คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1081 คนโง่เขลา มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจะต้อง
ตอนที่ 1081 คนโง่เขลา มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจะต้อง…
………………..
หลังจากที่เหมิงหลู่กลับไปแล้ว รอยยิ้มระรื่นของฉินหลิวซีก็หายไปทันที นางสัมผัสกล่องหยกของศิลาเทพ พลางถอนลมหายใจออกมาเบาๆ
หลังจากฟังเรื่องที่พ่อมดผู้เฒ่าของเผ่าเหมียวอธิบายถึงเหตุการณ์ภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นแล้ว นางก็รู้สึกว่าฟ้ากำลังจะถล่มลงมาจริงๆ รู้สึกสับสนและสงสัยในตนเองว่าจะต่อสู้กับซื่อหลัวได้หรือเปล่า
สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า ก็คือทุกคนต่างยกย่องนางเป็นจอมทัพ ทำให้นางยิ่งรู้สึกกดดันเข้าไปใหญ่ หากนางทำให้ทุกคนผิดหวัง นางจะทำอย่างไรดี
นางจะเก่งแค่ไหน ก็เป็นเพียงปุถุชนคนธรรมดาเท่านั้น
ฉินหลิวซีเดินทางไปที่ศาลเทพเจ้าประจำเมืองของอำเภอหนานด้วยความวิตกกังวล ทว่าก็ไม่ลืมที่จะหิ้วไก่อบหนึ่งตัวและสุราเซาเตาจื่อติดมือไปด้วย
ยังถือว่าอยู่ในช่วงปีใหม่ เห็นได้ชัดว่ามีนักท่องเที่ยวที่มายังศาลเทพเจ้าประจำเมืองค่อนข้างมาก ผู้ศรัทธาที่มาสักการะบูชาก็ไม่น้อย ขณะเดียวกัน เนื่องจากมีภัยหนาวเกิดขึ้น จึงทำให้มีผู้ลี้ภัยที่มาอาศัยอยู่ในบริเวณนี้เพิ่มขึ้นมากกว่าสถานที่อื่นๆ ทว่าก็ไม่มีคนก่อเรื่องและสร้างปัญหาแต่อย่างใด ทุกอย่างสงบเรียบร้อยเป็นอย่างดี
ความสงบเรียบร้อยของอำเภอหนานจู่ๆ ก็ดีขึ้นกะทันหันงั้นหรือ
ฉินหลิวซีรู้สึกแปลกใจไม่น้อย นางเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ ก็มองเห็นกองทัพกองหนึ่ง ที่ปลายสุดมีธงขาวเขียนคำว่าเพิงข้าวต้มตระกูลฉิน นางชะงักไปครู่หนึ่ง พอเดินไปยังท้ายสุด ก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเป็นอย่างมาก
ดูเหมือนว่าจะเป็นบ่าวรับใช้ข้างกายของกงซุนเฉิง กำลังให้คนแจกจ่ายหมั่นโถวและข้าวต้มร้อน และทุกคนที่ต่อแถวมารับหมั่นโถวและข้าวต้มนั้นต่างก็กล่าวเป็นประโยคเดียวกันว่า ‘ขอบคุณนักพรตหญิง’
ฉินหลิวซี “!”
นางรู้สึกเหมือนมีบุญกุศลความศรัทธาลอยเข้ามาหาตนเอง ก็อดไม่ได้ที่จะเงียบงัน นางคว้าแขนของผู้ลี้ภัยคนหนึ่งมาถาม “นี่เป็นเพิงข้าวต้มของตระกูลไหนหรือ”
“นักพรตหญิงของตระกูลฉินกระมัง พ่อบ้านบอกไว้อย่างนั้น ตั้งเพิงอยู่ที่นี่หลายวันแล้ว” ผู้ลี้ภัยฉีกยิ้มที่แห้งผากพลางตอบกลับอย่างจริงใจ จากนั้นก็เอ่ยต่อไปว่า “ล้วนเป็นความเมตตาของนักพรตหญิง มิฉะนั้นข้าและลูกๆ คงหิวโหยและหนาวตายไปตั้งนานแล้ว เพราะข้าวต้มร้อนๆ ถ้วยนี้ ข้ายินดีที่จะตั้งแผ่นจารึกผู้มีพระคุณให้นักพรตท่านนี้”
ฉินหลิวซีฉีกยิ้ม พลางแตะศีรษะเขาเบาๆ “สวรรค์ประทานพรไม่มีที่สิ้นสุด”
ผู้ลี้ภัยชะงักไปชั่วขณะ จวบจวนนางเดินไปไกลแล้ว จึงค่อยฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับวิ่งจากไป
ฉินหลิวซีเดินตรงไปยังศาลเทพเจ้าประจำเมือง ความสับสนกังวลใจก่อนหน้านี้ลดลงไปไม่น้อย ท่านฮุ่ยเหนิงพูดถูก นางไม่ได้ตัวคนเดียว มีคนคอยปกป้องคุ้มกันอยู่ข้างหลังนางเสมอ
กงปั๋วเฉิง เขาให้ทานในนามของนาง ให้นางได้สะสมบุญกุศลและพลังแห่งศรัทธา
ขณะที่ซาหยวนจื่อกำลังตีความหมายเซียมซีของผู้แสวงบุญอยู่ในอาราม พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นฉินหลิวซีเดินเข้ามาพอดี ดวงตาของเขาลุกวาวเป็นประกาย ใบหน้าที่มีรอยแผลเป็นดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาไม่น้อย
“ทำงานของเจ้าต่อเถิด” ฉินหลิวซีบอกกล่าวเสร็จแล้วก็ถวายไก่อบและสุราเซาเตาจื่อขึ้นโต๊ะ นำธูปมาจุด จากนั้นก็ตั้งจิตอธิษฐาน แล้วจึงค่อยนั่งลงขัดสมาธิเชื่อมโยงประสานจิตวิญญาณ
ผู้อาวุโสเฉินหวงกำลังเสวยผลบุญอย่างอารมณ์ดี เมื่อมองไปที่นางก็เห็นว่าพลังจิตวิญญาณของนางเชื่อมโยงได้ดีเยี่ยมจึงเอ่ยขึ้นว่า “ดูท่าแล้วคงจะได้รับพรจากเทพหนี่วา ถูกฟ้าผ่าแต่กลับไม่เป็นไร แถมยังดึงเอาพลังจากสายฟ้ามาใช้อีกต่างหาก”
ฉินหลิวซีพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ล้วนเป็นเพราะรัศมีเทพอันน้อยนิดที่ท่านมอบให้”
“แน่นอนอยู่แล้ว ข้าคือผู้อาวุโสเฉินหวง แม้ว่าจะเป็นเทพเจ้าประจำเมืองที่ดูแลเมืองเล็กๆ แต่ก็ขึ้นชื่อว่าเทพเหมือนกัน รัศมีแห่งเทพก็ดีพอควร เจ้ารู้หรือไม่ ถึงแม้ว่าจะมีภัยหนาวเกิดขึ้น แต่เพราะมีข้าปกปักรักษา อำเภอหนานจึงได้รับผลกระทบน้อยที่สุด มิเช่นนั้นศาลของข้าจะมีคนมาสักการะบูชาเพิ่มพูนมากมายเช่นนี้หรือ ข้าจะเก่งกาจขึ้นเรื่อยๆ ถึงเวลานั้นข้าจะให้พลังแก่เจ้า” ผู้อาวุโสเฉินหวงชี้ไปที่ไก่อบและสุราที่อยู่ตรงหน้า พลางเอ่ยต่อไปว่า “แต่เจ้าก็อย่าลืมแสดงความกตัญญูต่อข้าด้วยล่ะ”
“ตาเฒ่าจอมตะกละ”
ผู้อาวุโสเฉินหวงแทะน่องไก่พลางถามขึ้นว่า “เจ้าดูมีเรื่องกลัดกลุ้มใจมากมาย มีเรื่องอะไรคิดไม่ตกหรือ”
ฉินหลิวซีนั่งลงพลางเท้าคาง จากนั้นก็ยกจอกสุราที่เขาพึ่งจิบไปคำเดียวขึ้นมาดื่ม สุราที่ร้อนระอุไหลผ่านคอของนาง เอ่ยว่า “ข้าถูกผู้คนผลักดันให้ขึ้นมาเป็นจอมทัพหัวแพะบนสังเวียนเป็นที่เรียบร้อย และข้าเตรียมจะพาพวกเขาขึ้นไปต่อสู้ด้วย แต่ฝ่ายศัตรูแข็งแกร่งเกินไป ข้าคิดว่าคงจะสู้ไม่ไหว ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดพวกเขาถึงได้เลือกข้า แถมยังเอาสิ่งล้ำค่ามามอบให้ข้าด้วย”
แม้ว่านางจะไร้ยางอาย แต่บางสิ่งบางอย่างนางก็ได้มาจากกษิติครรภโพธิสัตว์จริงๆ ตอนนี้ยังมีศิลาเทพที่หมอผีเผ่าเหมียวมอบให้อีก
โบราณกล่าวไว้ว่า ‘รับของของผู้อื่นมาแล้ว เมื่อเกิดปัญหาขึ้นก็ไม่กล้าเอาเรื่องกับเขาเพราะติดค้างบุญคุณ’ หากนางทำได้ไม่ดี ของล้ำค่าที่อยู่ในมือก็จะกลายเป็นเผือกร้อนได้ และตอนนี้ก็ร้อนรุ่มมาถึงจิตใจนางแล้ว!
หึ นางเอื้อมไม่ถึงแล้ว!
ฉินหลิวซีแสร้งทำเป็นไม่เห็นท่าทีของเขา นางเท้าคางพลางบ่นถึงเรื่องที่ซื่อหลัวจะทำลายสรวงสวรรค์ รวมไปถึงเรื่องที่ทุกคนต่างพากันคาดหวังในตัวนาง
“ทุกคนต่างพากันคาดหวังในตัวข้า พวกเขาเอาความมั่นใจนี้มาจากไหนกัน”
ผู้อาวุโสเฉินหวงพูดขึ้น “ข้าดูแล้ว ทุกคนคงคิดว่าเจ้าเป็นผู้โง่เขลากระมัง!”
ฉินหลิวซี “?”
“ลองคิดดู เจ้าถูกผลักดันให้ออกมาเป็นจอมทัพ จะต้องมีความสามารถอยู่แล้ว เจ้ายังต้องเป็นม้ารับใช้ สู้อยู่แนวหน้าสุด แต่สิ่งเหล่านี้นับว่าเบาแล้ว ในเมื่อเจ้าเป็นจอมทัพ เป็นผู้นำสูงสุด ย่อมต้องมีการสละเสียสละเป็นธรรมดา ทว่ายังให้เจ้ามารับหน้าที่นี้ ไม่เท่ากับว่าเจ้าคือผู้โง่เขลาหรอกหรือ” ผู้อาวุโสเฉินหวงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงยินดีกับความโชคร้ายของคนอื่น “ดังคำกล่าวที่ว่า ‘หากเจ้าไม่ลงนรก แล้วผู้ใดจะลง’ เจ้าลองลิ้มรสดู ลองลิ้มรสของมัน”
ใบหน้าของฉินหลิวซีกระตุกเล็กน้อยพลางเอ่ย “เช่นนั้นข้าควรปฏิเสธที่จะช่วยหรือไม่”
“ไม่ได้” ผู้อาวุโสเฉินหวงพูดขึ้น “ผู้บำเพ็ญตบะ จิตใจมีธรรมะ หากเจอกับปัญหาแล้วไม่ต่อสู้อย่างจริงจัง เอาแต่เลี่ยงหลบ มารก็จะครอบงำจิตใจ ถนนเส้นนั้นก็จะมองเห็นปลายทางได้เลย ไม่มีทางที่จะก้าวหน้าได้อีก!”
ฉินหลิวซี ไม่ใช่ว่าเขากำลังขัดแย้งกับตนเองอยู่หรอกหรือ
เรียกนางว่าผู้โง่เขลา แต่ก็จะให้นางต่อสู้อย่างจริงจังเมื่อเผชิญกับปัญหา สรุปเขาอยากให้นางสู้หรือไม่อยากให้สู้กันแน่?
ผู้อาวุโสเฉินหวงเอ่ยขึ้นว่า “ดังคำกล่าวที่ว่าบ้านเมืองมีภัย ราษฎรต่างมีหน้าที่รับผิดชอบ เผชิญหน้ากับเรื่องเช่นนี้ ย่อมหวังพึ่งราษฎรไม่ได้อยู่แล้ว เช่นนั้นผู้บำเพ็ญจะถอยไม่ได้เป็นอันขาด หากผู้บำเพ็ญล่าถอย พวกเขาก็จะยิ่งไม่สามารถต้านทานเข้าไปใหญ่ แม้ว่าเจ้าจะเป็นผู้โง่เขลา ทว่าก็เป็นถึงผู้นำแนวหน้า ใครว่าผู้นำจะต้องเป็นแพะเสมอไป เป็นหมาป่าก็ได้นี่!”
เขาจ้องมองฉินหลิวซี พลางเอ่ยต่อไปอีก “หากจะเป็นหมาป่า ก็จะต้องเพิ่มกำลังความสามารถให้แข็งแกร่ง เจ้าต้องเดินเส้นทางเต๋าให้ถูกต้องก่อน บรรลุแจ่มแจ้งแล้ว เมื่อเจ้ามีกำลังความสามารถที่จะขึ้นสู่สรวงสวรรค์ เจ้าก็จะมีความมั่นใจที่จะตีเสมอคู่ต่อสู้ ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะไม่ใช่ผู้โง่เขลาอีกต่อไป แต่เป็นผู้ช่วยใต้หล้าต่างหาก!”
ฉินหลิวซี ข้าสงสัยว่าเขากำลังกรอกหลักการเข้าหูข้าอยู่!
“คนหนุ่มสาวเหตุใดถึงคิดมากเช่นนี้ ขวากหนามเต็มถนนทางเดินก็ยังเดินมาได้มิใช่หรือ เจ้ายังอายุน้อย ขยันบำเพ็ญเพียรให้มาก ฆ่าฝ่ายศัตรูให้ตายก็สิ้นเรื่องแล้วมิใช่หรือ” จู่ๆ ผู้อาวุโสเฉินหวงก็เปลี่ยนเรื่องสนทนา “ไก่อบรสชาติไม่เลว คราวหน้าเอามาฝากข้าอีกสักสองตัว”
ฉินหลิวซี “…”
นางมองดูเขากินจนหมดแล้วจึงพูดขึ้นว่า “ข้าไปแล้ว”
พึ่งจะหมุนตัวก็สัมผัสได้ถึงรัศมีแห่งเทพที่เข้มข้นเป็นอย่างมากพุ่งเข้าสู่แท่นดวงจิตของนาง นางหันไปมองผู้อาวุโสเฉินหวง สีหน้าไม่เข้าใจ
ผู้อาวุโสเฉินหวงหรี่ตาลง แววตาโอบอ้อมอารีเป็นอย่างมาก ก่อนจะเอ่ย “ปีใหม่ทั้งที เจ้ามีแค่ไก่กับสุรามาแสดงความกตัญญู ข้ามอบรัศมีแห่งเทพให้เจ้าเสียหน่อย สุขสงบสุขภาพแข็งแรงในวันปีใหม่ สมดังปรารถนาทุกประการ”
ฉินหลิวซีนึกถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา เขาเองก็เป็นเช่นนี้ มักจะแตะศีรษะให้พรนางทุกวันปีใหม่เสมอ นางเองก็คุกเข่าลงเช่นนี้ คำนับหนึ่งครั้งพร้อมกับเอ่ย “สุขสงบสุขภาพแข็งแรงในวันปีใหม่ตาเฒ่า”