คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1080 เด็กน้อย ถ้าจะดื้อดึงขนาดนี้ เจ้าก็ทำไม่ถูกแล้ว!
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 1080 เด็กน้อย ถ้าจะดื้อดึงขนาดนี้ เจ้าก็ทำไม่ถูกแล้ว!
ตอนที่ 1080 เด็กน้อย ถ้าจะดื้อดึงขนาดนี้ เจ้าก็ทำไม่ถูกแล้ว!
………………..
ฉินหลิวซีและเหมิงหลู่คุยเกี่ยวกับศิลาเทพแห่งสวรรค์กันค่อนข้างเยอะ รวมถึงที่มาของศิลาเทพด้วย ตำนานเล่าว่าหินแห่งชีวิตก้อนนี้ตกลงมาตอนที่เทพหนี่วาหลอมศิลาปะแผ่นฟ้า หินก้อนนี้แฝงไปด้วยพลังงานที่ไร้ขีดจำกัดและพลังแห่งชีวิต รวมถึงพลังแห่งกฎเกณฑ์และพลังแห่งจิตวิญญาณ แม้ว่าโลกได้เกิดวิบัติกลับตาลปัตร ทว่าพลังงานของมันกลับยังคงมหาศาลไม่เปลี่ยนแปลง
ชนเผ่าหมอผีเหมียวปกป้องศิลาเทพมาหลายชั่วอายุคน พวกเขารู้ซึ้งในพลังงานและความหมายของศิลาเทพก้อนนี้ดี เป็นเช่นนี้จากรุ่นสู่รุ่น ตอนนี้เพราะจะมีภัยพิบัติเกิดขึ้น พวกเขาจึงทำตามคำชี้แนะของพ่อมดผู้เฒ่า ส่งก้อนศิลาเทพไปไว้ในที่ที่ควรอยู่ โดยหวังว่าศิลาเทพจะแผ่พลังงานสูงสุด ช่วยเหลือชีวิตผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยาก
ฉินหลิวซีทอดถอนใจออกมาเบาๆ ใต้หล้านี้มักมีคนบางคนเสียสละอยู่เสมอ
“พวกเจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ เมื่อศิลาเทพถูกส่งออกไปแล้ว อาจไม่หวนคืนมาอีก พวกเจ้าจะไม่มีมันอีกต่อไป” ฉินหลิวซีจ้องมองเหมิงหลู่พลางถามขึ้น
เหมิงหลู่พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เดิมทีศิลาเทพก้อนนี้ก็ไม่ใช่ของพวกเราเผ่าหมอผีเหมียวอยู่แล้ว พวกข้าปกป้องมานานหลายปีขนาดนี้ ได้เรียนรู้จากมันไม่น้อย จะให้พวกข้าซ่อนมันต่อเพียงเพราะความเห็นแก่ตัวของตนเองได้อย่างไรกัน ท่านปรมาจารย์ พ่อมดแม่มดผู้เฒ่าของชนเผ่าข้าเคยบอกไว้ หากไม่มีหนทางที่จะสามารถหยุดยั้งภัยพิบัติครั้งนี้ได้ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดทั้งมวลรวมถึงตัวข้าก็จะถูกทำลายล้างจนหมดสิ้น ถึงเวลานั้นมีศิลาเทพก้อนนี้ไว้ในครอบครอง ยังจะมีประโยชน์อะไรอีก”
นัยน์ตาของฉินหลิวซีสั่นไหว “พวกเจ้าเข้าถึงความลับสวรรค์แล้วหรือ”
เหมิงหลู่ค่อยๆ หุบยิ้มลง เงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยขึ้น “หายนะครั้งนั้น น้ำแข็งเยือกพันลี้ ย้ายภูเขาถมทะเล สูญสิ้นซึ่งเผ่าพันธุ์”
ฉินหลิวซีตกใจเป็นอย่างมาก “กฎธรรมชาติล่มสลาย ไม่เท่ากับว่าใต้หล้าจะมลายสิ้นหรอกหรือ”
มารดามันเถิด ตาแก่ซื่อหลัวนั่น นี่มันเป็นการทำลายสวรรค์ชัดๆ
เมื่อใดที่กฎธรรมชาติพังทลาย ไม่หลงเหลือโชคใดๆ โลกเล็กๆ ใบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องมีอยู่อีกต่อไป
เขาคิดจะใช้โลกเล็กๆ ใบนี้ เพื่อบรรลุสู่การเป็นเทพเจ้าสูงสุดอย่างนั้นหรือ
ฉินหลิวซีรู้สึกว่าศิลาเทพในมือเหมือนเผือกร้อนทันที ฝ่ายศัตรูเล่นใหญ่เกินไปแล้ว นางเป็นเพียงปรมาจารย์ในโลกมนุษย์ จะไปสู้ได้อย่างไร
เหมิงหลู่เอ่ยขึ้น “ความหวังทางรอดอันริบหรี่ที่พ่อมดผู้เฒ่ามองเห็น ก็คือท่าน ท่านปรมาจารย์”
ฉินหลิวซียิ้มเจื่อนด้วยสีหน้าเหยเกพลางเอ่ย “เจ้าเองก็ได้ยินพ่อมดผู้เฒ่าของเจ้าพูดถึงสภาพการณ์ภัยพิบัติ ข้าเป็นเพียงปุถุชนคนธรรมดาที่มีกายหยาบ จะไปสู้ไหวได้อย่างไรกัน ข้าว่า…เจ้าเอาหินก้อนนี้กลับไปดีกว่า ไปหาผู้ที่มีความรู้ความสามารถเหนือกว่าเถิด!”
นางยื่นศิลาเทพกลับไปให้พวกเขา
ความกดดันนี้ใหญ่หลวงประหนึ่งภูเขาก็ไม่ปาน
เหมิงหลู่ไม่ได้รับศิลาเทพแต่อย่างใด เขาเอ่ยขึ้น “พ่อมดผู้เฒ่าบอกว่าท่านคือทางรอด ท่านก็คือทางรอด”
“ให้เขาดูผิดบ้างไม่ได้หรืออย่างไรกัน”
“ไม่ได้เด็ดขาด!” เหมิงหลู่ดีดตัวลุกขึ้นพลางเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่จริงจัง “พ่อมดผู้เฒ่าของพวกข้าไม่มีทางดูผิดอย่างแน่นอน เขาคือเทพเจ้าพ่อมดที่กลับชาติมาเกิดที่แท้จริง พลังเวทมนตร์ของเขานั้นลึกล้ำและสูงส่งเป็นอย่างมาก”
ฉินหลิวซีเหลือบมองสีหน้าท่าทีเอาเรื่องของเขา ประหนึ่งว่าจะเข้ามาทุบนางให้น่วมอย่างไรอย่างนั้น จึงรีบเอ่ยว่า “ถูกต้องๆ เจ้าพูดได้ถูกต้อง พวกเราใจเย็นๆ กันเถิด!”
เหมิงหลู่พูดขึ้น “ท่านปรมาจารย์อย่าถ่อมตนไปเลย ขอเพียงท่านหมั่นเพียรฝึกฝนอย่างไม่ลดละ บำเพ็ญฝึกตนให้แข็งแกร่งขึ้น จะต้องสู้กับมารร้ายได้อย่างแน่นอน”
ฉินหลิวซี “…”
ข้าสงสัยเหลือเกินว่าเจ้าเป็นร่างที่สองของท่านเจ้าอาวาสฮุ่ยเหนิง มาที่นี่เพื่อกำราบนางโดยเฉพาะ!
ฉินหลิวซีถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “พ่อมดผู้เฒ่าเข้าถึงความลับสวรรค์เช่นนี้ เขาเป็นอย่างไรบ้าง”
เหมิงหลู่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่โศกเศร้า “ล้วงความลับสวรรค์ เดิมทีก็เป็นการใช้เวทมนตร์ใหญ่หลวงที่ขัดแย้งกับสวรรค์อยู่แล้ว พ่อมดผู้เฒ่าใช้เวลาค่อนชีวิตในการบำเพ็ญ ดวงตามืดบอด ขาทั้งสองข้างไม่สามารถใช้การได้ ตอนนี้ทำได้เพียงปลีกวิเวกอยู่แต่ในเรือน บำเพ็ญตบะอย่างสันโดษเท่านั้น”
ฉินหลิวซีได้ยินแล้วก็รู้สึกเลื่อมใสเป็นอย่างมาก
“ข้ารู้ว่าเขาจะต้องรวบรวมพลังศรัทธาโดยการสักการะภาพวาดแทนพระพุทธเจ้าและเทพเซียน แต่เขาหนีออกมาจากมหาอเวจีนรกมาหลายปี อัตลักษณ์เหมือนภูตผีปีศาจ มีร่างจำลองมากมายนับไม่ถ้วน และก็ไม่รู้ว่าเขากำลังซุ่มทำอะไรบางอย่างเงียบๆ อยู่ ข้าเองก็เคยทำลายผู้บำเพ็ญชั่วร้ายหลายคนที่รวบรวมพลังศรัทธาให้เขา แต่หากข้าทำคนเดียว มันยากเกินกว่าที่จะทำทุกอย่างได้ หมอผีเผ่าเหมียวก็เหมือนกับพ่อมดแม่มดผู้วิเศษ หากพบผู้บำเพ็ญที่ชั่วร้ายหรือมีคนถูกเปลี่ยนชะตากรรมรวมไปถึงชะตากรรมหายไป จะช่วยทำลายได้หรือไม่” แม้จะไม่รู้ว่าผู้บำเพ็ญชั่วร้ายทั้งหมดจะถูกพุทธมารใช้หรือไม่ แต่ฆ่าผิดคนดีกว่าปล่อยให้หลุดรอดไป จัดการก่อนแล้วค่อยว่ากัน
“แน่นอนอยู่แล้ว” ผู้บำเพ็ญชั่วร้าย ใครๆ ก็หมายหัวจะฆ่า
เหมิงหลู่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “เต๋ายังมีทั้งดีและชั่ว มีพ่อมดแม่มดดีก็ย่อมมีพ่อมดแม่มดปีศาจ สิ่งที่เรียกว่าแม่มดปีศาจ เป็นเพียงมนต์ดำที่ชั่วร้าย เลือกที่จะใช้เส้นทางแห่งปีศาจ ดึงดูดพลังแห่งความมืดออกมาใช้ ทำลายสวรรค์และโลกมนุษย์ อันที่จริงมีชื่อเรียกอีกชื่อว่าแม่มดดำหรือพ่อมดดำ”
ฉินหลิวซีนึกถึงซือเหลิ่งเย่ว์ขึ้นมาทันควัน จึงเอ่ย “บ้านแม่มดขาวสกุลซือ ถูกคำสาปโลหิตของแม่มดดำมาหลายร้อยปี”
เหมิงหลู่จ้องมองนางพลางเอ่ย “ข้าได้ยินเรื่องนี้นานมากแล้ว แม่มดขาวตระกูลซือไม่ควรสิ้นสายเลือด ตอนนี้ได้พบกับผู้สูงศักดิ์ช่วยแก้คำสาปแล้ว ลูกหลานแม่มดขาวตระกูลซือจึงยินดีที่จะช่วยเหลือและให้การสนับสนุน”
ฉินหลิวซีฉีกยิ้มที่มุมปาก “ฝีมือข้าเอง”
เหมิงหลู่มองดูรอยยิ้มสดใสของคนหนุ่มสาวที่ปกติไม่เคยเห็นจากนางก็อดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มตาม เอ่ย “เกิดมาเพื่ออาณาประชาราษฎร์จริงๆ บุญกุศลมากมายนับไม่ถ้วน”
“เจ้ารู้ที่มาของข้าหรือ” ฉินหลิวซีจับจุดสำคัญของคำพูดได้
เหมิงหลู่ส่ายหน้าเบาๆ “ที่มาคืออะไร ไม่สำคัญทั้งสิ้น ท่านปรมาจารย์มักจะเลือกเส้นทางที่ถูกต้องเสมอ”
“ไม่ใช่พวกเจ้าหรอกหรือที่เป็นคนผลักดันข้า”
เหมิงหลู่ “…”
เด็กน้อย ถ้าจะดื้อดึงขนาดนี้ เจ้าก็ทำไม่ถูกแล้ว!
ฉินหลิวซีถือศิลาเทพไว้ในมือ รู้สึกเหมือนว่าตนเองถูกเอาเปรียบแล้วยังอวดฉลาดอย่างไรอย่างนั้น เอ่ยว่า “ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดพวกเจ้าถึงจะให้ข้าเป็นผู้ที่สวรรค์เลือกให้จงได้ เพราะข้ารู้สึกว่าสวรรค์ก็ไม่ได้ชอบข้า เจ้าดูสิ ที่ข้าสำแดงความสามารถก็เพื่อน้องชายที่โง่เขลาของข้าเท่านั้น ข้ายังต้องแบกรับข้อเสียห้าโทษสามวิบัติอยู่ดี ที่ใช้พลังความสามารถฉุดช่วยคนก็เพื่อจะให้ตนเองเคลื่อนไหวได้ราบรื่นยิ่งขึ้น มีผู้ถูกเลือกคนไหนโชคร้ายเหมือนข้าบ้างเล่า”
เหมิงหลู่ “สิ่งนี้ไม่ใช่การทดสอบ แต่เป็นการจำกัด”
“จำกัด? ถ้ามีปัญญา ก็ยึดพลังความสามารถของข้ากลับขึ้นไปสิ ตอนที่ข้าไม่มีพลังความสามารถ ข้าสบายกายสบายใจจะแย่ ไม่ต้องกลายมาเป็นผู้ถูกเลือกที่ดวงซวยเช่นนี้ เตรียมอุทิศกายถวายชีวิตอยู่ตลอดเวลา” ขอเพียงข้าเป็นคนไม่เอาไหน พวกเขาก็จะใช้นางทำอะไรไม่ได้
เหมิงหลู่ “…”
ข้าหมดคำพูดจริงๆ
“หากข้าไม่เอาไหน ข้าก็ไม่ต้องเป็นผู้ถูกเลือก เรื่องของใต้หล้าไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้า ข้าเองก็คงไม่ไปสร้างเรื่อง ต่อไปภายภาคหน้าเขาก็ไม่ต้องกังวลว่าข้าจะสร้างเรื่อง และก็ไม่ต้องคอยเอาห้าโทษสามวิบัติมาจำกัดอีก!”
ลมหายใจของเหมิงหลู่ถี่ขึ้นเรื่อยๆ
เจ้าเด็กคนนี้ทำไมมีตรรกะเพี้ยนๆ เยอะแยะขนาดนี้?
และก็ดูเหมือนว่าเขาแทบจะโต้แย้งนางไม่ได้เลย
สวรรค์ ได้ๆ ข้าเข้าใจแล้ว!
เจ้าน่าสงสาร เจ้าไร้เหตุผล ข้ายอมแพ้ พอใจแล้วหรือยัง!
จู่ๆ ฉินหลิวซีก็รู้สึกว่าขาของนางไม่เจ็บแล้ว สามารถขยับได้อย่างอิสระ จึงลุกขึ้นมาลองกระโดดสองสามครั้ง จากนั้นก็หันไปพูดกับเหมิงหลู่ด้วยสีหน้าที่เก้อเขิน “เด็กที่ร้องไห้เป็นมักจะได้กินลูกกวาด คำพูดประโยคนี้มีจริงๆ ด้วย”
เหมิงหลู่ พ่อมดผู้เฒ่า ข้าอยากกลับไปที่ภูเขาแล้ว!
เห็นแก่สวรรค์ที่น่ารักน่าชังขนาดนี้ ฉินหลิวซีตบหน้าขาทั้งสองอย่างอารมณ์ดีพลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “สหายเหมิงวางใจได้ การลงโทษความชั่วร้ายและความชอบธรรมเป็นสิ่งจำเป็นทางศีลธรรมที่นักพรตทุกคนควรมี ในเมื่อพวกเจ้าเชื่อมั่นในตัวข้า ข้าจะพยายามทำให้ดีที่สุด เพราะหากสู้ไม่ไหว เราก็จะจบเห่ด้วยกันทั้งหมดนี่ ไม่เห็นน่ากลัวสักนิด เจ้าว่าใช่หรือไม่”
เหมิงหลู่ลุกขึ้นยืนพลางเอ่ย “ข้าจำได้ว่าที่เผ่ายังมีเรื่องสำคัญต้องทำ ขอตัวกลับไปที่ภูเขาก่อน!”
หากไม่ไปตอนนี้ เขาคงจะถูกเด็กน้อยคนนี้บีบคั้นจนสติแตกเป็นแน่แท้!