คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1086 เก็บข้าวของแล้วกลับ?
ตอนที่ 1086 เก็บข้าวของแล้วกลับ?
หลังจากรับเถิงเจากลับมาแล้ว เฟิงซิวก็ออกไปสืบเรื่องเผ่าปีศาจอีกครั้ง ฉินหลิวซีให้เถิงเจาเก็บข้าวของ ส่งกลับไปที่อารามชิงผิง
เถิงเจาและคนอื่นๆ ต่างก็พากันอึ้ง ทำตัวไม่ถูกกันหมด
เป็นเพราะพวกเขาก่อเรื่อง สร้างปัญหาใหญ่ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องกลับอย่างนั้นหรือ
เฮยซาหักข้อนิ้วมือพลางดีดตัวลุกขึ้น “เป็นเพราะข้าเอง หากข้าไม่ลงมือก่อน ทุกคนคงไม่ตกอยู่ในมือขององค์หญิงน่าเกลียดนั่น”
“ใช่ๆ ท่านอย่าโมโหไปเลย หากไม่ใช่เพราะพวกข้าจำคำกำชับของเจ้าจิ้งจอก อาศัยความสามารถของตนเองเที่ยวใช้อำนาจบาตรใหญ่ในใต้หล้า องค์หญิงนั่นไม่มีทางจับพวกเราได้อยู่แล้ว!” โสมน้อยเองก็เอ่ยขึ้น
ไม่ใช่ว่าโสมน้อยจะจองหองพองขนคิดว่าตนเองเก่งกาจ แม้ว่าเขาจะไม่เอาไหนที่สุดในสามคน แต่เขาเป็นภูตปีศาจพันปีที่สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ ฝึกฝนบำเพ็ญตบะอยู่ที่ไหน ร่างโสมของเขาสามารถทำให้คนตายกลับมามีชีวิตได้ กระดูกที่ขาวโพลนสามารถมีเนื้อหนังขึ้นมาอีกครั้ง ปราณวิญญาณของเขานั้นล้ำค่าเสียยิ่งกว่าล้ำค่า แม้ว่าจะไม่มีอาคมใดๆ ทว่าการฝึกฝนบำเพ็ญตนของเขานั้นดีเยี่ยมเป็นอย่างมาก มิเช่นนั้นเขาคงจะถูกเหล่าปีศาจและวิญญาณชั่วร้ายฆ่าตายกลายเป็นเถ้าถ่านไปตั้งนานแล้ว
ส่วนเฮยซากลายร่างมาจากภูตภูเขา ตอนนั้นเขาคือผู้ปกครองแห่งทะเลทรายดำ พลังอาคมแกร่งกล้าเป็นอย่างมาก เพียงแต่โชคไม่ดี ตกมาอยู่ในมือของฉินหลิวซี…เอ่อ คำพูดประโยคนี้ไม่พูดออกมาจะเป็นการดีกว่า!
ยังมีเถิงเจา เขาเป็นมนุษย์ธรรมดา แต่เป็นเลิศในหมู่นักพรตวัยเดียวกัน สิ่งที่เขาขาดแคลนคือเวลา เขามีความมุมานะและความขยันหมั่นเพียรพอ ทั้งยังมีพรสวรรค์อีกด้วย ดังนั้นเขาจึงเข้าถึงเต๋าได้อย่างราบรื่น สามารถเขียนยันต์ห้าสายฟ้าได้ตั้งแต่ตอนที่อายุยังไม่ถึงสิบขวบ ใต้หล้านี้นอกจากอาจารย์ของเขาแล้วยังมีใครมีพรสวรรค์เช่นนี้อีก
สามารถใช้รัศมีเพียงเล็กน้อยเขียนเป็นยันต์ ต้องเป็นผู้มีพรสวรรค์เท่านั้นที่ทำได้ ผู้มีพรสวรรค์ก็จะสามารถเป็นนักพรตได้อย่างง่ายดาย เถิงเจาถือเป็นหนึ่งในนั้น
ในบรรดาสำนักต่างๆ ในใต้หล้านี้ พวกเขาทั้งสามคนอาจไม่ได้แข็งแกร่งเท่าผู้อื่น แต่หากพวกเขาอาศัยความสามารถของตนเองไปต่อสู้ปุถุชนคนธรรมดาทั่วไป คนที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงมีน้อยจนสามารถนับได้
เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นเฟิงซิวหรือฉินหลิวซีก็ล้วนเคยพูดว่า คนฝึกฝนบำเพ็ญตบะ หากไม่จำเป็นจริงๆ อย่าใช้อาคมกับคนธรรมดาอย่างเด็ดขาด หลีกเลี่ยงการเกิดเหตุต้นผลกรรม รวมไปถึงหลีกเลี่ยงการดึงดูดซึ่งความโลภและความหวาดกลัว หรือแม้กระทั่งการพุ่งเป้า
ภูผาที่ว่าสูงยังมีที่สูงกว่า ในโลกธรรมนี้ยังมีนักพรตเก่งกาจที่ไม่เปิดเผยตัวตนอีกมากมาย หากพวกเขาอาศัยความสามารถตนเองไปสร้างเรื่องสร้างราว จะต้องถูกรุมประชาทัณฑ์อย่างแน่นอน
เดินอยู่ในโลกมนุษย์จะต้องเคารพและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ต่างๆ หากทำทุกอย่างตามอำเภอใจตนเอง ใช้วิชาอาคมกับคนธรรมดา เวลาผ่านไปนานวันเข้าก็จะหลงทางจากธรรมแห่งเต๋าไป
ดังนั้นพวกเขาจึงจดจำคำสอนนี้ไว้ในใจ ไม่เพียงแต่จะเป็นการยับยั้งตนเองเท่านั้น ทว่ายังช่วยปกป้องตนเองอีกด้วย
ใช่ว่าพวกเขาจะไม่สามารถต้านทานได้ แต่พวกเขาไม่อยากโจมตีด้วยการใช้สิ่งที่คนธรรมดามองไม่เห็นและสู้ไม่ได้
มิเช่นนั้นน่ะหรือ จะเป็นเพราะเขาไม่สามารถก่อเรื่อง หรือเป็นเพราะเฮยซาไม่สามารถโจมตีจวนเล็กๆ อย่างจวนองค์หญิงนี้น่ะหรือ
ก็แค่ต้องการจะหลีกเลี่ยงปัญหาใหญ่ที่จะตามมาเท่านั้น!
ทว่าตอนนี้ฉินหลิวซีกลับให้พวกเขาเก็บข้าวของกลับจึงรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก นางโกรธพวกเขาหรือ
เถิงเจาเอ่ย “ท่านอาจารย์ ข้าจะรีบไปเก็บข้าวของเดี๋ยวนี้ขอรับ”
เขาทำอาจารย์ผิดหวังแล้ว ต้องกลับไปทบทวนความผิดของตนเองให้ดี
ฉินหลิวซีเห็นท่าทีรู้สึกผิดและน้อยเนื้อต่ำใจของพวกเขาแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ย “พวกเจ้ากำลังคิดอะไรกันอยู่ ข้าไม่ได้โกรธเสียหน่อย เหตุใดถึงต้องไปยอมองค์หญิงนั่นด้วย นางคู่ควรให้ข้าโมโหด้วยหรือ มองแคบไปแล้ว!”
เจ้าโสมน้อยรีบพูดขึ้น “แล้วท่านยังส่งพวกข้ากลับไปอีก ไม่ใช่เพราะท่านโกรธหรอกหรือ เหตุใดถึงต้องให้พวกข้าหนีด้วย!”
ฉินหลิวซีกระตุกมุมปากเบาๆ จากนั้นก็เขกศีรษะเขาไปหนึ่งทีพลางเอ่ย “ข้าโกรธตรงไหน นอกจากมารเอ้อฝูซื่อหลัวแล้วยังมีผู้ใดที่ทำให้ข้าโกรธได้อีก คนที่ทำข้าโกรธ สามารถมีชีวิตอยู่รอดพ้นคืนด้วยหรือ”
เจ้าโสมน้อยได้ยินแล้วก็สำลักทันที คนผู้นี้คือบรรพบุรุษที่ล่วงเกินไม่ได้เลย มีแค้นก็จะชำระทันที หากทำให้นางโกรธ แน่นอนว่าแม้จะเป็นคนธรรมดานางก็ไม่หวั่นไหว เข้าไปต่อสู้ทันที ระบายความโกรธออกมาให้หมด!
“ที่ให้พวกเจ้ากลับไป เพราะนักพรตชราได้รับบาดเจ็บ อารามมีเรื่องมากมายต้องทำ เจาเจาในฐานะรองเจ้าอาวาส จะต้องกลับไปดูแลสถานการณ์ ชิงหย่วนก็จะได้มีเวลาจัดการกับงานทั่วไปของอารามมากขึ้น” ฉินหลิวซีพูดขึ้น “ข้าสั่งให้เฉินผีปิดร้านเฟยฉางเต๋าแล้ว เขาเองก็จะกลับไปช่วยงานที่อารามชิงผิงเหมือนกัน”
เถิงเจาจับใจความขึ้นมาได้จึงถามขึ้นว่า “เหตุใดนักพรตชราถึงบาดเจ็บได้”
ฉินหลิวซีจึงเล่าต้นสายปลายเหตุคร่าวๆ ให้เขาฟัง ทุกคนได้ยินแล้ว สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที พลางกำหมัดแน่นจนได้ยินเสียงกระดูกเสียดสีกัน
เหิมเกริมเกินไปแล้ว เพียงเพราะต้องการยาฟื้นคืนชีพ ถึงขั้นลงไม้ลงมือจนได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ ยังมีกฎบ้านกฎเมืองอยู่หรือไม่ นักพรตผู้เฒ่าเป็นคนที่พวกเขาสามารถเหยียบย่ำได้อย่างนั้นหรือ
ฉินหลิวซีเอ่ยต่อไปว่า “ข้ายังมีเรื่องมากมายต้องทำ ตอนนี้เจ้าเองก็ได้เรียนรู้ทุกสิ่งอย่างแล้ว ดังนั้นเจ้ากลับไปดูแลจัดการอาราม เจ้าโสมน้อยเจ้าเองก็คอยช่วยเหลือเขา ส่วนเฮยซา เจ้ากลับไปที่ทะเลทรายดำ”
เฮยซานึกไม่ถึงว่าตนจะได้รับคำสั่งด้วย เขาเอ่ยขึ้นด้วยความน้อยใจ “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากกลับไป แต่ข้าเข้าไปไม่ได้ต่างหาก”
“เจ้าคอยเฝ้าดูอยู่รอบนอก บำเพ็ญตบะพร้อมกับจับตาดูสถานการณ์ของม่านอาคมไปด้วย หากที่นั่นมีความเคลื่อนไหว รีบส่งข่าวให้ข้าทันที” ฉินหลิวซียื่นยันต์ส่งสารให้เขาจำนวนหนึ่ง พลางพูดต่อไปว่า “เก็บยันต์เหล่านี้ติดตัวไว้ หากเจ้ารู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล รีบส่งข่าวทันที”
เฮยซารับยันต์มา นำไปเก็บไว้อย่างดี
ฉินหลิวซีจึงค่อยให้พวกเขาแยกย้ายไปเก็บข้าวของสัมภาระ
เถิงเจาเก็บข้าวของด้วยความห่อเหี่ยว เพียงครู่เดียวก็นั่งเหม่อลอยอยู่ในห้อง
ก๊อกๆ
พอหันไปดู เขาก็รีบดีดตัวลุกขึ้น ทำความเคารพฉินหลิวซี “ท่านอาจารย์”
“เมื่อครู่นี้สีหน้าเจ้าออกจะหม่นหมอง เป็นอะไรไปหรือ โกรธที่ข้าให้พวกเจ้าเก็บข้าวของกลับไปหรืออย่างไรกัน” ฉินหลิวซีเดินเข้ามาพลางถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม
เถิงเจายกกาน้ำชาขึ้นมารินน้ำ หลังจากที่สัมผัสอุณหภูมิแล้ว จึงค่อยยื่นถ้วยชาให้ฉินหลิวซีพลางส่ายหน้าเบาๆ “ไม่ใช่ขอรับ ศิษย์ออกมาข้างนอกก็นานแล้ว ภัยหนาวก็ยังไม่ผ่านพ้นไป ในอารามคงจะยุ่งไม่น้อย ท่านอาจารย์ลุงชิงหย่วนคงจะนับวันรอคอยพวกข้ากลับไป นี่เป็นหน้าที่ที่ศิษย์ควรจะแบกรับ ศิษย์เข้าใจดี”
ฉินหลิวซีพยักหน้าเบาๆ พลางเอ่ย “หากใต้หล้าสงบลง ไม่มีภัยคุกคามเช่นมารเอ้อฝูซื่อหลัว ข้ายินดีที่จะให้เจ้าออกเดินทางท่องยุทธภพ ได้มองเห็นความไม่สงบของใต้หล้านี้ ได้ประสบพบเจอทุกสิ่งอย่าง ยิ่งได้มองเห็นมากเท่าไหร่ สภาวะจิตใจก็จะยิ่งอยู่ยิ่งโปร่งใสและเปิดกว้างมากขึ้นเท่านั้น”
เถิงเจารู้สึกใบหน้าร้อนวูบวาบขึ้นมา เอ่ยขึ้น “ศิษย์ไม่เก่งเหมือนท่านอาจารย์”
“เจ้าเพียงแค่ขาดประสบการณ์ รอให้เรื่องราวสงบลงแล้ว เจ้าก็สามารถออกไปท่องยุทธภพ จะได้มองเห็นใต้หล้านี้มากขึ้น การฝึกฝนบำเพ็ญตน ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องอยู่ที่เดียว” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อ “เพียงแต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ หายนะกำลังจะเกิดขึ้น ยังมีเรื่องมากมายที่เราต้องทำ อารามชิงผิงเป็นรากฐานของเรา ในขณะที่ข้าไม่อยู่ เจ้าในฐานะผู้สืบทอดคนต่อไปจะต้องอยู่เฝ้าที่นั่น เพราะยังมีราษฎรและผู้ศรัทธาอีกมากมายใช้ที่แห่งนี้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ”
“ขอรับ”
“แล้วเจ้ามีเรื่องอะไรที่คิดไม่ตกหรือ”
เถิงเจาเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ย “ท่านอาจารย์ เราฝึกฝนบำเพ็ญตบะเรียนวิชาแพทย์ ช่วยผู้คนที่ประสบพบเจอกับความโชคร้าย ช่วยเหลือผู้คนมากมาย เหตุใดถึงยังมีคนบางคนเห็นแก่ตัวทำเพื่อตนเอง ยอมสมรู้ร่วมคิดกับคนชั่วอย่างไม่ลังเล พวกเรามีเจตนาที่ดี ไปช่วยเหลือพวกเขา ทว่าพวกเขากลับใส่ร้ายและข่มขู่พวกเราเพียงเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ตอนที่อยู่ในจวนองค์หญิงข้าเองก็เคยคิด การกระทำที่เมตตาของพวกเรา ไม่มีคุณค่าพอหรืออย่างไรกัน คนเหล่านี้สมควรได้รับมันหรือ”