คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1094 ข้าสันทัดเรื่องปล่อยหมัดโต้งๆ!
ตอนที่ 1094 ข้าสันทัดเรื่องปล่อยหมัดโต้งๆ!
………………..
หลังจากหาต้นตออาการปวดศีรษะและหนาวสั่นของฮองเฮามู่เจอแล้วย่อมแก้ไขง่ายขึ้นมากโข ฉินหลิวซีช่วยขับพลังหยินร้ายในร่างกายออกก่อน จากนั้นก็วาดยันต์ขับไล่สิ่งชั่วร้ายและสงบจิตใจ เพื่อให้พระองค์ไว้พกติดตัว
“หลังจากเอาเข็มหยินซาออก พระองค์ก็จะไม่มีอาการปวดหัวอีก แต่เพราะมีเข็มยาวแทรกเข้าไปในสมอง บวกกับพลังหยินแห่งความชั่วร้าย ย่อมได้รับความเสียหาย หากอยากเหมือนแต่ก่อนคงเป็นไปไม่ได้ วันหน้าคงทำได้แค่ดูแลร่างกายอย่างระมัดระวังเท่านั้น” ฉินหลิวซีเงียบไปครู่หนึ่ง ถึงเอ่ยกับฮองเฮามู่ต่อ “นอกจากนี้เดิมทีพระองค์เองก็อายุมากแล้ว พื้นฐานร่างกายเองก็ไม่ได้แข็งแรงนัก บวกกับเจอเรื่องร้ายๆ แบบนี้เข้า หากอยากมีชีวิตที่ยืนยาว พระองค์ต้องปล่อยวาง รักษาสภาพจิตใจให้สงบ”
นี่เป็นการเตือนเรื่องอายุขัยของนางอย่างอ้อมๆ
ฮูหยินมู่ร่างโงนเงน
ฮองเฮามู่ผงะเล็กน้อย แต่ไม่นานก็ฉีกยิ้มพลางเอ่ย “ได้”
ฉินหลิวซีเอ่ยต่อ “พลังหยินชั่วร้ายย่อมส่งผลเสียต่อร่างกายของพระองค์ หากด้านนอกมีแดดท่านออกไปตากให้มากหน่อยก็ดี ท่านในฐานะฮองเฮา ดวงชะตาของท่านสูงศักดิ์ อีกทั้งอยู่ในสถานที่ที่มีพลังมังกรเข้มขัน ท่านย่อมได้การปกปักษ์จากพลังมังกร หากมีหยกมังกรหงส์ก็นำมาพกติดตัวใช้คุ้มครองด้วย ใบสั่งยาที่หม่อมฉันเขียนให้ ท่านก็เสวยตามเวลา เพื่อชดเชยพลังชีวิตและเลือดที่หายไป”
ชุ่ยจู๋ส่งหีบใบหนึ่งไปให้ เอ่ยเสียงอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “ท่านปรมาจารย์ ผงห้าศิลาอยู่ในนี้ทั้งหมด ถึงแม้ฮองเฮาจะเอาเข็มออกแล้วไม่ปวดหัว แต่ในเมื่อผงห้าศิลาเป็นสิ่งเสพติด หากไม่กินละก็ เช่นนั้น…”
ฮองเฮามู่ร่างแข็งทื่อ
พอรู้ตัวการของหายนะ บวกกับเอาออกมาได้แล้ว ฮองเฮาจึงไม่จำเป็นต้องใช้ของพรรค์นี้อีกต่อไป แต่ตัวนางเองรู้ดีว่าร่างกายของนางติดผงห้าศิลา หากตัดมันไม่ได้ ต่อให้ศีรษะจะไม่มีเข็มหยินซามาก่อกวน แต่นางย่อมต้องทุกข์ทรมานเพราะความอยากต่อผงห้าศิลา
“ต้องเลิกให้ได้” ฉินหลิวซีเอ่ย “อาการคลุ้มคลั่งของพระองค์เมื่อครู่ บ่งบอกว่าเสพติดในระดับหนึ่งแล้วแต่ยังพอควบคุมได้ หม่อมฉันขอเสนอให้พระองค์ปิดตำหนัก บอกคนภายนอกว่าเก็บตัวรักษาอาการป่วย หรือไม่อย่างนั้นก็เก็บตัวในวัดหรืออารามเต๋าสักแห่ง ฟังธรรมให้มาก ซึ่งส่งผลต่อความสงบในจิตใจ หม่อมฉันจะให้เม็ดยากับท่านไว้ ท่านเสวยวันละเม็ด ร่วมกับอาบน้ำยาเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้ร่างกาย ขอแค่มีความมุ่งมั่นเพียงพอก็สามารถเลิกได้แน่นอน”
ฮองเฮามู่ผ่อนลมหายใจ เลื่อนสายตาไปจับจ้องเข็มหยินซาบนผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาด ตรัสขึ้นว่า “ตกลงเข็มเล่มนั้นฝังเข้าไปในหัวข้าได้อย่างไร”
“นั่นสิเพคะ พระองค์มีคนติดตามข้างกายไม่ห่าง โดยเฉพาะหลังจากประชวรก็ไม่เคยไร้คนเฝ้า แม้แต่ตอนฝังเข็ม พวกหม่อมฉันก็คอยปรนนิบัติต่อหน้าพระพักตร์มาโดยตลอด” ชุ่ยจู๋เอ่ย “นอกจากหม่อมฉัน ยังมีชุ่ยจือ นางมีความรู้เรื่องแพทย์แผนจีนเป็นอย่างดี ตอนหมอหลวงทำการฝังเข็ม นางคอยจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวโดยไม่ให้คลาดสายตาเลย นี่…”
“แล้วชุ่ยจือเล่า” ฉินหลิวซีกลับไม่เจอนาง
ชุ่ยจู๋เอ่ย “สองวันนี้ชุ่ยจือล้มขาหักเลยไม่ได้มาปรนนิบัติต่อหน้าพระพักตร์”
ฮองเฮามู่ตรัสว่า “ชุ่ยจือกับชุ่ยจู๋ติดตามข้ามาตั้งแต่เล็กๆ เชื่อใจได้”
“หากพระองค์คิดว่าไว้ใจได้ก็ดี เพราะการสืบเรื่องนี้ต้องให้พวกท่านสืบด้วยตนเอง แต่ในเมื่อใช้เข็มหยินซา คนผู้นี้ต้องมีความเข้าใจในศาสตร์เต๋าแน่นอน หากคิดจะลงมือก็ไม่ยาก ขอแค่มีศาสตร์บังตาก็ทำได้แล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อ “หากอยากฝังเข็มเข้าไปโดยไม่ดึงดูดความสงสัย อีกทั้งเลี่ยงจุดถึงแก่ความตายด้วย คนที่ลงมือต้องรู้เรื่องหมอเป็นอย่างดี แต่อยากหลีกเลี่ยงสายตาคน ย่อมต้องรู้เรื่องวิชาอาคม หรือต้องมีอาวุธอำพราง หรือรู้ศาสตร์ที่ช่วยกลบเกลื่อนได้”
ฮองเฮามู่มุ่นคิ้ว ตรัสว่า “หากเป็นเช่นนี้ อยากตามสืบคงไม่ง่าย เพราะความจริงตอนข้าประชวร หมอหลวงก็แห่กันมาตรวจดูอาการ เพียงแต่ได้หมอหลวงหลินมารักษาของข้า นอกจากบรรดาหมอหลวง พวกท่านพ่อก็เคยหาท่านหมอชื่อดังมาบ้าง อีกทั้งเคยฝังเข็มด้วย”
คนที่เคยฝังเข็มให้นางมีอยู่หลายคน หากใช้ศาสตร์พรางตาละก็คงไม่ใช่สิ่งที่คนของนางจะจัดการได้ง่ายๆ
ฮองเฮามู่มองไปทางฉินหลิวซีแล้วตรัสถาม “ไม่รู้ว่าท่านเจ้าอาวาสพอจะนับนิ้วคำนวณดูว่าเป็นใครได้หรือไม่”
ฉินหลิวซีฉีกยิ้มก่อนจะหยิบเข็มหยินซามาตรงหน้า จากนั้นก็หยิบเหรียญถงเม่ย[1]จากถุงเฉียนคุนมาสามเหรียญวางไว้กลางฝ่ามือ ปากก็ท่องบทสวดไปด้วย พร้อมโยนเหรียญต่อเนื่องหกครั้ง หลังจากรอผลของการทำนาย นางถึงมองแวบหนึ่ง ก่อนที่เรียวนิ้วจะขยับคำนวณอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปครู่หนึ่ง ฉินหลิวซีถึงเอ่ยว่า “ประตูฉงหยางของเมืองฝั่งตะวันตกติดคลอง มีบ้านหลังหนึ่งที่ปลูกต้นหลิวเก่าแก่ร้อยปี ไปหาจากที่นั่น”
“ต้นหลิวเก่าแก่ร้อยปี นั่นมันจวนของหมอหลวงหลินมิใช่หรือ” ฮูหยินมู่อุทานอย่างตกใจ
ฮองเฮามู่เผยสีหน้าโกรธ มองไปทางชุ่ยจู๋แล้วตรัสว่า “เอาป้ายคำสั่งของข้าไป สั่งให้หลี่ขุยไปเอาตัวมา”
“เพคะ”
ฮูหยินมู่เอ่ยถาม “เข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า หมอหลวงหลินให้ความ…”
“ท่านแม่!” ฮองเฮามู่แหวตัดบทนาง “ไม่มีใครภักดีเหมือนเดิมตลอดไป ต่อให้มิตรภาพแสนดีเพียงใดก็ต้านวันเวลาที่ล่วงเลยไปไม่ได้ หลินหมิงก็เช่นกัน ไม่ใช่การหักหลังทรยศ แต่เพราะสิ่งดึงดูดใจไม่มากพอ”
“ไม่ต้องเอ่ยแล้ว” ฮองเฮามู่คลึงขมับ ตรัสว่า “คงบอกได้แค่ว่าสิ่งที่เขาให้ความสำคัญนั้นมีมากกว่าบุญคุณเล็กน้อยก็เท่านั้นเอง”
“ใช่แล้ว หากมามัวสงสัยว่าเหตุใดเขาถึงหักหลัง สู้ไปสืบหาว่าใครเป็นผู้บงการที่แท้จริงของเขาดีกว่า” ฉินหลิวซีกล่าวต่อ “ในเมื่อเจตนาปองร้ายฮองเฮา ต่อให้แผนแรกไม่สำเร็จก็ต้องมีแผนสอง วันหน้าพระองค์ต้องทรงระวังตัวมากกว่านี้”
ฮองเฮาตรัสพร้อมรอยยิ้มขมขื่น “ข้าเข้าวังมาตั้งแต่สิบหก จนบัดนี้ก็ผ่านมาหลายสิบปีแล้ว และก็ต่อสู้มาหลายสิบปีเช่นกัน ไม่นับว่าทุกอย่างราบรื่นดีนัก แต่ก็ยังครองตำแหน่งฮองเฮาได้อย่างมั่นคง คิดไม่ถึงว่าพอแก่ตัวมาตำแหน่งนี้จะสั่นคลอนแล้ว”
ฮูหยินมู่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ย “หากไม่ใช่เพราะพระองค์ถูกปองร้ายตั้งแต่วัยเยาว์ พระองค์จะมีองค์หญิงเพียงคนเดียวได้อย่างไร หากมีองค์ชายสักคนก็คงไม่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ตอนนั้นพวกเราก็เคยโน้มน้าวพระองค์แล้วว่าให้รับมาอุปการะสักคน ต่อให้ไม่เต็มใจ พวกเราก็ยังพอส่งเข้าวังได้ แต่ท่านกลับมีใจเมตตา ทนเห็นแม่ลูกคนอื่นห่างกันไม่ได้ แต่ก็ไม่อยากเห็นแม่นางคนอื่นต้องมาทุกข์ทรมานอยู่ในวังแบบท่านเช่นกัน สุดท้ายแล้วได้อะไรกลับมา ก็ยังตกเป็นที่ปองร้ายของคนอื่น หม่อมฉันว่าฮองเฮาถูกใครทำร้ายแค่มองแวบเดียวก็รู้แล้ว หากพระองค์สิ้น…นางก็คือผู้ได้รับผลประโยชน์มากที่สุด เสียนกุ้ยเฟยนั่นแหละ ท่าทีโอหังของนางเมื่อครู่ เหมือนอยากขึ้นเป็นเจ้าของตำหนักนี้ใจแทบขาดแล้ว!”
“ท่านแม่พูดจาส่งเดชเกินไป สิ่งที่เห็นอย่างชัดเจนมักเป็นไปไม่ได้ นางมีจิตใจทะเยอทะยาน แต่ก็ไม่ใช่คนโง่เขลา หากทุกอย่างชี้ไปที่ตัวนาง มีความเป็นไปได้ว่าคงมีใครคิดจะโยนความผิดให้นางมากกว่า” ฮองเฮามู่หรี่ตาลงพร้อมตรัสว่า “แม้แต่องค์รัชทายาท หากฮองเต้ยังทรงครองบัลลังก์อยู่ เขาก็ย่อมเป็นเพียงองค์รัชทายาทต่อไปเช่นนั้น ก็เหมือนข้านั่นแหละ ตำแหน่งนี้ย่อมมีคนจับจ้องอยากได้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นสู้สร้างความปั่นป่วน ให้คนพวกนี้สู้กันเอง ข้ากลับจะปลอดภัยกว่า”
ฮองเฮามองไปทางฉินหลิวซีแล้วตรัสว่า “ท่านเจ้าอาวาสคิดเห็นเช่นใดหรือ”
ฉินหลิวซียิ้มบางเอ่ย “ฮองเฮา หม่อมฉันเป็นเพียงนักบวชตัวเล็กๆ ไม่สันทัดพวกเล่ห์เหลี่ยมทำนองนี้เพคะ!”
ข้าสันทัดแต่เรื่องปล่อยหมัดโต้งๆ!
ฮองเฮามู่ หากเจ้าไม่ได้โน้มน้าวให้ท่านพ่อของข้าก่อกบฏ ข้าก็คงเชื่อเจ้า แต่ว่า…เหอะๆ!
[1] เหรียญถงเม่ยใช้ในการทำนาย