คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1090 ท่านเสวยผงห้าศิลาหรือ
ตอนที่ 1090 ท่านเสวยผงห้าศิลาหรือ
………………..
วันต่อมาฉินหลิวซีก็เข้าวังตามฮูหยินมู่ไป อาจเพราะเฉิงเอินโหวเตรียมการไว้แต่เนิ่นๆ จึงผ่านประตูวังมาได้อย่างราบรื่น
ฮูหยินมู่นั่งอยู่ภายในรถ เอ่ยกับฉินหลิวซีด้วยสีหน้าเกรงขาม “ต้องสร้างความน้อยเนื้อต่ำใจให้ท่านเจ้าอาวาสแล้ว”
การเข้าวังครั้งนี้ให้คำอธิบายว่าฉินหลิวซีมีสถานะเป็นหลานสาวห่างๆ ของฮูหยินมู่ กระทั่งมีศักดิ์เรียกฮองเฮาว่าพี่หญิง เพราะเคยเรียนศาสตร์การรักษาจากอาจารย์อารามเต๋ามาเล็กน้อย เลยเป็นเหตุในการมาเยือนเยี่ยมเยียนครั้งนี้
ฉินหลิวซีเอ่ยพลางยิ้มบาง “คงไม่ถึงขั้นน้อยเนื้อต่ำใจ ก็แค่สถานะหนึ่งเท่านั้น”
นางมองออกไปนอกหน้าต่าง กวาดสายตามองภาพทิวทัศน์ภายในวังหลวง ก่อนจะเอ่ยถามเรื่องอาการประชวรของฮองเฮา ความจริงนับตั้งแต่ฮองเฮามู่ทรงประชวร พวกตระกูลมู่เองก็หาหมอชื่อดังมาไม่น้อย ทว่ากลับวินิจฉัยอาการประชวรไม่ได้ ก่อนจะรักษาไปตามร่างกายที่อ่อนแอเลือดลมไหลเวียนไม่ดีพอ แม้แต่ฝ่าบาทยังทรงประทานยามาให้ แต่กระนั้นก็ยังต้านทานอาการที่ทรุดลงวันแล้ววันเล่าไม่ได้ อีกทั้งอารมณ์ยังฉุนเฉียวมากขึ้นเรื่อยๆ
เหตุที่หาตัวฉินหลิวซีก็เพราะก่อนหน้านี้ได้ข่าวว่านางกลับมาแล้ว เพียงแต่ยังไม่สบโอกาส มู่ซีคอยส่งคนมานั่งเฝ้าที่จิ่วเสียนโดยตลอด ครั้นได้ยินว่านางปรากฏตัวก็รีบมุ่งหน้ามาหานางทันที
ฉินหลิวซีพอจะสรุปอาการประชวรของฮองเฮามู่ได้บ้าง เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ ปวดศีรษะอย่างรุนแรงและเหงื่อออกมากผิดปกติ ร่างกายเย็นเฉียบ และมีอารมณ์หงุดหงิดง่ายร่วมด้วย
“หมอหลวงวินิจฉัยว่าโดนวางยาพิษหรือไม่”
ฮูหยินมู่ส่ายหน้า “วินิจฉัยออกมาไม่ได้จริงๆ แต่ล้วนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ใช่ยาพิษ”
“แล้วเคยลองเชิญตัวพระอาจารย์ในวัดมาดูหรือยังว่าโดนของหรือไม่”
ฮูหยินมู่ยิ้มเจื่อน “มหาราชครูอู่ซั่งในวังเคยตรวจดูแล้ว แต่บอกเพียงว่าเป็นผลจากร่างกาย อีกอย่างวังหลวงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ สิ่งชั่วร้ายจะกล้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร นอกจากมหาราชครูก็มีแต่ท่านแล้ว ในเมื่อวังหลวง แม้แต่บัดนี้ฝ่าบาทเองยังทรงลุ่มหลงในการปรุงยาอายุวัฒนะ แต่เรื่องเชิญพระอาจารย์มากลับเป็นไปไม่ได้ ในวังถือว่าพิธีกรรมไสยศาสตร์เป็นสิ่งต้องห้ามที่สุด พระวรกายของฮองเฮาสูงศักดิ์ดุจหงส์ ย่อมมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง สิ่งชั่วร้ายคงไม่กล้าเข้ามาแผ้วพานกระมัง!”
“ก็ไม่แน่ ถึงแม้ในวังหลวงจะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่คนตายก็มาก ย่อมมีดวงวิญาณร้ายเช่นกัน เพียงแต่เพราะมีไอมังกรคอยกดข่ม พวกมันจึงไม่กล้ากำเริบเสิบสาน แม้แต่ดวงวิญญาณบางตนยังกระดิกตัวไม่ได้เลยหมดหนทางออกฤทธิ์อย่างสิ้นเชิงก็เท่านั้น” ฉินหลิวซีมองดวงวิญญาณร่อนเร่ที่ลอยไปลอยมาในวังด้วยท่าทีพิศวง ก่อนจะยิ้มพลางกล่าว “ท่านคงไม่เชื่อว่าแม้แต่นอกรถของเรายังมีผีลอยไปมาตัวหนึ่งเลย”
เหตุใดเจ้าต้องบอกข้าเรื่องนี้ด้วย หากมีเรื่องไม่พอใจใดก็บอกออกมาเลย ข้าจะสร้างความพึงพอใจให้เจ้าแน่นอน!
แสงประกายนัยน์ตาของนางสาดมองออกไปราวกับมีร่างผีอยู่จริงๆ พลันก็หน้าซีดลงอย่างห้ามไม่ได้ พลางท่องบทสวดมนต์เสียงตะกุกตะกัก
รถจอดเทียบตำหนักฝั่งตะวันตก[1] อีกทั้งมีขันทียกเกี้ยวมารับ กระทั่งมาถึงหน้าตำหนักเฟิ่งหยางก็เห็นนางกำนัลเผยสีหน้าอ่อนล้าในชุดคลุมสีกรมท่ามายืนต้อนรับ ครั้นเห็นฮูหยินมู่นางก็ทำความเคารพ
“ชุ่ยจู๋ ฮองเฮาตื่นอยู่หรือไม่”
ชุ่ยจู๋เอ่ย “พระองค์เพิ่งตื่นได้ไม่นาน กำลังรอฮูหยินอยู่เจ้าค่ะ หมอหลวงเองก็กำลังตรวจดูชีพจรอยู่”
นางมองมาทางฉินหลิวซีด้วยท่าทีใคร่รู้ ก่อนจะทำความเคารพให้อย่างนอบน้อม
ฉินหลิวซีพยักหน้าให้เล็กน้อย จากนั้นพวกนางก็เดินเข้าตำหนักไป
หมอหลวงกำลังตรวจดูชีพจรอยู่ ฮูหยินมู่จึงพาฉินหลิวซีไปนั่งรอที่ตำหนักด้านข้างก่อน รอกระทั่งหมอหลวงเดินออกมาแล้ว ฮองเฮามู่เรียกเข้าเฝ้า พวกนางถึงเดินเข้าตำหนักไป
ครั้นฮูหยินมู่เจอฮองเฮาก็ค่อยๆ ย่อตัวลงทำความเคารพ แต่กลับถูกฮองเฮาปรามไว้ก่อน “คนกันเองทั้งนั้น ท่านแม่ไม่ต้องทำความเคารพให้มากพิธีเช่นนี้”
ขณะที่กล่าวนางก็เหลือบมองฉินหลิวซี สายตาขุ่นมัวหรี่ลงพลางตรัสว่า “ท่านผู้นี้คือเจ้าอาวาสปู้ฉิวหรือ ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเจ้าจากปากน้องสิบเจ็ดมานานแล้ว”
ฉินหลิวซีกลับไม่ได้ทำความเคารพดั่งคนในวัง แต่กลับทำความเคารพในแบบฉบับเต๋า “หม่อมฉันขอถวายบังคมฮองเฮา”
ฮองเฮามู่ที่อยู่ตรงหน้าร่างกายซูบผอม สีหน้าซีดเซียว เส้นผมสีเงินเทาขาวเต็มศีรษะ ดวงตาทั้งสองข้างลึกโบ๋เล็กน้อย ลูกตาสีเหลืองขับให้ดวงตาดูขุ่นมัว ไม่รู้ว่าสาเหตุมาจากอาการประชวรที่มีมานานหรือไม่ ดูท่าทางไม่กระปรี้กระเปร่า ถึงแม้นางจะพยายามฝืนกลั้นอย่างสุดกำลัง ทว่าหากสังเกตดีๆ จะเห็นท่าทีกระวนกระวายใจและรำคาญซ่อนอยู่
ดูท่าทางนางแก่กว่าฮูหยินมู่ด้วยซ้ำ แต่ความเหนื่อยล้ากลับบดบังใบหน้าและบุคลิกอันงามสง่าได้ยากจริงๆ
โรคร้ายได้สูบเอาความสดใสของนางออกไปจนแห้งเหือด
ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “พระองค์ทรงมีอาการประชวรอย่างหนัก หม่อมฉันขอตรวจดูชีพจรก่อนได้หรือไม่เพคะ”
เพราะฉินหลิวซีเป็นผู้หญิง แตกต่างจากหมอหลวงผู้ชายที่ต้องคอยหลีกเลี่ยง ตอนตรวจดูอาการจึงไม่จำเป็นต้องมีผ้าเนื้อบางหรือผ้าไหมมาวางกั้น ซึ่งสะดวกสบายกว่ามากโข
ฉินหลิวซีนั่งลงบนเก้าอี้ที่ตั้งตรงหน้าตั่งลวดลายหงส์ สองนิ้ววางลงบนข้อมือของฮองเฮามู่ก่อนจะแตะสัมผัสเข้ากับมืออันเย็นเฉียบ พลันนางก็ขมวดคิ้วมุ่น
อุณหภูมิในร่างกายต่ำมาก ทั้งๆ ที่ในตำหนักวางกระถางที่ใส่ถ่านติดไฟแรงไว้มากมาย บ่าวรับใช้ต่างผุดเหงื่อซึมบนหน้าผาก ทว่าอุณหภูมิในร่างกายของฮองเฮามู่กลับเย็นเฉียบ
ความเย็นนี้ไม่ใช่เพียงอุณภูมิที่ต่ำธรรมดาๆ แต่เป็นความเย็นจากหยิน
ฉินหลิวซีเผยสีหน้าแปลกใจพลางกวาดตาสำรวจนาง ทว่ากลับไม่มีไอชั่วร้ายวนเวียนข้างกาย เหตุใดถึงร่างกายเย็นเฉียบได้ขนาดนี้
นางจึงมองรอบเตียงแวบหนึ่ง แต่ภายในตำหนักก็ไม่ได้มีของไม่ดีแต่อย่างใด
ฉินหลิวซีเก็บสายตากลับมาก่อนจะพินิจวิเคราะห์อย่างละเอียด ผ่านไปนานถึงเปลี่ยนข้างแล้วจึงตรวจดูชีพจรต่อ
ชีพจรเองก็แปลกๆ เมื่อครู่ยังเต้นช้าอยู่เลย ทว่าตอนนี้กลับเต้นเร็วถี่ แต่นางมั่นใจอย่างหนึ่งว่าหยินหยางเสียสมดุลแท้แน่นอน เส้นชีพจรเต้นยุ่งเหยิงเกินไป ส่งผลให้หยางในไตไม่เพียงพอ หายใจเร็วแน่นหน้าอก ม้ามและกระเพาะอาหารอ่อนแอ
เมื่อฉินหลิวซีเงยหน้ามองฮองเฮามู่ก็เห็นใบหน้าของนางแดงซ่านก่อนจะกลืนน้ำลายไม่หยุด สองดวงตาไร้ซึ่งความสดใส ร่างกายโงนเงนสั่นเทาเล็กน้อย ราวกับหงุดหงิดใจมากจนนั่งไม่ติดที่ก็มิปาน
นัยน์ตาของนางขรึมลงเล็กน้อย
“ตอนนี้พระองค์ไม่สบายตรงไหนหรือเพคะ”
ฮองเฮามู่ตรัสด้วยเสียงหายใจหอบถี่ “ข้าเวียนหัว ปวดมากเหลือเกิน หงุดหงิด เจ้าตรวจเสร็จแล้วหรือไม่”
ฮูหยินมู่สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย น้ำเสียงเช่นนี้ออกจะหนักไปหน่อยแล้ว
นางหมายช่วยเอ่ยเสริมสักสองประโยค แต่ฉินหลิวซีกลับโพล่งถามว่า “ก่อนหน้านี้พระองค์อาเจียนเป็นเลือด สิ่งปฏิกูลนั้นยังอยู่หรือไม่”
“เผาทิ้งไปนานแล้วเจ้าค่ะ” ชุ่ยจู๋ตอบคำถาม
ฉินหลิวซีเอ่ย “ข้าอยากได้เลือดจากพระองค์สักหยดหนึ่ง”
ทุกคนต่างสีหน้าเปลี่ยน ในเมื่อนี่เป็นถึงพระวรกายของฮองเฮา
“แค่เลือดหยดเดียว ไม่ต้องเคร่งเครียดกันขนาดนั้น” นางพอจะคาดเดาได้ในใจแล้ว แต่อยากมั่นใจมากกว่านี้
“แต่พระวรกายของฮองเฮาสูงศักดิ์ นี่…”
ฉินหลิวซีเอ่ย “ต่อให้พระวรกายจะสูงศักดิ์ แต่ก็คงไม่ด้อยไปกว่าชีวิตกระมัง”
ฮองเฮามู่หงุดหงิดใจสุดขีด นางรีบอยากจบปัญหาให้เร็วที่สุดจึงตรัสว่า “เจ้าเอาไปเถิด”
ฉินหลิวซีหยิบเข็มออกจากถุงเฉียนคุนที่เหน็บอยู่ตรงข้างเอวมาเล่มหนึ่ง พอจิ้มลงไปบนนิ้วมือก็มีเลือดไหลซึมออกมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะบีบออกมาหนึ่งหยดแล้วใช้สองนิ้วถูกไปมา หลังจากสัมผัสเบาๆ ก็เห็นว่าเลือดมีความข้น นางเอามาดมแล้วใช้ลิ้นเลียลิ้มรส
ฮูหยินมู่ตกใจ กระทั่งรีบเอามือปิดปาก
ฮองเฮามู่เห็นเช่นนั้นก็สีหน้าเปลี่ยน เม้มริมฝีปากแล้วตรัสถามอย่างตรงไปตรงมา “เจ้าอาวาส ข้าถูกวางยาอย่างนั้นหรือ”
ฉินหลิวซีรับผ้าเช็ดหน้าเปียกชุ่มที่นางกำนัลส่งมาเช็ดมืออยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ย “ฮองเฮา ท่านทรงเสวยผงห้าศิลา[2]อยู่หรือ”
“อะไรนะ” ฮูหยินมู่กรีดร้อง ลุกขึ้นพรวด “เป็นไปได้อย่างไรกัน ใครเป็นคนวางยาฮองเฮาหรือ”
ฮองเฮามู่สีหน้าขรึมลง พร้อมดวงตาประกายวาววับ
[1] ตำหนักฝั่งตะวันตก ตั้งอยู่ในฝ่ายในของวังหลวง ซึ่งจะมีตำหนักอยู่หกแห่ง โดยฮองเฮาทรงต้องเลือกว่าจะบรรทมในตำหนักใด
[2] ผงห้าศิลา เป็นผงที่สกัดมาจากหินแร่ ถือเป็นสิ่งเสพติดชนิดหนึ่ง