คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1096 บรรพบุรุษ อย่าพูดเรื่องเสี่ยงโดนบั่นศีรษะเช่นนี้ออกมาเลย
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 1096 บรรพบุรุษ อย่าพูดเรื่องเสี่ยงโดนบั่นศีรษะเช่นนี้ออกมาเลย
ตอนที่ 1096 บรรพบุรุษ อย่าพูดเรื่องเสี่ยงโดนบั่นศีรษะเช่นนี้ออกมาเลย
………………..
ฮองเฮามู่เอนพิงหมอนใหญ่ด้านหลัง ดึงด้ายถักรูปมังกรหงส์ที่แขวนอยู่บนมุ้งมาเล่นในมือ เพราะระยะนี้มีอาการเจ็บปวดและทุกข์ทรมานจากผงห้าศิลาจึงขับให้ใบหน้าดูซีดเซียวเจือจาง แม้แต่มุมปากยังปรากฏร่องรอยเล็กๆ ให้เห็น ยิ่งยามที่เม้มริมฝีปากยิ่งมองเห็นอย่างชัดเจน
นางเม้มริมฝีปาก เรียวนิ้วหมุนพันรอบเส้นด้ายถักพลางเอ่ยขึ้นว่า “ตอนที่ถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นฮองเฮา ข้าก็รู้ได้ทันทีว่าในใจของเขามีผู้หญิงคนอื่น ยามที่ได้ยินชื่อเล่นของคนอื่นจากปากของเขา ข้าก็รู้ได้ทันที่ว่าควรเผชิญหน้ากับสามีเช่นไร ความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์และขุนนางต้องเป็นไปอย่างเหมาะสม ให้เคารพต่อกันดุจแขกเหรื่อ มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นข้าถึงจะผ่านช่วงเวลาอันยาวนานในวังไปได้”
ฮองเฮามู่มองฉินหลิวซีพลางตรัสว่า “ข้าคงไม่พูดให้มากความเพื่อให้เจ้าเชื่อใจข้า แต่เจ้าวางใจได้เลยว่าสิ่งที่ข้าปรารถนาแต่ไหนแต่ไรมาก็คือความสงบในบั้นปลายชีวิต องค์หญิงต้องสูงศักดิ์ยิ่งกว่าใคร รวมถึงรับรองความมั่งคั่งของตระกูลมู่ด้วย หากตอบตกลงเรื่องนี้ได้ ใครจะขึ้นเป็นฮ่องเต้ ข้าก็ไม่สนใจทั้งนั้น”
ในเมื่อนางไม่มีโอรสในสายเลือด เมื่อเทียบกับเหล่าอ๋องที่มีมารดาและคอยจับจ้องตำแหน่งของตนพวกนั้นแล้ว ฉีเชียนน้องเขยผู้นี้กลับเป็นตัวเลือกที่ตระกูลมู่ควรเลือกมากที่สุด
“ฉีเชียน สถานะ…”
ฮองเฮามู่ปัดป่ายมือ ตรัสขึ้นว่า “ในตำราประวัติศาสตร์มักบันทึกโดยผู้ชนะ หากเอ่ยถึงสถานะความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนยุ่งเหยิง ใครจะกล้าบันทึกถึงจักรพรรดินีผู้เลื่องชื่อท่านนั้นเล่า ขอแค่ข้าได้ดั่งที่ใจปรารถนา ต่อให้เขาเรียกข้าว่าเสด็จแม่หรือพี่หญิง หรือแม้แต่ไทเฮา กระทั่งถึงยามนั้นข้าต้องย้ายตำหนักก็ย่อมได้ทั้งนั้น ขอแค่พวกเราเป็นฝ่ายชนะก็พอ”
ฉินหลิวซีฉีกยิ้ม “ฮองเฮาที่มีสติเช่นนี้ช่างหายากนัก”
ฮองเฮามู่ถอนหายใจพลางเอ่ย “สตรีสูงศักดิ์อย่างพวกเราถูกปลูกฝังเรื่องเกียรติยศของตระกูลมาตั้งแต่เด็ก สิ่งที่เรียกว่าใช้ชีวิตเพื่อตัวเองอะไรนั่น ใช่ว่าไม่มี แต่น้อยนัก เฉกเช่นคนเหล่านั้น แม้บุตรสาวจะได้รับความรักตามใจ แต่ความจริงผู้หญิงส่วนใหญ่ต้องแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ของตระกูล ตระกูลที่ยิ่งใหญ่ย่อมช่วยสร้างรากฐานให้มั่นคง อำนาจของสามีช่วยเกื้อหนุนค้ำจุนได้ อาจดูน่าเย้ยหยันใช่หรือไม่ แต่ต้องยอมรับว่านี่เป็นโลกแห่งความเป็นจริง ชะตากรรมของผู้หญิงในวังหลวง หากไม่ใช้ชีวิตอย่างตระหนักถึงความจริง แล้วฝากความหวังไว้กับผู้ชายเพียงคนเดียว เช่นนั้นคงใช้ชีวิตได้อย่างยากลำบาก ในวังหลวงยิ่งแล้วใหญ่ เพราะต้องแก่งแย่งชิงดีกว่าที่อื่นๆ เป็นการสู้รบโดยไม่ต้องใช้เลือดเนื้อ แต่ทุกที่กลับเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมร้ายกาจ หากข้ามัวแต่ปล่อยให้ตัวเองหลงอยู่ในความรักล่ะก็ เตียงหงส์หลังนี้คงมีคนอื่นมานอนแทนข้านานแล้ว”
“สิ่งที่ข้าเสียใจตลอดหลายปีนี้ก็คือไม่ได้ให้กำเนิดองค์ชายสักคน ในขณะที่ตระกูลฝั่งท่านแม่ก็ให้กำเนิดบุรุษน้อยนัก แต่เพราะเหตุนี้ถึงได้นั่งตำแหน่งนี้ได้อย่างมั่นคง ในเมื่อตระกูลของท่านแม่ได้เสพสุขกับความมั่งคั่ง ย่อมไม่มีเรื่องใดดีพร้อมทั้งสองด้าน แต่บัดนี้ตำแหน่งนี้กลับสั่นคลอนแล้ว” ฮองเฮามู่ทรงตรัสเย้ยหยันตนเองที “เจ้าดูเอาเถิด แม้เจ้าจะไม่อยากแก่งแย่งช่วงชิง แต่ก็ต้องมีคนบีบให้เจ้าแก่งแย่งช่วงชิงอยู่ดี หากข้าอยู่เฉยๆ ก็คงต้องตาย ในเมื่อมีอำนาจเงินทองในมือ ใครจะอยากตายบ้าง ดังนั้นไม่ว่าเขาจะเป็นลูกของใครย่อมไม่สำคัญ ต่อให้เขาต้องครองบัลลังก์สูงสุดแล้วเปลี่ยนสกุลก็ไม่เป็นไร ขอแค่ตระกูลมู่อยู่อย่างเป็นสุข องค์หญิงของข้ายังสูงศักดิ์เฉกเช่นเดิมก็เพียงพอแล้ว”
หากการแลกเปลี่ยนครั้งนี้สำเร็จ ตระกูลมู่ก็คงได้รับผลประโยชน์เต็มๆ นางไม่โง่ถึงขั้นยึดติดกับม้าพรรค์นั้นและผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ยอมเปิดเผยตัว
“หม่อมฉันเข้าใจพระประสงค์ของพระองค์แล้วเพคะ” ฉินหลิวซีโล่งอก มาถึงตอนนี้ถือว่าสมาชิกโดยพื้นฐานในกลุ่มครบแล้ว ส่วนเรื่องอำนาจทางการทหารคงต้องหาเวลาแวะไปซีเป่ยสักหน่อย
เห็นทีกองกำลังที่จะก่อกบฏคงพร้อมเดินหน้าแล้ว!
ชุ่ยจู๋พาตัวขันทีที่ดูไหวพริบดีใบหน้าสะอาดเกลี้ยงเกลาคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วยสีหน้าขุ่นเคือง ก่อนที่พวกเขาทั้งสองจะคุกเข่าขอรับโทษอย่างพร้อมเพรียง เพราะหมอหลวงหลินชิงกินยาพิษฆ่าตัวตายก่อนแล้ว
ถึงแม้ฉินหลิวซีจะคาดเดาได้แต่แรกแล้ว ทว่าพอได้ยินเช่นนั้น ฮองเฮามู่กลับอดเกรี้ยวกราดขึ้นมาไม่ได้ ตรัสขึ้นว่า “แล้วคนอื่นในตระกูลหลินเล่า”
“ท่านโหวให้คนไปกุมตัวมาหมดแล้วเพคะ”
ฮองเฮามู่ตรัสว่า “ถ่ายทอดพระราชโองการของข้าไปว่าหมอหลวงหลินทำร้ายคนในวัง ขอให้ศาลยุติธรรมและกรมอาญาสืบเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด”
“พ่ะย่ะค่ะ”
จากนั้นขันทีผู้นั้นก็เดินออกไป
ฉินหลิวซีมองฮองเฮามู่แล้วจึงเอ่ย “หม่อมฉันนึกว่าพระองค์จะทรงสั่งประหารเก้าชั่วโคตรเสียอีก”
ฮองเฮามู่ยิ้มเย็นชา “ประหารย่อมต้องประหาร แต่ข้าทนกับความทรมานมามากขนาดนี้ ข้าไม่มีทางทนทรมานอย่างเสียเปล่าแน่นอน ในเมื่อต้องกวาดล้างทำลายขวากหนามให้เจ้าเด็กนั่น เช่นนั้นเบื้องหน้าของเขาก็ไม่ควรมีใคร เพราะหากน้ำในบ่อขุ่นแล้วถึงจะจับปลาได้ง่ายกว่า”
ฉินหลิวซียกชาขึ้นจิบอึกหนึ่งแล้วเอ่ย “พระองค์ตรัสถูกต้องแล้วเพคะ”
ฮองเฮาตรัสต่ออีกว่า “ท่านเจ้าอาวาส เรื่องที่ข้าเสวยของธาตุเย็นจัดเข้าไป เรื่องนี้ไล่สืบตามไม่ได้แล้วจริงหรือ”
“หากพระองค์อยากไล่ตามสืบเรื่องนี้ย่อมต้องเสาะหาเบาะแสได้บ้าง แต่มันคุ้มค่าหรือไม่ ความจริงทิศทางบ่งชี้ให้สืบตามหาง่ายมาก ยามนั้นใครไม่อยากให้พระองค์ให้กำเนิดโอรสมากที่สุด หากให้กำเนิดแล้วจะมีภัยคุกคามใดตามมา แล้วใครไม่อยากเผชิญกับภัยคุกคามนี้มากที่สุด เช่นนั้น…” ฉินหลิวซีเงียบไป
ความจริงตระกูลมู่เคยมีอำนาจในมือ ท่านปู่ของนางเป็นถึงขุนนางเก่าที่เคยสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับอดีตฮ่องเต้มา คุณงามความดีเหลือล้น เพราะเหตุนี้นางถึงถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นพระชายาในองค์รัชทายาท ภายหลังถึงขึ้นเป็นฮองเฮาแห่งวังหลวง
ต่อมาพอฮ่องเต้ทรงขึ้นครองราชย์ ตระกูลมู่ลูกหลานน้อย นึกว่าเป็นบาปจากการรบราฆ่าฟันคนมามากถึงให้กำเนิดคนรุ่นหลังไม่ได้ บวกกับกลัวว่าพระองค์จะหวาดระแวง ท่านพ่อกับท่านอาถึงโยกย้ายอำนาจทางการทหาร
นางยังจำได้ว่ายามนั้นฝ่าบาททรงบรรทมในตำหนักของนางติดต่อกันสิบวันเพื่อแสดงถึงความรัก ทว่านางกลับยังคงไร้วี่แววเรื่องตั้งครรภ์
หากนางให้กำเนิดโอรสจะเป็นภัยคุกคามต่อใครมากที่สุด และใครไม่อยากให้นางตั้งครรภ์มากที่สุด และใครจะเลี่ยงจากการตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนหากทำร้ายนางหลังจากที่นางคลอดบุตรได้บ้าง
พลันคำตอบก็ผุดขึ้นมา
ฮองเฮามู่หน้าซีดดุจหิมะ
ครั้นฉินหลิวซีเห็นว่านางได้คำตอบก็หลุบตาลง สามีภรรยาที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดแต่เหินห่างเช่นนี้ หากเดิมทีพวกเขาไม่ใช่คู่รักกันจริงๆ ทำอะไรย่อมไร้ความละอายใจโดยปริยาย
นางเขียนใบสั่งยาให้ฮองเฮามู่อีกสองสามใบ นางไม่ได้อยู่ในวังนานนักก่อนจะออกจากวังไปพร้อมกับฮูหยินมู่
ขณะออกจากวัง ทันใดนั้นสายตาของนางก็หรี่ลงมองไปทางตะวันออกเฉียงเหนือของหกตำหนักฝั่งตะวันตก ก่อนจะเอ่ยถามขันทีที่เดินมาส่ง ชี้นิ้วถามว่า “ตรงนั้นเป็นตำหนักของใครหรือ”
ขันทีเหลือบมองแวบหนึ่ง ตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่าเป็นตำหนักโซ่วคังกงของไทเฮาโจว
ฉินหลิวซีเก็บสายตากลับมาโดยไม่พูดอะไร กระทั่งออกจากประตูวังไปถึงเอ่ยต่อฮูหยินมู่ว่า “ไทเฮาผู้นั้นใกล้ไม่ไหวแล้ว บอกท่านโหวกับฮองเฮาว่าหากมีแผนการใดก็รีบเตรียมพร้อมและใช้งานแต่เนิ่นๆ”
ดาวหงส์ออกจากตำหนักในช่วงกลางวัน มวลความตายเกาะตัวอยู่เหนือตำหนัก ไทเฮาผู้นั้นใกล้ได้ไปเฝ้าพระผู้เป็นเจ้าบนท้องฟ้าเต็มทีแล้ว!
ฮูหยินมู่ขานรับก่อนที่จะถลึงตาสองข้าง ดวงตาสั่นวูบไหว “เมื่อครู่ท่านว่าอย่างไรนะ”
นางบอกว่าไทเฮาใกล้สิ้นพระชนม์แล้วอย่างนั้นหรือ
“ข้าบอกว่าไทเฮา…อุ๊บ”
ฮูหยินมู่ยอมฝ่าความตายใช้มือไปปิดปากของนาง ร่างสั่นสะท้านไม่หยุด บรรพบุรุษ ข้าขอเรียกเจ้าว่าบรรพบุรุษ อย่าพูดเรื่องเสี่ยงโดนบั่นศีรษะเช่นนี้ออกมาเลย!
เวลานี้เสียนกุ้ยเฟยสั่งให้คนมัดตัวองค์หญิงอี๋เล่อไว้ด้วยอาการปวดเศียรเวียนเกล้า พลางส่งคนไปเชิญตัวมหาราชครูมาตรวจอาการว่าเจ้าเด็กคนนี้ถูกผีเข้าหรืออย่างไร มิเช่นนั้นเหตุใดจู่ๆ ถึงเอะอะโวยวายว่าจะออกบวชเป็นแม่ชี ในขณะเดียวกันก็ส่งคนไปสืบดูว่าวันนี้ใครมาตรวจดูอาการให้ฮองเฮา
ยังไม่ทันโล่งอก ขันทีน้อยผู้หนึ่งก็ตะเกียกตะกายร่างพุ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก กรีดร้องเสียงแหลม “กุ้ยเฟย แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ไทเฮาทรงหมดสติแล้ว”
เสียนกุ้ยเฟยเผยสีหน้าตกตะลึงก่อนจะลุกขึ้นพรวดในทันที