป็นเช่นนี้”
“อมิตาภพุทธ ปู้ฉิว ท่านจงอย่าโทษตัวเอง ทุกอย่างล้วนเป็นเจตจำนงของสวรรค์ หากไม่มีท่านนำทาง อาตมาก็จะมาที่นี่เช่นกัน เพียงแต่ว่าเร็วหรือช้าเท่านั้น” ไต้ซือฮุ่ยเหนิงยิ้ม เอ่ย “เร็วสักหน่อย เราก็สามารถเตรียมการรับมือได้มากขึ้น”
ฉินหลิวซีหันกลับไปมองม่านอาคมนั้น นางจ้องมองด้วยสายตาลุ่มลึก เอ่ย “เรากลับไปก่อนค่อยว่ากันเถิด”
ทั้งสองรีบกลับไปยังวัดอู๋เซียง ในห้องกรรมฐาน ไต้ซือฮุ่ยเหนิงเรียกศิษย์ใหญ่ในวัดคนหนึ่งมา เขาพูดสิ่งที่อ่านมาได้ ศิษย์ผู้นั้นนามว่าจิ้งหมิงก็นั่งเขียนตามที่ท่านอาจารย์บอกไป
ส่วนฉินหลิวซีเอื้อมจับข้อมือของเขาเพื่อตรวจชีพจร พอสัมผัสได้เท่านั้น ใจก็สั่นสะท้าน ต้องขบฟันแน่น พยายามตั้งสติ
ตอนนั้นเองฮุ่ยเหนิงจึงหยุดท่อง แม้จะสูญเสียการมองเห็นไปแล้วแต่ยังสามารถจับมือของฉินหลิวซีได้อย่างแม่นยำ เอ่ย “นั่นคือค่ายอาคมไร้สิ้นสุด ซึ่งสร้างขึ้นจากคำอธิษฐานของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ อักษรบาลีสีเลือดเหล่านั้นเกิดจากผลกรรมชั่วร้ายในนรกอเวจี ด้วยเหตุนี้เองอักษรเหล่านั้นจึงเป็นสีเลือด เพราะผลกรรมล้วนแต่เป็นผลร้าย เห็นแล้วจิตใจก็จะถูกดึงดูดให้เกิดมารร้ายในใจ ทำให้ความชั่วร้ายที่ซ่อนอยู่ลึกสุดในจิตใจถูกกระตุ้นขึ้น หากฝ่าฝืนเข้าไปโดยตรง จิตใจไม่มั่นคงก็จะถูกมารร้ายครอบงำและตายอยู่ข้างนอกค่าย ส่วนวิญญาณหลังความตายก็ไม่อาจหลุดพ้นจากค่ายอาคม จะกลายเป็นวิญญาณชั่วร้ายอยู่ภายในนั้น”
ฉินหลิวซีขมวดคิ้วแน่น นรกอเวจี นั่นก็คือนรกขุมที่ลึกที่สุดในบรรดามหานรก 8 ขุม มีแต่คนที่ทำกรรมชั่วหนักหนา เช่น ฆ่าบิดาฆ่ามารดา ฆ่าพระอรหันต์ หรือทำร้ายพระพุทธเจ้า
คนบาปเช่นนั้นผลกรรมชั่วร้ายสนองกลับคงน่าสะพรึงนัก
“การที่จะสร้างค่ายอาคมขึ้นได้นั้นต้องมีวิญญาณชั่วร้ายจากนรกอเวจีมาเป็นธงสำหรับค่ายอาคม และผู้ใช้ค่ายอาคมต้องมีพลังธรรมอันแข็งแกร่งเพื่อสนับสนุน ปู้ฉิว พลังธรรมของเขากำลังฟื้นฟูอย่างช้าๆ ท่านอย่าได้ละเลยการฝึกตนเด็ดขาด”
ฉินหลิวซีกลืนน้ำลาย ฝืนยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าก็อยากจะใช้จังหวะที่เขายังอ่อนแอเพื่อสังหารเขาอยู่หรอก แต่ตอนนี้ตัวจริงของเขาข้าก็ยังไม่อาจมองเห็นได้เลย”
พูดถึงตรงนี้ นางก็รู้สึกห่อเหี่ยวใจ
ฮุ่ยเหนิงจึงเอ่ย “ว่ากันว่ายุคที่มารเอ้อฝูซื่อหลัวยังร้ายกาจ ราวกับพระโพธิสัตว์พันหน้า สามารถแยกวิญญาณนับร้อยเพื่อแฝงตัวลงสิงร่างต่างๆ ราวกับมีพันร่าง”
ฉินหลิวซีหัวเราะเยาะหนักๆ “หนูโสโครกตัวหนึ่งเช่นเขา คิดจะเป็นพระโพธิสัตว์ ฝันไปเถิด”
ฮุ่ยเหนิงยิ้มเอ่ย “ท่านยังมองไม่เห็นก็เพราะยังไม่ถึงเวลา หากเวลาใกล้มาถึง อาตมาเชื่อว่าท่านจะสามารถหาตัวเขาท่ามกลางหมู่คนได้ในพริบตา”
ฉินหลิวซีเงียบ คิดในใจ นางรอให้เขามาเอากระดูกพุทธะจากนาง แต่เขายังไม่มาสักที นี่ก็เพราะยังไม่ถึงเวลาหรือ
เงาร่างหนึ่งแวบเข้ามาในหัวของนาง บางทีพวกเขาอาจจะเผชิญหน้ากันมาแล้วก็ได้
อึก
ฮุ่ยเหนิงกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง
ฉินหลิวซีรีบเอ่ยว “ไต้ซือ รอก่อน ข้าจะส่งยาสร้างฐานปรานมาให้ท่าน พอท่านกินเข้าไปแล้วก็ปิดประตูฝึกตนเถิด”
ฮุ่ยเหนิงชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นยิ้มส่ายศีรษะ “ยาล้ำค่าเช่นนั้น ท่านควรเก็บไว้ให้คนที่ต้องการมันเถิด ตาของอาตมามาจากผลกรรม สามารถล่วงรู้ได้เพียงนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว ท่านควรไปวัดอวี้ฝอเพื่อเชิญเจ้าอาวาสจิ้งฉือที่นั่นมาช่วยวิเคราะห์ว่าค่ายอาคมนี้จะแก้ไขได้อย่างไร แน่นอน อาตมาเองก็จะช่วยศึกษาต่อไป”
“ไต้ซือ ท่านปิดด่านฟื้นฟูตนเองก็พอ ไม่ต้องให้ท่านลำบาก ข้าจะไปหาไต้ซือวัดอวี้ฝอ และไปหาฟ่านคงที่ภูเขาเทียน เขาอยู่ที่นั่นว่างนัก ข้าจะหาเรื่องให้เขาทำบ้าง” นางมีคนรู้จักมากมาย
ส่วนฟ่านคงที่กำลังฝึกตนอยู่บนเขาน้ำแข็งนั้น ลืมตาที่มีหิมะเกาะเต็มขนตา มือสั่นเบาๆ ลางสังหรณ์ไม่ดีเช่นนี้มันคุ้นๆ จังเลยนะ