คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1097 ศาสตร์เต๋า หากไม่สู้ก็ต้องถอย
ตอนที่ 1097 ศาสตร์เต๋า หากไม่สู้ก็ต้องถอย
………………..
ไม่นานฉินหลิวซีก็ได้รู้ข่าวเรื่องที่ไทเฮาโจวทรงประชวรหนักจนหมดสติไปจากหุ่นเชิดราชครูของนาง ทว่ากลับไม่เหนือคาดเท่าไร ในเมื่อเป็นอาการประชวรเดิม เพราะนางก็ชรามากแล้ว
ทว่านางได้เจอกับเว่ยเสียที่หายตัวไปนาน พอถามถึงรู้ว่าเจ้าตัวแสบรับหน้าที่เป็นผู้ช่วยพญายมมาพาดวงวิญญาณของไทเฮาโจวไปยมโลก
เว่ยเสียเอ่ย “ได้ยินมาว่าตระกูลโจวสร้างบาปใหญ่ทำร้ายนักพรตชราในอาราม อยากให้ข้าช่วยแก้แค้นเรื่องส่วนตัวให้หรือไม่ จัดการไทเฮาผู้นั้นในยมโลกเสีย”
ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก “เจ้าหยุดเถอะ นั่นเป็นถึงไทเฮาในราชสำนัก สถานะสูงศักดิ์ มีชะตาของบ้านเมืองคอยปกปักษ์คุ้มครอง หากเจ้าแตะต้องนางคงไม่อยากเป็นผีแล้วกระมัง”
เว่ยเสียลูบจมูกปอยๆ “ข้าก็แค่อยากระบายความแค้นให้ท่านไม่ได้หรือ”
“ระบายความแค้น คงไม่ถึงขั้นต้องแตะต้องดวงวิญญาณของท่านผู้เฒ่าคนหนึ่งหรอก” ฉินหลิวซีเอ่ย “นางยังมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่วัน”
เว่ยเสียพลิกเปิดสมุดอายุขัยก่อนเอ่ย “อีกสองวัน ข้าฉวยโอกาสนี้อู้งาน ระยะนี้คนตายเยอะ ทำเอาดวงวิญญาณข้าแทบหมดแรง รีบเอาของมาบูชาจุดธูปเทียนให้ข้าเร็วเข้า”
ฉินหลิวซีเผาเงินหยวนเป่าและจุดธูปเทียนให้เขา เอ่ยว่า “เมื่อก่อนข้าให้เจ้านึกถึงวันข้างหน้า หากไม่เป็นผีบำเพ็ญก็ต้องเป็นผู้ช่วยพญายม สั่งสมคุณงามความดีไว้ให้มากแล้วค่อยไปเกิดใหม่ เจ้าทบทวนดีหรือยัง”
เว่ยเสียใจกระตุกวูบก่อนจะเอ่ย “อยู่ดีๆ เหตุใดถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา”
ชวนให้สังหรณ์ใจแปลกๆ
“จากนี้ข้ามีเรื่องที่ต้องทำอีกมากและต้องกักตัวบำเพ็ญอยู่บ่อยครั้ง คาดว่าคงไม่มีเวลาสนใจเจ้า ดังนั้น…”
“เพราะเรื่องมารเอ้อฝูซื่อหลัวหรือ”
ฉินหลิวซีพยักหน้า “เขาไม่ใช่คนที่ต่อกรด้วยง่ายๆ ข้าต้องใช้เวลาในการขัดเกลา เจ้าก็ใช้ชีวิตให้เป็นสุขล่ะ”
เว่ยเสียมุ่นคิ้วโดยไม่พูดอะไร ทว่ากลับอึดอัดในใจอย่างบอกไม่ถูก
…
เรื่องแรกได้ยินมาว่าฮองเฮาแบกใบหน้าอันซีดเซียวไปคุกเข่าต่อหน้าพระที่นั่งชิงฉินด้วยสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง วิงวอนขอให้คุ้มครองชีวิต พร้อมเปิดโปงเรื่องที่ตนประชวรมานานเพราะถูกคนปองร้ายเล่นของใส่ ขอฝ่าบาททรงช่วยให้ความเป็นธรรมด้วย
บวกกับสองพี่น้องเฉิงเอินโหวคุกเข่าร่ำไห้ตัดพ้ออย่างน่าสงสาร บอกว่าในยามนั้นตนมอบอำนาจทางการทหารให้อย่างรวดเร็ว บัดนี้พวกเขาทั้งสองต้องพึ่งพาลูกหลานเพียงคนเดียวในการสืบทอดตระกูล มาถึงขั้นนี้แล้วแต่หลายๆ คนกลับคิดว่ายังไม่น่าสังเวชพอ ถึงขั้นคิดปลิดเส้นเลือดหล่อเลี้ยงตระกูลตน แม้แต่ฮองเฮาที่ไร้โอรสยังหมายดึงลงจากตำแหน่ง นอกจากจะสูบเลือดตระกูลมู่ของเขาแล้ว ยังกินเนื้อของพวกเขาด้วย โหดเหี้ยมต่อพวกเขาเหลือเกิน หากเป็นเช่นนี้สู้พวกเขาไปเป็นสามัญชนทั่วไปเพื่อปกปักษ์ชีวิตดีกว่า บลาบลา
พอตอกไข่ใส่สีว่าในเมื่อลากฮองเฮาลงมาเพื่อให้ขึ้นตำแหน่งได้ถึงเกริ่นต่อว่าแล้วจะดึงฝ่าบาทลงจากบัลลังก์เป็นรายต่อไปหรือไม่
ตระกูลมู่บวกกับฮองเฮาทำเอาฮ่องเต้ปวดเศียรเวียนเกล้า แม้แต่ยาก็ใช้ไม่ได้ผล พระองค์ทรงระแวงต่อเรื่องตอกไข่ใส่สีของพวกเฉิงเอินโหว ก่อนจะเรียกองค์รัชทายาทมาระเบิดอารมณ์ใส่ จากนั้นก็รับสั่งให้กรมอาญาและศาลยุติธรรมตรวจสอบคดีนี้อย่างถึงที่สุด
พอตรวจสอบก็เกี่ยวพันไปถึงกลุ่มทรงอิทธิพลราวกับยื่นมือมาสาวดู ตกลงเป็นฝีมือใคร ใครอยากได้ตำแหน่งในวัง ยิ่งใช้มือกวนน้ำในคลองก็ยิ่งขุ่น
นี่เป็นเรื่องที่ตกเป็นประเด็นมากที่สุด ส่วนอีกเรื่องย่อมเป็นเรื่องที่ไทเฮาทรงประชวรหนักจนหมดสติไป ทว่าบรรดาหมอหลวงกลับหมดหนทางรักษา ทำเอาฝ่าบาททรงกริ้วอย่างหนัก หากไม่ใช่เพราะมหาราชครูเกลี้ยกล่อม เกรงว่าคงสั่งประหารหมอหลวงสิ้นแล้ว
หลังจากถ่วงเวลาไปได้สองวัน ไทเฮาโจวก็เสด็จสวรรคต
ยศถาบรรดาศักดิ์ตระกูลโจวราวฟ้าถล่ม แม้แต่เสียนกุ้ยเฟยยังงงงัน จู่ๆ คนหนุนหลังคิดจะล้มก็ล้ม บัดนี้เหมือนฮองเฮงทรงฮึดสู้ขึ้นมา หรือนี่จะหมายความว่านางหมดวาสนาต่อตำแหน่งฮองเฮาแล้วหรือ
ไทเฮาสวรรคต ทั่วทั้งเมืองต่างไว้ทุกข์ ตกอยู่ในความโศกเศร้ากันทั่วทั้งแคว้น
ทว่าฉินหลิวซีกลับแวะไปที่จวนเสนาบดีลิ่นอย่างเงียบๆ
ภายในห้องหนังสือ กำยานชั้นเลิศในกระถางธูปเคลือบสีทองส่งกลิ่นหอมอบอวล
เสนาบดีลิ่นนั่งตรงตำแหน่งหลักด้วยสีหน้าหม่นหมองไร้เลือดฝาด
ฉินหลิวซีเอ่ยถามอย่างตกใจ “ดูจากสีหน้าหม่นหมองของท่านแล้ว จวนเสนาบดีอัตคัดจนไม่มีข้าวกินแล้วหรือ”
เสบาบดีลิ่นมุมปากกระตุก แววตาวูบไหว อุทานขึ้นว่า “อายุปูนนี้แล้วยังต้องมาเจอเรื่องสวรรคตของไทเฮาอีก ข้าต้องคุกเข่าต่อหน้าดวงวิญญาณโอดครวญร่ำไห้ ถึงแม้ใกล้ถึงฤดูใบไม้ผลิ แต่อากาศกลับยังหนาวเหน็บ คนแก่ๆ อย่างข้าจะทนไหวได้อย่างไร”
เหอะๆ เจ้าอาศัยความเห็นอกเห็นใจเพื่อหลอกเอาชาโสมจากข้าต่างหาก!
ฉินหลิวซีแสร้งยิ้ม “ท่านพูดถูก จวนเสนาบดีเองก็คงเก็บโสมดีๆ ไว้ไม่น้อย ข้าเขียนใบสั่งยาให้ท่านแล้วเอาไปผสมเองเป็นอย่างไรเล่า”
เสนาบดีลิ่นขึงตาโต บงการให้คนอื่นก่อกบฏ แต่กลับไม่ให้ผลประโยชน์ใดเลยหรือ
ฉินหลิวซีลูบจมูกพลางเอ่ย “เดี๋ยวข้าให้คนมาส่งให้ท่าน สุดท้ายแล้ว ถ้าดื่มหมดก็ไม่มีแล้วนะ ท่านเพลาๆ ลงบ้าง”
ประเด็นสำคัญก็คือนางไม่มีเวลาทำชาแล้ว
ทันใดนั้นใบหน้าหม่นหมองของเสนาบดีลิ่นก็มีเลือดฝาด จากนั้นก็ไม่แกล้งกลบเกลื่อนอีกต่อไป เอาข่าวคราวที่ตนสืบหามาได้ส่งไปให้ “เป็นไปอย่างที่ท่านคาดการณ์ไว้ ข้างกายซิ่นหยางอ๋องบูชาบุคคลลี้ลับอยู่คนหนึ่งจริงๆ โดยที่เขาให้ความสำคัญมากด้วย ได้ยินมาว่าคนผู้นี้คือปรมาจารย์เสวียนหมิง ได้รับความเคารพบูชาอยู่ข้างกายซิ่นหยางอ๋องมายี่สิบกว่าปีแล้ว”
มือของฉินหลิวซีชะงักไปแล้วรับกระดาษพวกนั้นมา นางกวาดตาดูข้อมูลพื้นฐานก่อนจะพลิกอ่านต่อ ครั้นเห็นภาพวาดหนึ่ง รูม่านตาก็หดลงเล็กน้อย
“เขาเองหรือ”
เสนาบดีลิ่นเพิ่งหยิบชาขึ้นมาเป่า ครั้นได้ยินเช่นนั้นก็โพล่งถามขึ้นว่า “เจ้ารู้จักด้วยหรือ”
“ไม่รู้จัก แต่ไม่นานมานี้ข้าเพิ่งประชันฝีมือกับเขาไป ฮองเฮามู่ทรงถูกเข็มหยินซาฝังเข้าพระเศียร เข็มเล่มนั้นเป็นฝีมือของเขา เห็นทีเรื่องอาการประชวรของฮองเฮา ผู้บงการที่แท้จริงคงเป็นจวนซิ่นหยางอ๋อง” ฉินหลิวซีชี้ไปที่ใบหน้าของเจ้าหนุ่มคนนั้น “ที่แท้เขาก็ชื่อว่าเสวียนหมิงหรอกหรือ”
คนที่สร้างค่ายอาคมห้าธาตุให้ตระกูลลี่ก็คือเสวียนหมิง คนที่เตรียมทำเรื่องห้าธาตุเสริมให้มีบุตรผู้สูงศักดิ์ให้กับจวนซิ่นหยางอ๋องก็คือเขา คนที่ทำร้ายฮองเฮาก็ยังคงเป็นเขา
ดังนั้นจวนซิ่นหยางอ๋องช่างโหดเหี้ยมอำมหิตจริงๆ!
เสนาบดีลิ่น “มิน่าเรื่องที่ฮองเฮาถูกปองร้าย บัดนี้พัวพันลามไปถึงองค์รัชทายาท กลุ่มของจ้าวอ๋องมีหลายฝ่าย ดูท่านอกจากตระกูลมู่แล้ว ซิ่นหยางอ๋องก็เป็นหนึ่งในคนที่เข้ามากวนน้ำให้ขุ่น”
“จากที่ฮองเฮาทรงตรัสไว้ หากกวนน้ำให้ขุ่นถึงจะจับปลาได้ง่าย ต้องจัดการพวกที่มีฐานะและตำแหน่งออกไปก่อน จากนั้นคนที่ไม่มีตำแหน่งอันชอบธรรมอย่างฉีเชียนถึงจะมีโอกาสก้าวขึ้นมา ต้องจัดการอย่างไร เสนาบดีลิ่น เรื่องนี้คงต้องอาศัยอุบายเล่ห์เหลี่ยมของพวกท่านในการวางแผนแล้ว”
เสนาบดีลิ่นพยักหน้า ยังไม่ต้องพูดถึงการสู้กันภายในหมู่องค์ชาย แม้แต่สิ่งที่ซิ่นหยางอ๋องทำล้วนสื่อให้เห็นว่าเขาไม่ได้สงบเสงี่ยมอย่างที่แสดงออกมา แต่กลับแอบก่อเรื่องอย่างเงียบๆ พิษร้ายเช่นนี้ย่อมต้องกำจัดออกก่อน!
มิเช่นนั้นพอถึงตอนนั้นศึกทั้งนอกทั้งในคงสร้างความวุ่นวายน่าดู
“แล้วเสวียนหมิงนี่เล่า” เสนาบดีลิ่นมองไปทางฉินหลิวซี จะปล่อยไปเช่นนี้หรือ
ฉินหลิวซีชี้ไปที่หน้าผากบนภาพวาด เอ่ยด้วยรอยยิ้มแต่งแต้มใบหน้า “ใครควรทำหน้าที่ไหนก็ทำหน้าที่นั้นไป จวนซิ่นหยางอ๋องโหดเหี้ยมอำมหิต เรื่องดึงลงจากอำนาจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องอาศัยเหล่าขุนนางผู้จงรักภักดีอย่างพวกท่านเปิดโปงและลงโทษ ส่วนเขาหรือ ในเมื่อเดินเส้นทางเดียวกัน ข้าย่อมต้องไปทักทาย ประชันฝีมือกันสักหน่อย เพราะในศาสตร์เต๋า หากไม่สู้ก็ต้องถอย!”
เสวียนหมิงที่เพิ่งหายใจได้คล่องคอ เจ้าอย่ามาเชียวนะ!