คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1087 ผู้ใดห้ามไม่ให้คนออกบวชมีชีวิตจิตใจกัน?
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 1087 ผู้ใดห้ามไม่ให้คนออกบวชมีชีวิตจิตใจกัน?
ตอนที่ 1087 ผู้ใดห้ามไม่ให้คนออกบวชมีชีวิตจิตใจกัน?
ฟังคำถามที่เจือปนไปด้วยน้ำเสียงอันหดหู่ของเถิงเจาแล้ว ฉินหลิวซีก็รับรู้ได้ในทันที เด็กคนนี้ถูกทำให้ผิดหวังเสียใจไปเสียแล้ว
ก็จริง การที่เขาช่วยรักษาการกุศลให้ผู้ลี้ภัยในค่ายลี้ มันมาจากจิตแห่งเต๋า มาจากความเมตตา ในขณะที่เขากำลังทำความดี นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ ผู้ลี้ภัยที่เขาเคยช่วยและได้รับพระคุณจากเขาจะแทงข้างหลังเขา
เพื่อประโยชน์อันเล็กน้อย กลับลืมบุญคุณจนหมดสิ้น
เด็กหนุ่มไม่รู้แล้วว่าความดีของเขายังมีประโยชน์อะไรอีก หากท้ายที่สุดแล้วคนที่เขาเคยช่วยไว้จะกลับมาแทงข้างหลังเขา แล้วเหตุใดเขาถึงยังต้องทุ่มกายใจไปช่วยคนเหล่านี้อีก
เมื่อเห็นแก้มป่องของเด็กหนุ่มแล้ว ฉินหลิวซีก็อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือปีศาจไปหยิกแก้มของเขาพลางเอ่ย “คิดอะไรไปเรื่อย เจ้าลืมคำพูดประโยคนี้แล้วหรือ ‘จงทำความดี โดยที่ไม่ถามถึงอนาคต’”
เถิงเจาผลักมือของนางออก ใบหน้าบูดบึ้ง
เขาโตเป็นหนุ่มแล้ว หยุดหยิกแก้มของเขาได้หรือไม่ เขาไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว
ฉินหลิวซีกระแอมเสียงในลำคอเบาๆ พลางเอ่ยต่อไปว่า “เราทำความดี เพื่อสั่งสมบุญกุศล เพื่อฝึกฝนบำเพ็ญตนให้บรรลุธรรม เจ้าถามข้าว่าคุ้มค่าหรือไม่ เจ้าควรจะนึกถึงคนที่เจ้าเคยช่วยเหลือ ว่าสีหน้าเขาเป็นอย่างไร เมื่อเห็นสีหน้านั้นแล้ว จิตใจของเจ้ารู้สึกอย่างไร”
เถิงเจาหรี่ตาลงต่ำ ผู้คนส่วนใหญ่ที่ได้รับการช่วยเหลือ ล้วนแล้วแต่รู้สึกขอบคุณเขาทั้งสิ้น บางคนสาหัสหน่อย ถึงขั้นฉุดกลับมาจากประตูนรก รอดพ้นจากชีวิตหลังความตาย สีหน้าโล่งใจประหนึ่งได้เกิดใหม่อีกครั้งก็ไม่ปาน
ทุกครั้งที่ได้เห็นสีหน้าเหล่านี้ เขาก็มักจะรู้สึกอิ่มเอมใจและโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อเห็นว่าเขาดูเหมือนจะเข้าใจแล้ว ฉินหลิวซีจึงเอ่ยขึ้นว่า “เจาเจา เราช่วยเหลือผู้คน อันที่จริงก็เป็นการช่วยเหลือตนเองเช่นกัน แม้ว่าจะไม่คุ้มค่ากับคนบางประเภท แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ใช่ทั้งหมดมิใช่หรือ”
“คนบางคนเนรคุณ นั่นก็เกิดจากความเห็นแก่ตัวของมนุษย์เอง ดังคำกล่าวที่ว่าข้าวชนิดเดียวสามารถเลี้ยงคนได้ทุกประเภท เจ้าไม่สามารถคาดหวังให้ทุกคนในใต้หล้านี้เป็นคนดีทั้งหมด รู้บุญคุณคนเสียทุกคน ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว จิตใจของมนุษย์ก็เช่นกัน ซับซ้อนเป็นอย่างมาก เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ยืนอยู่ต่อหน้าเจ้าอาจจะรู้สึกขอบคุณเจ้า ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ใครจะไปรู้ว่ามือที่อยู่ข้างหลังเขาจะถือมีดอยู่หรือไม่ มีดที่พร้อมจะแทงเจ้าได้ทุกเมื่อ”
ฉินหลิวซีเอ่ยต่อไปว่า “ทุกคนมีสองด้านเสมอ มีทั้งด้านดีและด้านชั่ว ดังพุทธดำรัสที่กล่าวไว้ว่า ความคิดหนึ่งคือสวรรค์ ความคิดหนึ่งคือนรก เลือกที่จะใช้ด้านไหน ก็ล้วนเป็นธรรมชาติของมนุษย์ทั้งสิ้น หากเจ้ารู้สึกว่าคนที่เจ้าเคยช่วยเหลือแทงข้างหลัง นั่นเป็นเพราะคนเหล่านี้เลือกผลประโยชน์ กระทำความชั่วเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน แต่นั่นก็เป็นแค่คนส่วนน้อย มิใช่หรือ”
เถิงเจาเม้มปาก พลางพยักหน้าเบาๆ
“เจ้าคิดว่า การที่เจ้าปิดกั้นการทำความดีเพียงเพราะคนส่วนน้อยเหล่านี้ คุ้มค่าแล้วหรือ เพื่อคนชั่วเหล่านี้ สมควรแล้วหรือ” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อ “อาจารย์ไม่ได้จะให้เจ้าเมตตาจนถึงที่สุด ความเมตตาก็ต้องมีเส้นตายและขอบเขตเหมือนกัน คนเหล่านั้นแทงข้างหลังเจ้าเพื่อผลประโยชน์ พอเจ้าไม่ยอม ก็หันมาใช้คุณธรรมมัดมือมัดเท้าเจ้า หากเจ้าประนีประนอมก็เท่ากับว่าเจ้าสูญเสียขอบเขตของตนเองไป คนบางคนอาจเป็นคน แต่ไม่คู่ควรที่จะเป็น เผชิญหน้ากับคนเช่นนี้ เจ้าไม่จำเป็นต้องเหลียวแลเสียด้วยซ้ำ”
“แม้ว่าองค์หญิงอี๋เล่อจะโกรธจนเข่นฆ่าคนเหล่านั้น ข้าก็ต้องเพิกเฉยต่อไปอย่างนั้นหรือ”
ฉินหลิวซีเอ่ย “ทำไมจะไม่ได้ พวกเขาทำเรื่องเช่นนี้เพื่อผลประโยชน์ ก็ควรจะนึกถึงราคาของมัน นี่คือกรรมที่พวกเขาก่อขึ้นเอง ผลกรรมเป็นเช่นไร พวกเขาก็ควรชดใช้เอง นอกจากนี้เจ้าคิดว่าองค์หญิงอี๋เล่อจะเข่นฆ่าพวกเขาในที่สาธารณะเพื่อบังคับเจ้าจริงๆ หรือ นางก็แค่ใช้ประโยชน์จากความเมตตาและความใจอ่อนของเจ้าเท่านั้นเอง”
เถิงเจาชะงักไปชั่วขณะ
“ผู้ลี้ภัยคนนั้น ได้ยินมาว่าอยู่ภายใต้การดูแลขององค์รัชทายาท องค์หญิงอี๋เล่อเป็นพี่น้องมารดาเดียวกันกับเขา นางจะเข่นฆ่าผู้คนในสถานที่เช่นนี้ได้อย่างไรกัน นางไม่กลัวว่าพี่ชายองค์รัชทายาทของนางจะได้ชื่อว่าไร้ซึ่งความเมตตา นำมาซึ่งการสูญเสียความไว้วางใจจากฝ่ายตรวจการของฮ่องเต้หรือ”
ใบหน้าของเถิงเจาร้อนผ่าว เอ่ย “ข้าไม่ได้นึกถึงจุดนี้ รู้เพียงแต่ว่านางเป็นองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ที่ชอบวางอำนาจบาตรใหญ่ คนเช่นนางจะเข่นฆ่าชีวิตผู้คนก็แค่พยัก ขยับปากพูดเพียงไม่กี่คำเท่านั้น”
“ก็เป็นอย่างที่เจ้าว่าจริงๆ แต่ก็ต้องแยกแยะสถานการณ์ แม้ว่ายศถาบรรดาศักดิ์ของนางจะสูงส่ง มีที่พึ่งพิงที่มั่นคง แต่องค์รัชทายาทพี่ชายของนาง ก็เป็นเพียงรัชทายาทเท่านั้น หากเขายังมีความฉลาดเพียงเล็กน้อย ก็ไม่มีทางทำเรื่องร้ายแรงก่อนที่บัลลังก์จะถึงมืออย่างแน่นอน หากนางกล้าเข่นฆ่าผู้ลี้ภัยเหล่านั้นต่อหน้าผู้คนมากมายจริงๆ ขุนนางในราชสำนักไม่ได้โง่เขลา เหล่าบรรดาองค์ชายที่แย่งชิงบัลลังก์ก็จะยึดจุดนี้และขยายความอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นางเพียงแค่รังแกคนออกบวชเช่นเจ้า รังแกจิตใจที่เมตตาของเด็กหนุ่มเช่นเจ้าก็เท่านั้น”
เมื่อเห็นว่าเถิงเจาขมวดคิ้วแน่น ฉินหลิวซีก็หลุดหัวเราะออกมา เอ่ย “เรื่องตำแหน่งและอำนาจบารมีไม่พูดก็ย่อมได้ เจาเจา เจ้าแค่ต้องจำไว้ว่าการทำความดีนั้น ไม่ได้ทำไปเพื่อผู้ใด แต่ทำเพื่อให้จิตใจตนเองสงบ บางความดีเจ้าสามารถทำได้ แต่บางความดีก็ไม่คู่ควร ที่ไม่คู่ควรก็คือคนที่ชี้หน้าด่าคนออกบวชเช่นเจ้า เจ้ามีสิทธิ์ที่จะเพิกเฉยไม่สนใจ เพราะเหตุใดน่ะหรือ เพราะเจ้าเป็นคนออกบวชที่มีชีวิตจิตใจ และก็มีปัญญาที่จะโวยวายใส่อารมณ์อย่างไรเล่า!”
นางชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยด้วยคำพูดที่แฝงไปด้วยความหมายอันลึกซึ้ง “แน่นอนว่าเงื่อนไขเบื้องต้นก็คือเจ้าต้องหัวหมอและเก่งกาจ ขอเพียงแค่เจ้าหัวหมอให้มาก ถึงแม้ผู้อื่นจะด่าทอ ก็จะกล้าด่าแค่ในใจ สุดท้ายก็ต้องคุกเข่าร้องขอเจ้าอยู่ดี”
เถิงเจาจ้องมองนางด้วยเวลาตาที่ลุ่มลึก เอ่ย “ท่านจงใจจะให้ข้ามุมานะและต่อสู้เพื่อความยิ่งใหญ่เกรียงไกรใช่หรือไม่”
แกงไก่พิษที่ใช้ในการเคี่ยวเข็ญลูกไก่น้อย ไม่ได้ใช้เนื้อไก่เป็นหลัก หากแต่เป็นการวางมาด?
แค่กๆ
ฉินหลิวซีใช้เสียงไอบดบังความเก้อเขิน พลางหันไปมองอีกสองคนที่อยู่นอกประตู “พวกเจ้าเองก็ได้ยินแล้ว เข้าใจแล้วหรือไม่”
เจ้าโสมน้อยและเฮยซาที่แอบฟังอยู่ค่อยๆ เดินออกมาอย่างช้าๆ พลางถูมือไปมาเบาๆ “พวกข้าเข้าใจแล้วขอรับ”
“ในเมื่อเข้าใจกันหมดแล้ว เช่นนั้นก็มาสรุปคำสอนเมื่อครู่นี้เสียหน่อย แก่นแท้คืออะไรรู้หรือไม่”
ทั้งสามหันมาสบตากันครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลองตอบไปว่า “จงทำความดี โดยที่ไม่ถามถึงอนาคต”
“นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่ง” ฉินหลิวซีขยับนิ้วชี้ไปมาเบาๆ พลางเอ่ย “อันที่จริงง่ายมาก ผู้ใดทำให้ข้าไม่พอใจก็ไสหัวกลับไปเสีย คนที่ข้าไม่อยากช่วยก็จะไม่ช่วย คนที่ไม่สมควรได้รับความช่วยเหลือก็จะไม่ช่วยเช่นกัน เป็นคนออกบวชแล้วอย่างไรเล่า ผู้ใดไม่ให้คนออกบวชมีชีวิตจิตใจกัน?”
ทั้งสามคน “…”
ฟังดูออกจะเหมือนโจร แต่ก็รู้สึกชอบมากๆ!
พวกข้าเข้าใจแล้ว
ขอเพียงข้าไร้คุณธรรม คุณธรรมก็ไม่สามารถมัดมือมัดเท้าข้าใช่หรือไม่!
ฉินหลิวซีรู้สึกคอแห้ง จึงจิบชาไปหนึ่งคำแล้วจึงเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็แยกย้ายกันเดินทางได้แล้ว เฮยซา เจ้าออกเดินทางคนเดียว จำสิ่งที่ข้ากำชับให้ดี สังเกตความเคลื่อนไหวของม่านอาคม แล้วก็ระวังตัวด้วย”
เฮยซาพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ใช้อาคมออกเดินทางด้วยตนเอง
ฉินหลิวซีแหวกเส้นทางหยิน ส่งเถิงเจาและคนอื่นๆ เข้าไปข้างใน ก่อนที่จะออกเดินทางเถิงเจาก็ได้ถามนางว่าเหตุใดองค์หญิงอี๋เล่อถึงเชื่อฟังขนาดนี้ ฉินหลิวซีทำอะไรกับนาง
ฉินหลิวซีแสยะยิ้ม “ข้าก็แค่ใช้อาคมปากไม่ตรงกับใจเท่านั้นเอง!”
อย่าถามว่าใช้อาคมอย่างไร หากจะถามก็ตอบได้คำเดียวว่านางเก่งกาจ!
เมื่อส่งทุกคนเรียบร้อยแล้ว นางจึงค่อยถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เลี้ยงเด็กๆ นี่เหนื่อยจริงๆ!
ทว่าทุกอย่างสงบได้ไม่ถึงหนึ่งเค่อ ขณะที่นางเตรียมจะไปเยี่ยมเยียนอารามจินหัว จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังขึ้น
หนังตาของฉินหลิวซีกระตุกสองสามครั้ง นางไม่อยากจะหาเรื่องเหนื่อยอีก หากแต่ตั้งใจแก้ผังค่ายอาคมต่อ!
นางยืนอยู่ที่ระเบียงหน้าเรือน มองดูสุนัขกุ้ยปินที่เอาแต่ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุดถูกพาเข้ามาข้างใน มุมปากนางกระตุกเบาๆ นี่พ่อตายหรือฟ้าถล่มทลายกัน?
“ฮือๆๆ ท่านเจ้าอาวาส ท่านช่วยพี่หญิงใหญ่ของข้าด้วย!” มู่ซีวิ่งพุ่งเข้าไปนางหาประหนึ่งพายุก็ไม่ปาน เขาโผเข้าหานางพร้อมคุกเข่าลงกับพื้น กอดขานางพร้อมกับร้องไห้โฮ