คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1088 ลมแห่งกบฏพัดไปยังบ้านตระกูลมู่
ตอนที่ 1088 ลมแห่งกบฏพัดไปยังบ้านตระกูลมู่
………………..
ฉินหลิวซีปวดหัวเป็นอย่างมาก มองดูมู่ซีร้องไห้ราวหนึ่งเค่อเห็นจะได้ เส้นเลือดที่ขมับของนางเต้นตุบตับไม่เป็นจังหวะ พอจะจับใจความเรื่องที่จะร้องขอจากเสียงร้องไห้ของเขาได้เล็กน้อย
“มนุษย์คนเรา ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องตายทั้งสิ้น เจ้าเองก็อย่าฝืนจนเกินไป!”
เสียงร้องไห้ของมู่ซีชะงักไปชั่วขณะ พร้อมกับสะอึกไปหนึ่งครั้ง เขาหันขวับไปมองฉินหลิวซี “ท่านเปลี่ยนไปแล้ว”
ท่านพูดคำพูดที่เย็นชาเช่นนี้ออกมาได้อย่างไรกัน
ฉินหลิวซีเลิกคิ้วขึ้นสูง “ไม่ร้องแล้วหรือ”
มู่ซี ร้อง ก็ยังอยากร้องอยู่หรอก แต่พี่หญิงใหญ่ของข้าใกล้ตายแล้ว ให้ข้าร้องหน่อยไม่ได้หรืออย่างไรกัน
แต่พอเห็นสีหน้าท่าทีที่เย็นชาของฉินหลิวซีแล้ว เขาก็ไม่กล้าร้องไห้ต่อ
ฝืด
เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาสั่งน้ำมูก จากนั้นก็ซับน้ำตา แล้วจึงเก็บผ้าเช็ดเข้าไปในแขนเสื้อ พลางจ้องมองฉินหลิวซีด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
ฉินหลิวซี “…”
เป็นถึงซื่อจื่อ ถือว่าเจ้ามีชีวิตที่รันทดไม่น้อย
“นักต้มตุ๋นน้อย ไม่สิ ท่านเจ้าอาวาส ท่านช่วยพี่หญิงใหญ่ข้าหน่อยได้หรือไม่” มู่ซีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่น่าสงสาร “พี่หญิงใหญ่ของข้าอาการหนักมากจริงๆ”
ฉินหลิวซีเอ่ย “หมอหลวงในวังยังรักษาไม่ได้ แล้วข้า…”
“พวกเขาควรค่าที่จะได้รับการเปรียบเทียบกับท่านด้วยหรือ การแพทย์ของท่านเป็นหนึ่งในปฐพี ไม่มีผู้ใดเทียบเทียมท่านได้ นอกจากท่านแล้ว ข้าไม่ยอมรับผู้ใดทั้งสิ้น!” มู่ซีพูดตัดบทสนทนาของนาง “หมอหลวงหมดปัญญาที่จะรักษาแล้ว นั่นเป็นเพราะฝีมือการแพทย์ของพวกเขาไม่เก่งกาจพอ จึงตรวจไม่พบว่าพี่หญิงใหญ่ของข้าป่วยเป็นโรคอะไร!”
ฉินหลิวซีส่ายหน้าเบาๆ “หมอหลวงปรนนิบัติดูแลด้วยความระมัดระวัง ถือว่ามีความดีความชอบไม่น้อย ทุกคนมีทักษะเฉพาะตัว เจ้าไม่จำเป็นต้องไปเหยียบย่ำพวกเขาเพื่อมาเอาใจข้า มันไม่ยุติธรรมกับพวกเขา เพราะอย่างไรเสียตระกูลขุนนางอย่างพวกเจ้า ก็ยังต้องพึ่งหมอหลวงมารักษาอาการป่วยในชีวิตประจำวันอยู่ดี”
มู่ซีเม้มปากพลางบ่นพึมพำ “ข้าพูดความจริง ไม่ได้หมายความว่าฝีมือของพวกเขาแย่ แต่ยังไม่เก่งกาจพอ ดังนั้นอาการของพี่หญิงใหญ่ข้าจึงไม่ดีขึ้นเลย ยิ่งอยู่อาการก็ยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ วันนี้ยิ่งแล้วใหญ่ ตอนที่ข้าไปเยี่ยมนาง นางอาเจียนเลือดออกมาต่อหน้าต่อตาข้า เลือดที่นางอาเจียนออกมานั้น ดำเสียไม่มี ทั้งเหนียวและข้น พวกเขาเอาแต่บอกว่าพี่หญิงใหญ่ของข้าถูกลมปราณก่อโรคเข้าสู่ร่างกายตอนฤดูใบไม้ร่วง ยังไม่หายดี แต่ข้าดูแล้ว พี่หญิงใหญ่เหมือนโดนยาพิษมากกว่า!”
ฉินหลิวซี “มีหลักฐานอะไร”
“เลือดที่นางอาเจียนออกมาอย่างไรเล่า คนทั่วไปจะอาเจียนเลือดเป็นสีแดง แต่เลือดที่นางอาเจียนออกมานั้นเป็นสีดำ ทั้งเหนียวและข้น กลิ่นคาวเป็นอย่างมาก ราวกับกลิ่นปลาตายก็ไม่ปาน เป็นแค่ไข้หนาวร่างกายอ่อนแอ จะอาเจียนเลือดเช่นนี้หรือ” มู่ซีขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าซีดเผือด
ฉินหลิวซีหรี่ตาลงต่ำพลางถามขึ้นว่า “นางป่วยมานานแค่ไหนแล้ว”
“นางป่วยเป็นไข้หนาวตั้งฤดูใบไม้ร่วง รักษาตัวตลอดเวลาที่ผ่านมา เดิมทีอาการของนางถือว่าดีขึ้นแล้ว ทว่าพอเข้าสู่ฤดูหนาว อาการป่วยของนางกลับแย่ลงเรื่อยๆ จวบจนตอนนี้ ก็ผ่านมาครึ่งปีแล้ว” มู่ซีเอ่ยต่อ “ข้ารู้ว่าท่านไม่อยากเข้าไปในวังหลวงสถานที่ที่น่ารังเกียจนั่น ข้าเองก็เชิญหมอที่มีชื่อเสียงจากข้างนอกมารักษาจำนวนไม่น้อย ทุกคนล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นเพราะลมปราณก่อโรคเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ลมปราณหยางไม่เพียงพอ กินยามาตั้งมากมาย แต่อาการกลับไม่ดีขึ้นเลย หากไม่ใช่เพราะจนปัญญาจริงๆ ข้าไม่กล้ามาหาท่านหรอก”
โจวไทเฮาคือเสาหลักและความมั่นคงของบ้านตระกูลโจว ในขณะเดียวกัน ฮองเฮามู่ก็เป็นความมั่งคั่งของบ้านตระกูลมู่เช่นกัน แม้ว่านางจะไม่มีบุตรอยู่ภายใต้การดูแลของนางเลย แต่ขอเพียงแค่นางสามารถยืนหยัดได้หนึ่งวัน อนาคตภายภาคหน้าไม่ว่าจะเป็นผู้ใดขึ้นมารับตำแหน่ง นางก็ยังคงได้เป็นไทเฮาที่สูงส่งเฉกเช่นเดิม
แต่หากฮองเฮามู่ไม่อยู่แล้ว ตระกูลฝั่งมารดาของนางก็จะไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป
ฉินหลิวซีคาดการณ์ ฮองเฮามู่คงจะไปขวางทางใครเข้า
มู่ซีได้ฟังการคาดการณ์นี้แล้ว สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที “พวกข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน โดยเฉพาะหลังจากที่องค์รัชทายาทเข้ารับตำแหน่งแล้ว ตระกูลมู่ของพวกข้าก็…ฮึ!”
ฉินหลิวซีเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มพลางเอ่ย “มิน่าเล่า ความเย่อหยิ่งบนหน้าเจ้าถึงได้ดูลดน้อยลง นอกจากความซื่อบื้อที่มีเหมือนเช่นเคยแล้ว ดูมีความเคร่งเครียดเพิ่มมาเล็กน้อย พอรู้ว่าที่พึ่งพิงไม่ค่อยมั่นคงแล้วก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามแล้วรึ?”
มู่ซี “!”
พูดจาเป็นหรือเปล่า แม้ว่าจะเป็นความจริงก็ควรไว้หน้ากันบ้าง!
“ข้าก็แค่โตขึ้น แต่งงานแล้ว เปลี่ยนเป็นคนที่สุขุมขึ้นก็เท่านั้นเอง” มู่ซีพูดขึ้นด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ “ไม่ว่าใครจะรับตำแหน่งองค์รัชทายาท ข้าก็ยังคงมีศักดิ์เป็นเสด็จลุงตามหลักทำนองคลองธรรม!”
“ท่านแค่ตอบข้ามาว่าไปช่วยดูอาการนางให้หน่อยได้หรือไม่” มู่ซีอ้อนวอนนาง “พี่หญิงใหญ่ของข้าเป็นคนดีมาก ท่านเมตตาสักหน่อยเถิด”
ฉินหลิวซีเงียบงันอยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นจึงเอ่ย “ข้าเกรงว่าตระกูลมู่จะจ่ายค่ารักษาไม่ไหว”
มีหวังแล้ว!
ดวงตาของมู่ซีเป็นประกายขึ้นมาทันที ก่อนจะเอ่ย “ท่านต้องการเท่าไหร่”
ฉินหลิวซีไม่ได้ตอบคำถามของเขา เพียงแต่พูดขึ้นว่า “สิ่งที่ข้าต้องการไม่ใช่เงิน”
มู่ซีชะงักไปชั่วขณะ หากไม่ใช่เงิน เป็นทองอย่างนั้นหรือ
“หากมีผู้อื่นขึ้นมารับตำแหน่งองค์รัชทายาทแทน ตระกูลมู่ของพวกเจ้าจะให้การสนับสนุนได้หรือไม่” ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเบาสบาย
อะไรนะ เปลี่ยนตำแหน่งองค์รัชทายาท จะก่อกบฏหรืออย่างไรกัน
มู่ซีอึ้งไปหมด
กำลังล้อข้าเล่นอยู่ใช่หรือไม่?
ท่านเป็นถึงนักต้มตุ๋นชั้นยอด แต่คิดจะก่อกบฏต่อราชวงศ์?
ฉินหลิวซียิ้มอย่างไร้พิษภัย ใช่แล้ว เจ้าซื่อบื้อ เจ้าไม่ได้ฟังผิดไป ลมแห่งกบฏได้พัดมาที่บ้านตระกูลมู่แล้ว!
มู่ซีเอื้อมมือไปยกถ้วยน้ำชาด้วยความสั่นเทาพลางถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ระมัดระวัง “ท่าน ท่านไม่ได้เป็นไข้ใช่หรือไม่ องค์รัชทายาทไปขุดสุสานตระกูลท่านหรือ”
เขาขอคิดดูหน่อย ตระกูลฉินเป็นอย่างไรบ้างในเมืองเซิ่งจิง ก็ไม่เห็นเกิดเรื่องใหญ่อะไรนี่นา ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ร่ำรวยมั่งคั่งมากมาย แต่หากเปรียบเทียบแล้ว ถือว่าดีกว่าตระกูลขุนนางทั่วไปเป็นไหนๆ ทุกอย่างออกจะราบรื่น
ตระกูลฉินไม่ได้มีปัญหา แล้วองค์รัชทายาทไปทำให้เทพอสูรขุ่นเคืองได้อย่างไรกัน
องค์รัชทายาท ข้าเองก็อยากจะรู้ ว่าเหตุใดถึงได้มีนักต้มตุ๋นคิดจะทำร้ายข้า!
ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่เย็นชา “แม้ว่าจะไม่ใช่โดยตรง แต่ก็ไม่ใช่คนไกล คนของตระกูลฝั่งมารดาองค์รัชทายาทส่งกองกำลังทหารไปล้อมอารามชิงผิงของข้า และได้ทำร้ายนักพรตชราท่านหนึ่งจนได้รับบาดเจ็บสาหัส น้องหญิงขององค์รัชทายาท องค์หญิงอี๋เล่ออะไรนั่น จับตัวลูกศิษย์ของข้าไปเมื่อหลายวันก่อน เจ้าไม่รู้เรื่องนี้หรือ”
เขาล่วงเกินผู้อื่นอย่างสาหัสสากรรจ์!
อะไรนะ ไม่ใช่เจ้าตัวที่เป็นคนไปล่วงเกิน เขาก็ถือเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างนั้นหรือ
นี่ หนึ่งคนตรัสรู้ สุนัขระกาก็จะพลอยได้ขึ้นสวรรค์ไปด้วย ผู้ใดไม่เข้าใจหลักการนี้กัน ดูอย่างบ้านตระกูลโจว ก่อนที่องค์รัชทายาทจะได้ตำแหน่ง กล้าหยิ่งผยองเสียที่ไหน ทว่าองค์หญิงอี๋เล่อกลับกล้าใช้อำนาจบาตรใหญ่ขนาดนี้เชียว?
แถมยังใช้อิทธิพลอำนาจรังแกผู้อื่น?
ดังนั้น องค์รัชทายาทจะเป็นผู้บริสุทธิ์ไม่ได้แล้ว อืม…หากจะโทษก็โทษที่มีคนรั้งขาของเขามากเกินไป!
ใช่แล้ว จู่ๆ มู่ซีก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบถามขึ้นว่า “ตอนนี้องค์หญิงอี๋เล่อกำลังโวยวายจะออกบวชเป็นแม่ชีอยู่ในวังหลวง ฝีมือท่านหรือ”
ฉินหลิวซีขมวดคิ้ว “ไม่ใช่ฝีมือข้า ข้าเปล่า เจ้าอย่าพูดจาส่งเดช!”
เหอะๆ
ฝีมือท่านแน่นอน!
หลอกข้าไม่ได้หรอก!
มู่ซีแสร้งถามขึ้น “ท่านอยากจะดึงองค์รัชทายาทลงจากหลังม้า แล้วกำลังจะประคองใครขึ้นหลังม้าหรือ”
“นี่ไม่ใช่เรื่องที่คนซื่อบื้อเช่นเจ้าควรมาสนใจ กลับไปได้แล้ว ให้ท่านพ่อเจ้ามาแทน หากจะให้ข้ารักษาอาการป่วยของฮองเฮา ก็ให้ท่านพ่อเจ้าเป็นคนตัดสินใจว่าจะจ่ายค่ารักษานี้หรือไม่!”
มู่ซีคิดในใจ ไม่ให้ก็แปลกแล้ว เพราะอย่างไรเสีย ใครเป็นองค์รัชทายาท พี่หญิงใหญ่ของเขาก็ยังได้เป็นไทเฮาอยู่ดี เขาย่อมต้องเดิมพันอยู่แล้ว
เพียงแต่เรื่องนี้เดิมพันค่อนข้างสูง นักต้มตุ๋นน้อยไม่มีทางจะพูดแค่ว่าต้องการดึงองค์รัชทายาทลงจากหลังม้าอย่างแน่นอน เขาจะต้องเชิญท่านพ่อตาเฒ่าของเขามาให้ได้
“เช่นนั้นท่านรอได้เลย ข้าจะไปเชิญตาเฒ่ามาเดี๋ยวนี้” มู่ซีรีบดีดตัวลุกขึ้น อาการป่วยของพี่หญิงใหญ่จะชักช้าเสียเวลาไม่ได้ หายังชักช้าคนที่จะพินาศก็คงเป็นบ้านตระกูลมู่แล้ว