คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1084 องค์หญิงของเจ้าเปิดประตูมาส่งเอง
ตอนที่ 1084 องค์หญิงของเจ้าเปิดประตูมาส่งเอง
หลังจากที่เฟิงซิวเล่าเรื่องเถิงเจาจบแล้ว ก็คิดว่าฉินหลิวซีจะโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ทว่าสีหน้าของนางกลับสงบเป็นอย่างมาก ราวกับได้ยินเรื่องของคนอื่นอย่างไรอย่างนั้น ไม่สนใจแม้แต่นิดเดียว
ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้น “นึกว่าเรื่องใหญ่ขนาดไหน ข้าก็รีบมาด้วยความร้อนใจ พอได้ฟังแล้ว เรื่องแค่นี้เองหรือ คู่ควรให้ข้าโมโหตรงไหนกัน”
เฟิงซิว “?”
ประเดี๋ยวนะ หากไม่รีบร้อน แล้วรีบมาเร็วขนาดนี้ทำไมกัน
“คนอื่นจับตัวพวกเขาไป จะให้ฝ่าบาทประทานสมรสพระราชทาน” เฟิงซิวเอ่ย “ท่านไม่กลัวว่าเถิงเจาจะกลายเป็นราชบุตรเขยขององค์หญิงหรือ ถึงเวลานั้นท่านก็จะไม่มีลูกศิษย์คนนี้อีกแล้ว”
ฉินหลิวซีเอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะในลำคอ “เจ้าคงลืมไปแล้ว ราชครูที่อยู่ในวังคือหุ่นเชิดของข้า หากฝ่าบาทกล้าประทานสมรส งานแต่งนี้ก็จะนำมาซึ่งความอัปมงคลมากมาย”
เฟิงซิวเลิกคิ้วขึ้นสูง “อย่างไรหรือ ท่านจะทำให้องค์หญิงตายงั้นหรือ”
“การเข่นฆ่าเป็นเรื่องไม่ดี ข้าไม่ใช่คนเช่นนั้น!” ฉินหลิวซีหรี่ตาลงต่ำพลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น “นางชอบคนออกบวชขนาดนี้ นับว่ามีวาสนากับคนออกบวชไม่น้อย หากสามารถบำเพ็ญธรรมได้คงจะดี”
เฟิงซิวเข้าใจในทันที
เจ้าจะจับนางบวชเป็นแม่ชีหรือ!
สุดยอด!
ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้น “ไปรับคนก่อน”
เฟิงซิวตามนางออกไป ระหว่างทางก็ไม่ลืมที่จะพูดถึงเรื่องที่เขาไปสืบเกี่ยวกับภูตปีศาจที่หายตัวไป “จิตวิญญาณในโลกใบนี้ตื้นเขิน ไม่เหมือนยุคที่การบำเพ็ญรุ่งเรืองในตอนนั้น ทุกสรรพสิ่งล้วนบำเพ็ญตบะทั้งสิ้น ยากกว่าตอนนั้นมาก จิตวิญญาณที่ได้น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการแปลงกาย ท่านเองก็รู้ ใต้หล้านี้เดิมทีปีศาจก็น้อยอยู่แล้ว ตอนนี้ยังมาถูกจับไปอีก จุดจบจะเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้ เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจเหมือนกัน จะให้ข้ายืนดูเฉยๆ ข้าก็ทำไม่ได้”
มนุษย์มีหลักการของมนุษย์ ปีศาจมีหลักการของปีศาจ เช่นเดียวกันกับตอนที่มนุษย์เจอภัยพิบัติ หากเอาแต่รู้สึกว่าไม่เกี่ยวกับตน เวลาที่ตนเจอภัยพิบัติ คนอื่นก็จะปฏิบัติกับเราเช่นเดียวกัน
ส่วนเฟิงซิวเป็นอย่างหลัง
ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้น “ตงเป่ยมีผู้ที่สามารถสื่อสารกับเทพเจ้ามากมาย เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่”
“ได้เรื่องมานิดหน่อย แต่ยังไม่แน่ชัด”
“ต้องการให้ข้าไปหรือไม่”
เฟิงซิวยิ้มพร้อมกับส่ายหน้า “ไม่เป็นไร นี่เป็นเรื่องของเผ่าปีศาจ ท่านอย่าพึ่งเข้ามาพัวพันจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องแบกรับผลที่จะตามมา หากข้าจัดการไม่ได้จริงๆ ค่อยไปหาท่าน”
ฉินหลิวซีก็รู้ความสามารถของเขาดี จึงไม่ได้ดึงดันแต่อย่างใด นางยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกมากมาย แค่แก้ค่ายอาคมขังเซียนก็ใช้พลังจิตของนางไปมากพอแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการบุกม่านอาคม
มีเรื่องไหนบ้างที่ไม่เร่งด่วน
ระหว่างเดินทางกับเฟิงซิว ถือเป็นช่วงเวลาผ่อนคลายที่หาได้ยากยิ่ง ดูเหมือนว่าตั้งแต่ซื่อหลัวหนีออกมาได้ นางก็ไม่เคยได้พักผ่อนอย่างสบายใจเลยสักครั้ง
ช่างน่ากลุ้มใจเสียจริง นางจะได้ใช้ชีวิตแบบเกษียณแล้วบ้างหรือไม่
“หลีกทางไปให้พ้น ซืออี๋จวิ้นจู่ออกเดินทาง คนไร้การไร้งานหลีกทางเสีย” เสียงกีบม้าที่รีบร้อนและเสียงหยิ่งผยองดังมาจากด้านหลัง ตามมาด้วยเสียงฟาดแส้ดังขึ้นข้างๆ ฉินหลิวซี
เฟิงซิวเหลือบเห็นก็รีบดึงฉินหลิวซีหลบด้วยความรวดเร็ว ปลายแส้ฟาดลงบนก้อนอิฐที่พวกเขายืนอยู่เมื่อครู่นี้อย่างจัง ทว่าคนขี่ม้ากลับไม่ได้สนใจแม้แต่นิดเดียว
เพียงครู่เดียวก็มีรถม้าตามหลังมาติดๆ ทั้งสองต่างหันไปมองพร้อมๆ กัน
“คู่อริของท่านอย่างไรเล่า ตอนที่คลุมกระสอบควรจะตีแม่นางคนนี้ให้ตายไปเสีย จองหองเสียไม่มี” เฟิงซิวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาเป็นอย่างมาก
ฉินหลิวซีดีดความโชคร้ายเล็กน้อยใส่คนคุ้มกันที่ขี่ม้าอยู่หน้าสุด จากนั้นก็หันไปมองรถม้าหรูหราที่กำลังวิ่งผ่าน นางหรี่ตาลงพลางเอ่ย “จะว่าไปแล้ว ข้าจับนางคู่กับจ้าวอ๋อง ไม่เห็นขอบคุณข้าแม้แต่คำเดียว ไม่ควรเลยจริงๆ!”
ไร้มารยาท สมควรโดนลงโทษ!
อ๋อ น่าตื่นเต้นขนาดนั้นเชียว?
ฉินหลิวซีจ้องมองเขาแววตาเป็นประกาย ประหนึ่งกำลังพูดกับเขาว่า หากพูดเป็นก็พูดออกมาให้หมดด้วย
“ได้ยินมาว่าจ้าวอ๋องถูกยกกลับไปที่จวนอ๋อง และก็มีข่าวลือว่าตอนที่จ้าวอ๋องถูกจับได้นั้น ที่ข้อมือของเขามีรอยถูกมัด ที่คอก็มีปลอกคอสุนัขสวมอยู่ด้วย ร่างกายช้ำเป็นจ้ำๆ ดูท่าซืออี๋จวิ้นจู่คงจะเล่นพิเรนทร์ไม่น้อย!”
ฉินหลิวซีทำสีหน้าเคร่งขรึม สกปรกเกินไปแล้ว นี่คือสิ่งที่ข้าสมควรฟังหรือ
แล้วยังมีอะไรอีก
“จ้าวอ๋องที่นอนบนเตียงตัวเองดีๆ แต่จู่ๆ ก็ไปโผล่บนเตียงซืออี๋จวิ้นจู่ แถมยังโดนขืนใจอย่างน่าอนาถ จวิ้นหม่าไปฟ้องร้อง เขาต้องบอกว่าซืออี๋จวิ้นจู่จับตัวเขามาอยู่แล้ว เพราะอย่างไรเสียก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางทำเรื่องไร้ศีลธรรมเช่นนี้ ส่วนซืออี๋จวิ้นจู่ พอรู้ว่าจ้าวอ๋องเสนอตัวมาถึงเตียงนาง นางกลับดื่มสุราเพิ่มขึ้น ด้วยความมึนเมาจึงไม่สามารถควบคุมตนเอง จนได้กระทำการไปในที่สุด” เฟิงซิวเหลือบมองนางพลางเอ่ยต่อไปว่า “ใครบางคนทำเรื่องผิดศีลธรรม ให้พวกเขากัดกันเอง ถือเป็นประเด็นร้อนที่อื้อฉาวที่สุดในเมืองเซิ่งจิงเลยก็ว่าได้”
ฉินหลิวซีแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจความหมายที่เขาสื่อ เอ่ย “เช่นนั้นพวกเขาแค่กลายมาเป็นศัตรูคู่อาฆาตเท่านั้นหรือ”
เฟิงซิวส่ายหน้าเบาๆ พลางเอ่ย “ท่านประเมินจ้าวอ๋องต่ำเกินไปแล้ว”
ฉินหลิวซี “?”
“เรื่องมาถึงตอนนี้ เขาก็ฉวยโอกาสดึงซืออี๋จวิ้นจู่และจวนซิ่นหยางอ๋องที่อยู่เบื้องหลังนางมาเป็นพวกเดียวกัน แน่นอนจวนซิ่นหยางอ๋องจะยอมอยู่ฝ่ายเดียวกันหรือไม่ก็พูดยากแล้ว!”
ฉินหลิวซีจุ๊ปากพลางทอดถอนใจ “ลูกผู้ชายยืดได้หดได้จริงๆ ไม่ยึดติดกับเรื่องเล็กน้อยเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ ไม่ลังเลที่จะเสียสละตัวเอง ช่างเป็นตัวอย่างที่ดีจริงๆ!”
“มิเช่นนั้น คนของตระกูลขุนนางเก่าแก่จะพูดว่าจ้าวอ๋องแสดงละครเองกำกับเองได้อย่างไรกัน”
เป็นถึงโอรสสวรรค์ เรื่องจับชู้ได้ก็ช่างมันเถิด ทว่าเหตุการณ์ร้ายแรงดังกล่าวได้กลายเป็นข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่ว หากเจอคนหัวแข็งไม่ยอมใคร จะต้องสู้กับซืออี๋จวิ้นจู่ให้ตายกันไปข้างอย่างแน่นอน
ทว่าจ้าวอ๋องกลับเป็นคน ‘ใจกว้าง’ ไม่เอาเรื่องยังไม่พอ แต่ยังอาศัยเส้นสายของนางมาเพิ่มอิทธิพลอำนาจให้ตนเองอีกด้วย
สองคำเลย ทุจริต ฉ้อโกง!
“จุ๊ๆ ใช่ว่าบุตรผู้สูงศักดิ์เหล่านี้จะไร้ซึ่งข้อดีเสียทีเดียว ถือว่ามีความอดทนไม่น้อย” ฉินหลิวซีฉีกยิ้ม เพียงแต่ว่ารอยยิ้มของนางนั้นปนไปด้วยความเย้ยหยัน
เมื่อเรื่องราวกลายเป็นข้อเท็จจริง สู้แสวงหาผลประโยชน์สูงสุดจากมันไม่ดีกว่าหรือ
เท่ากับว่าจ้าวอ๋องไม่สามารถหาหลักฐานได้ มิฉะนั้นคนที่โดนคลุมกระสอบก็คงจะเป็นนางแล้ว
ทั้งสองเดินไปด้วยคุยไปด้วย ไม่นานก็ถึงจวนองค์หญิงอี๋เล่อ ยังไม่ทันแต่งราชบุตรเขยก็มีจวนองค์หญิงแล้ว เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาทโปรดปรานเป็นอย่างมาก
ฉินหลิวซีเคาะประตู พอคนเฝ้าประตูมาเปิดประตูก็จ้องมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า พลางถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หยิ่งยโส “ท่านเป็นคนของตระกูลไหนกัน มีเทียบเชิญหรือไม่”
“ไปแจ้งองค์หญิงของเจ้าว่าข้ามารับลูกศิษย์ของข้า ให้นางนำคนออกมาส่งด้วยตนเอง โดยใช้ประตูใหญ่” ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
คนเฝ้าประตูชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งสันหลัง โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นของนาง ทั้งๆ ริมฝีปากของนางกำลังฉีกยิ้ม ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับน่าขนลุกอย่างบอกไม่ถูก
คนเฝ้าประตูกลืนน้ำลายลงคอ “ท่านเป็นใคร เหตุใดถึงต้องให้องค์หญิงมาส่งคนด้วยตนเอง แถมยังต้องใช้ประตูใหญ่อีกด้วย กล้าดีเกินไปแล้ว”
ฉินหลิวซียังคงยิ้มเช่นเดิม “ข้ากล้าดีเช่นนี้แหละ ข้าไม่ได้กำลังปรึกษาหารือกับเจ้า แต่กำลังบอกเจ้าต่างหาก ภายในหนึ่งเค่อ หากข้าไม่เห็นเหล่าลูกศิษย์ของข้า องค์หญิงของเจ้าจะต้องคลานเข่าออกมาต้อนรับข้าแทน!”
คนเฝ้าประตู “…”
คนบ้าที่ไหนกัน สติฟั่นเฟือนแล้วกระมัง!
เขากำลังจะบ่นว่าดวงซวยจริงๆ พร้อมกับจะปิดประตู ทว่ามือของเขากลับเปิดประตูออกโดยที่ไม่ให้ความร่วมมือกับเขาสักนิด ปากก็พูดขึ้นโดยที่ไม่สามารถควบคุมได้ “ขอรับ บ่าวจะไปแจ้งประเดี๋ยวนี้เลย!”
หลังจากที่คนเฝ้าประตูหมุนตัวเข้าไปเพียงไม่นาน ก็มีเสียงกรีดร้องที่แหลมคมดังลั่นมาจากด้านใน อ้ากกก ช่วยด้วย ข้าโดนผีสิง!
[1] จวิ้นหม่า สวามีของจวิ้นจู่