คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1098 เสวียนหมิง...รู้อยู่แล้วว่าการเผชิญหน้าครั้งนี้ต้องอันตราย
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 1098 เสวียนหมิง...รู้อยู่แล้วว่าการเผชิญหน้าครั้งนี้ต้องอันตราย
ตอนที่ 1098 เสวียนหมิง…รู้อยู่แล้วว่าการเผชิญหน้าครั้งนี้ต้องอันตราย
………………..
ในฐานะที่ถูกเคารพบูชากันมานาน เสวียนหมิงจึงออกจากฐานทัพใหญ่อย่างจวนซิ่นหยางอ๋อง พลันก็รู้สึกว่าตนน้ำเข้าสมองไปแล้ว เหตุใดเขาถึงจากมาเพื่อมารองรับความโกรธของคุณหนูใหญ่ผู้นี้
ตั้งครรภ์ก็ยังเป็นปัญหาของเขาหรือ ใครจะไปรู้ว่านางใช้ชีวิตไม่ระมัดระวังจนร่างกายเสื่อมโทรมนานแล้วกันเล่า
พอตอนนี้ตั้งครรภ์ไม่ได้ก็มาอาละวาดใส่เขา เขาสามารถใช้วิชาอาคมทำให้นางตั้งครรภ์ได้หรือไร
อีกอย่างหลังจากหญิงผู้ใช้พิษตายไป เขาก็รู้สึกว่าทุกอย่างไม่ค่อยราบรื่น แม้แต่อาจารย์ของนางที่เป็นนักพรต พอมาตกอยู่ในมือของซืออี๋จวิ้นจู่ก็ต้องตาย ตอนนี้คงถึงคราวของเขาแล้ว!
เขาคงไม่ได้มีจุดจบเหมือนสองอาจารย์ศิษย์คู่นั้นกระมัง ผลสุดท้ายก็ต้องตายอย่างนั้นหรือ
หากเป็นเช่นนั้นจริงก็ถือว่าซืออี๋จวิ้นจู่เปรียบดั่งอสรพิษร้าย หากใครเข้าใกล้ก็ต้องตาย!
เสวียนหมิงยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี หากไม่ใช่เพราะศิษย์อาจารย์คู่นี้ทำเรื่องพัง เขาก็คงไม่มา สุดท้ายพอออกจากฐานทัพใหญ่อย่างจวนซิ่นหยางอ๋อง เขาก็รู้สึกว่าความราบรื่นที่มีก่อนหน้านี้พลันบิดเบี้ยวเปลี่ยนถ่ายแทนที่ด้วยความโชคร้าย กระทั่งถูกผลกรรมตีสะท้อนกลับอย่างต่อเนื่อง
เป็นไปได้อย่างไรกัน
เขาดูดซับเอาดวงชะตาดีๆ มาตั้งมากมาย เหตุใดจู่ๆ ถึงไม่ราบรื่นแล้วเล่า กระทั่งบาปกรรมในหลายปีมานี้ยังตอบสนอง คนผู้นั้นคือใครกันนะที่เคยขอให้เขาช่วยวางค่ายอาคมเพื่อเสริมดวงชะตาฮวงจุ้ย คนผู้นั้นแซ่ใดกันนะ ในเวลานี้ก็น่าจะยังใช้ชีวิตอยู่อย่างเป็นสุข แต่เขาจำไม่ได้แล้ว เหมือนจะปลูกต้นชาอะไรนั่นกระมัง
ยามนั้นเขามีความเข้าใจเรื่องการกระตุ้นโชคชะตาและการดำเนินชีวิตตามหลักห้าธาตุจนถึงจุดเปลี่ยนแปลงได้อย่างลึกซึ้งจึงอยากลองมือ ประจวบกับคนปลูกชาอะไรนั่นโผล่เข้ามาพอดี เมื่อสมัครใจกันทั้งสองฝ่าย ค่ายอาคมห้าธาตุการสร้างชีวิตใหม่จึงทำได้สำเร็จ จากนั้นเขาก็หลงใหลในศาสตร์ของการเสริมและหักล้างกันของธาตุทั้งห้าจนถึงขั้นหมกมุ่น
หลายปีมานี้เขาได้รับการเคารพบูชาจากจวนซิ่นหยางอ๋องและคว้าผลประโยชน์มาก็ไม่น้อย ไม่รู้ว่าค้นคว้าศาสตร์ค่ายอาคมห้าธาตุและอาวุธสังหารร้ายแรงได้มากมายเท่าไร ทุกอย่างไหลลื่นดุจสายน้ำ จนกระทั่งมาถึงตอนนี้
พอมาถึงจวนจวิ้นจู่ กลับต้องพลาดท่าเพราะเข็มหยินซาเล่มเล็กๆ
ที่แห่งนี้อาบด้วยยาพิษจริงๆ!
“ท่านปรมาจารย์ ท่านปรมาจารย์” ซืออี๋จวิ้นจู่ระเบิดอารมณ์ยกใหญ่ ใบหน้าที่จับจ้องเสวียนหมิงถมึงทึงลงเรื่อยๆ ทว่าภายในใจอดสะท้านเฮือกไม่ได้ คงไม่ได้ล่วงเกินเทพเซียนท่านนี้เข้ากระมัง
เสวียนหมิงมองนางด้วยสายตาเย็นชา
ใบหน้าของซืออี๋จวิ้นจู่บูดบึ้งเล็กน้อยก่อนจะฝืนยิ้ม เอ่ยว่า “ท่านปรมาจารย์ ใช่ว่าข้าอยากจะโมโหใส่ท่านปรมาจารย์ แต่ท่านดูเอาเถิด เดือนมงคลของครรภ์ครั้งนี้ใกล้ผ่านไปแล้ว ทว่าข้ากลับไร้วี่แวว ข้าเลยใจร้อนขึ้นมาถึงตวาดใส่ท่าน แต่ไม่ใช่เพราะความขัดเคืองแต่อย่างใด”
“ลำพังแค่เจ้าจะกล้าหรือ” เสวียนหมิงหัวเราะเสียงเย็นชา
“ย่อมมิกล้าอยู่แล้ว ข้าแค่กลัวว่าการคำนวณของท่านปรมาจารย์จะล้มเหลวถึงได้ร้อนใจ ท่านดูเอาเถิด” ซืออี๋จวิ้นจู่อดกลั้นต่ออารมณ์โกรธก่อนจะลูบท้องด้วยท่าทีน้อยเนื้อต่ำใจ
เสวียนหมิงแค่นเสียงหึทีแล้วเอ่ย “ข้าเคยเตือนจวิ้นจู่ก่อนแล้วว่าต้องบำเพ็ญตนรักษาอารมณ์ เพื่อเป็นมารดาแห่งบุตรผู้สูงศักดิ์และเตรียมการพร้อมอย่างดีที่สุด แต่เห็นได้ชัดว่าจวิ้นจู่กลับไม่เก็บคำพูดของข้าไปใส่ใจเลยสักนิด”
ซืออี๋จวิ้นจู่ขุ่นเคืองในใจ ขบคิดในใจว่าควรพูดเรื่องนี้ในเวลานี้หรือ มิควรแก้ปัญหาก่อนหรือ
“ข้าไม่ได้ละเลยจริงๆ” นางหาข้อแก้ตัว “ยาที่ช่วยในการตั้งครรภ์ข้าก็กินอยู่ เพียงแต่…”
ซืออี๋จวิ้นจู่เองก็รู้สึกประหลาดใจและน้อยเนื้อต่ำใจเช่นกัน แม้แต่ท่านหมอเองก็ยังบอกว่าร่างกายของนางไม่มีปัญหา แต่เหตุใดถึงไม่ตั้งครรภ์สักที
เสวียนหมิงหงุดหงิดใจสุดขีด คร้านจะเสียเวลาอีกต่อไปแล้วเอ่ยว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเสี่ยง ข้ามีวิธีหนึ่ง แต่ผลกรรมรุนแรง ดูว่าจวิ้นจู่จะเต็มใจรับไว้หรือไม่”
ซืออวี๋จวิ้นจู่แววตาสั่นไหว “สิ่งใดหรือ”
“สร้างค่ายอาคมห้าธาตุเพื่อเร่งการตั้งครรภ์ ใช้อายุขัยบูชาเพื่อหยิบยืมโชคลาภ จากนั้นดื่มเลือดห้าธาตุจากครรภ์มารดา แล้วมีเพศสัมพันธ์กับชายในค่ายอาคม หากสำเร็จจะโชคดีตั้งครรภ์ แต่หากไม่สำเร็จจะทำให้จวิ้นจู่อายุขัยสั้นลงและยังต้องเผชิญกับผลกรรมที่สะท้อนตีกลับด้วย”
“นี่ออกจะเกินไปแล้ว อายุขัยสั้นลงแต่กลับไม่สำเร็จ นี่มันจะเรียกว่าหยิบยืมโชคลาภได้อย่างไร” ซืออี๋จวิ้นจู่กรีดร้อง ช่างเป็นการแลกเปลี่ยนที่ขาดทุนนัก!
เสวียนหมิงเอ่ยเสียงเย็นชา “โชคลาภขอหยิบยืมได้ แต่หากร่างกายของท่านไร้ซึ่งบารมีแล้วไซร้ สวรรค์ก็คงอับจนหนทาง!”
บอกคำเดียวว่าหากตัวเจ้าไร้ประโยชน์จะโทษสวรรค์หรือ เช่นนั้นเหตุใดเจ้าไม่ขึ้นฟ้าไปเลยเล่า!
ซืออี๋จวิ้นจู่ถูกยั่วโมโหจนหน้าแดงก่ำ นี่คนกันเองหรือเปล่านะ
“เช่นนั้นความเป็นไปได้ที่จะสำเร็จมีเท่าไรหรือ” นางเอ่ยถามเสียงอ่อน
เสวียนหมิงเองก็ปลิ้นปล้อน เอ่ยว่า “อยู่ที่ว่าร่างกายของจวิ้นจู่จะดีพอหรือไม่”
ซืออี๋จวิ้นจู่สำลักอีกรอบ คิดในใจว่าสู้เจ้าไม่บอกข้าเสียยังดีกว่า!
เสวียนหมิงเห็นท่าทีกระหายแต่กลัวตายของนางเช่นนั้นก็เอ่ยเสียงเรียบ “ความจริงจวิ้นจู่ไม่ต้องฝืนใจก็ได้ เดิมทีใช่ว่าเรื่องตั้งครรภ์บุตรผู้สูงศักดิ์จะฝากความหวังไว้ที่จวิ้นจู่เสียทั้งหมด ทางท่านอ๋องมีคนทำสำเร็จแล้ว เพียงแต่จะมีอายุครบเดือนหรือไม่คงต้องดูที่ดวงชะตาของนาง”
การให้กำเนิดบุตรผู้สูงศักดิ์ใช่ว่าจะเป็นเรื่องง่าย เดิมทีเป็นเรื่องของวิชาอาคมในด้านมืดที่ผิดต่อธรรมชาติ หากจะมีอายุให้ครบหนึ่งเดือนต้องมีโชคชะตาที่ดีขั้นสุด ดังนั้นจะฝากความหวังไว้กับแค่คนๆ เดียวได้อย่างไร ย่อมเหมือนการปลูกต้นถั่ว หากปลูกมากหน่อย ต้นกล้าต้นใดงอกเงยขึ้นเป็นต้นไม้ เช่นนั้นถึงจะสำเร็จอย่างแท้จริง!
ดังนั้นซืออี๋จวิ้นจู่จึงไม่จำเป็นต้องพยายาม
ทว่าซืออี๋จวิ้นจู่กลับนิ่งไป มารดาแห่งบุตรผู้สูงศักดิ์กับจวิ้นจู่คนหนึ่ง ใครจะสูงศักดิ์และถูกให้ความสำคัญมากกว่ากันแค่คิดก็รู้แล้ว แต่หากอายุขัยสั้นลง ต่อให้นางกลายเป็นมารดาแห่งบุตรผู้สูงศักดิ์แล้วอย่างไรเล่า
“ไม่มีวิธีที่เหมาะสมกว่านี้แล้วหรือ” นางมุ่นคิ้วเอ่ยถาม
เสวียนหมิงเอ่ยด้วยท่าทีที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “จวิ้นจู่ มีเรื่องใดที่ได้มาเฉยๆ โดยไม่ต้องออกแรงบ้างเล่า หากจวิ้นจู่ดวงชะตาไม่สูงพอก็คงเลือกไม่ได้ อ้อ แม่นางห้าก็คือคนที่ทำสำเร็จ”
ซืออี๋จวิ้นจู่รูม่านตาหดลง ตวาดด้วยความโมโห “ลำพังแค่อนุมีสิทธิ์อะไร!”
“มีสิทธิ์ที่ว่านางมีดาวหงส์หนุนนำดวงชะตา ซึ่งไม่ด้อยไปกว่าคนที่มีห้าธาตุอันครบถ้วนอย่างจวิ้นจู่เลย” เสวียนหมิงเอ่ย “หากไม่ใช่เพราะจวิ้นจู่เกิดมามีห้าธาตุครบ เมฆหลากสีจับตัวอยู่เหนือตำหนัก ท่านอ๋องจะให้ความสนใจท่านได้อย่างไร” เสวียนหมิงยิ้มกล่าว “จวิ้นจู่ควรยินดีที่ตนมีบรรดาศักดิ์สูงพอ มิเช่นนั้น…”
ซืออี๋จวิ้นจู่ร่างสั่น
เสวียนหมิงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “จวิ้นจู่รีบตัดสินใจ ทางฝั่งฮองเฮามู่มีนักพรตหญิงเก่งๆ ซึ่งบัดนี้กำลังควานหาตัวข้าไปทุกที่ ข้าต้องรีบไปจากที่นี่ ส่วนเรื่องภาพที่ขาดหายไป ข้าคงต้องไปตามหา”
เขาไม่มีเวลามาเอาอกเอาใจจวิ้นจู่ที่เอาแต่ใจอย่างนางหรอก
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คืออยู่เมืองหลวงกลับรู้สึกโหวงเหวง เหมือนถูกอสูรร้ายจับจ้องอยู่ก็มิปาน แถมพร้อมจะถูกกัดขย้ำกลายเป็นชิ้นเนื้อก้อนโตได้ทุกเมื่อ
ดังนั้นเขาต้องรีบจากไปให้เร็วที่สุด หากไม่ใช่เพราะถูกซืออี๋จวิ้นจู่จับจ้อง เขาคงหนีไปนานแล้ว
“ข้าขอคิดก่อน ขอคิดดูก่อน” ซืออี๋จวิ้นจู่ทำตัวไม่ถูก เดินไปๆ กลับๆ อยู่หลายรอบแล้วเอ่ยว่า “ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้แล้วหรือ”
เสวียนหมิงส่ายหน้า
ซืออี๋จวิ้นจู่กัดฟันพลางเอ่ย “ได้ ข้าตอบตกลง”
เสวียนหมิงพยักหน้า ขณะที่สั่งให้ไปเตรียมของก็มีคนวิ่งมาด้วยท่าทีตื่นตระหนกอย่างทำอะไรไม่ถูก “ทูลจวิ้นจู่ แย่แล้ว อนุซ่งมีเลือดออกขอรับ”
ซืออี๋จวิ้นจู่สีหน้าเปลี่ยนยกใหญ่ เอ่ยตำหนิว่า “ทำตัวไร้ประโยชน์ ดูกันอย่างไร ยังไม่รีบไปเชิญท่านหมอของจวนมาอีก แล้วไปเชิญตัวหมอหลวงนอกจวนมาด้วย”
“ไม่ต้องแล้ว” เสวียนหมิงคำนวณดูก่อนมุ่นคิ้วเอ่ย “เกรงว่านางคงถูกผลตีสะท้อนกลับ รอช้าไม่ได้ต้องรีบผ่าเอาออกเลย ข้าจะรีบสร้างค่ายอาคม จวิ้นจู่เตรียมพร้อมเถิดขอรับ”
ซืออี๋จวิ้นจู่หน้าซีด รีบ…ต้องรีบขนาดนี้เลยหรือ
นางยังไม่ทันคิดดีๆ เลย!
…
ความมืดคืบคลานเข้ามา ท้องฟ้ามีหิมะตกโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง
ฉินหลิวซียืนอยู่ด้านนอกจวนของซืออี๋จวิ้นจู่ ก่อนมองไปทางเรือนหลัก พลันสายตาก็ขรึมลง
นางใช้ปลายเท้าเตะพื้นก่อนจะพุ่งตัวขึ้นที่สูงแล้วกวาดตามองอย่างละเอียด
นางไม่ได้มองผิดไป ทางฝั่งเรือนหลักมีพลังโชคชะตาไหลทะลักออกมาไม่ขาดสาย เห็นทีมีคนกำลังสร้างค่ายอาคมเพื่อช่วงชิงพลังโชคชะตาดีๆ จากที่อื่นมา คิดจะทำอะไรกัน
“อ๊าก!”
เสียงกรีดร้องแสบแก้วหูดังสะท้อนไปทั่วท้องฟ้าในยามค่ำคืน
จากนั้นก็เห็นว่าภายในห้องมีสตรีร่างกำยำสองสามคนยืนรายล้อมอยู่ตรงหน้าเตียงกำลังกดมือเท้าของคนบนเตียงไว้ พร้อมทั้งหญิงชราที่เผยสีหน้าเย็นชาแฝงพลังชั่วร้ายกำลังผ่าท้องคว้านเอาตัวทารกขนาดจิ๋วออกมา ก่อนจะวางลงในหีบหยกที่บ่าวชราถืออยู่ด้านข้าง
ฉินหลิวซีรูม่านตาหดลงเล็กน้อย
จากนั้นก็มองสตรีที่หายใจรวยรินอยู่บนเตียง นางคือซ่งจือเหลียนคนที่ตนเคยเตือนไปก่อนหน้านี้มิใช่หรือ นางในเวลานี้มีมวลพลังชั่วร้ายแผ่ขยาย รังสีความตายแผ่ปกคลุม มีแรงอาฆาตจากร่างของนางและทารกอ่อนในหีบหยกเชื่อมเข้าด้วยกัน
นี่เป็นเพราะผลกรรมสะท้อนตีกลับอย่างนั้นหรือ
เหมือนดั่งที่ตนเคยกล่าวไว้ว่าเด็กคนนี้ก็คือยันต์เร่งเอาชีวิตของนาง!
ฉินหลิวซีถอนหายใจที มองดวงวิญญาณของซ่งจือเหลียนลอยออกจากร่างพลางมองตนเองบนเตียงแน่นิ่ง กระทั่งได้ยินหญิงชราผู้นั้นกล่าวว่า “รีบส่งตัวไปให้จวิ้นจู่”
บ่าวชรารีบถือหีบเร่งฝีเท้าเดินไปหา
ซ่งจือเหลียนดึงสติกลับมาก่อนจะรีบไล่ตามไป ขณะที่เดินผ่านฉินหลิวซีก็หยุดฝีเท้าลงก่อนจ้องนางครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็มีแรงอาฆาตแผ่ซ่านมาปะทะตัวนาง
ฉินหลิวซี “…”
ไม่สิ ข้าแค่เดินผ่านมาเท่านั้น เหตุใดเจ้าต้องทำท่าทีเช่นนี้ใส่ข้าด้วย
“เพราะเจ้า ทั้งๆ ที่เจ้ารู้ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้นกับข้า เหตุใดถึงไม่ยอมช่วยข้า เจ้าเป็นนักพรตมิใช่หรือ เป็นปรมาจารย์มิใช่หรือ” ซ่งจือเหลียนเผยสีหน้าดุดัน
ถึงแม้จะเป็นผีมาไม่นาน แต่แรงอาฆาตกลับมีมากพอ อีกทั้งมีพลังดวงวิญญาณอยู่บ้าง
แต่ก็เท่านั้น
ฉินหลิวซีเหวี่ยงฝ่ามือฟาดใส่ที “ข้าก็ให้เกียรติเจ้าแล้วมิใช่หรือ แค้นใครก็ไปเอาคืนกับคนนั้นเข้าใจหรือไม่ มายุ่งกับข้าทำไม ”
ร่างผีซ่งจือเหลียนถูกเหวี่ยงออกไป ขณะนั้นนางก็ส่งเสียงร้องโหยหวน ครั้นเห็นฝ่ามือของฉินหลิวซีเป็นของจริง นางจึงไม่กล้าเข้าไปใกล้ก่อนจะรีบหนีไป
แค้นใครก็ไปเอาคืนกับคนนั้น นางต้องไปหาซืออี๋ต่างหาก!
คนตัวเป็นๆ ช่วยไม่ได้ แต่ดวงวิญญาณยังพอช่วยได้บ้าง
ฉินหลิวซีรีบไล่ตามไป
คนในห้องต่างมองหน้ากัน เอ่ยเสียงสั่นเครือ “เมื่อครู่พวกเจ้ารู้สึกหนาวๆ หรือไม่”
“เลิกพูดได้แล้ว รีบเก็บของดีกว่า!” มีคนเอ่ยตอบเสียงสั่นเช่นกัน
ในขณะเดียวกันเสวียนหมิงก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีนัก ก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้าอันมืดมิด พร้อมใช้เรียวนิ้วนับคำนวณ พลันก็เผยสีหน้าย่ำแย่ถึงขีดสุด
อันตรายครั้งใหญ่! อันตรายครั้งใหญ่!
เหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ อันตรายครั้งนี้แฝงอยู่ในค่ายอาคมหรือจากที่อื่นกันแน่
เสวียนหมิงหงุดหงิดใจสุดขีด ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้าดังแว่วมาจึงมองไป จากนั้นก็เห็นบ่าวชราถือหีบหยกพร้อมเร่งฝีเท้าเดินมา แต่กลับแฝงไปด้วยแรงพยาบาทอาฆาต รวมถึงไอหยิน
“ฟ้าดินชัดกระจ่าง แสงสว่างในความมืดมิด เปิดดวงตาอาคมของข้าให้ชัดแจ้ง เจ้าลัทธิผู้สูงสุดโปรดเร่งคำบัญชา สั่งการ!” เสวียนหมิงขยับเรียวนิ้วปล่อยพลังอาคมพาดผ่านสองดวงตาของตน
พอหนังตาร้อนผ่าว เขาก็เปิดดวงตาขึ้น จากนั้นก็เห็นดวงวิญญาณของซ่งจือเหลียนเดินตามหลังบ่าวชราผู้นั้นมาจริงๆ
“เวรเอ๊ย!” ชั่วขณะนั้นเสวียนหมิงก็เข้าใจทันทีว่าซ่งจือเหลียนหมายทำสิ่งใด เขาหยิบดาบเหรียญทองแดงขึ้นมาปัดป่าย “กล้าก่อเรื่องต่อหน้าข้าหรือ”
ซ่งจือเหลียนได้ยินฝีดาบเหรียญทองแดงปะทะร่าง ถึงแม้จะดังไม่กี่ครั้ง ทว่ากลับเหมือนเสียงกลองตีดังระรัว พลันก็รู้สึกดวงวิญญาณเจ็บปวดจนต้องส่งเสียงร้องโอดครวญแล้วหมุนตัวหมายหนีเอาตัวรอด
สองเรียวนิ้วของเสวียนหมิงปาดลงบนดาบ ปากท่องบทสาปแช่งสังหารดวงวิญญาณ “เจ้าลัทธิผู้สูงสุดโปรดสอนข้ากำจัดผี ประทานศาสตร์วิชาทวยเทพ ยามที่ข้าร้องเรียกเทพธิดา เพื่อดูดซับความโชคร้าย…ไม่ว่าดวงวิญญาณใดล้วนยอมจำนน ผีตนใดกล้าต่อต้าน โปรดเร่งบัญชา! ”
ดาบมีแสงทองประกายวิบวับพร้อมสั่นไหวครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะเหวี่ยงใส่ซ่งจือเหลียน
“เมื่อมีโอกาสให้อภัยคนก็ควรให้อภัย ตอนนี้นางตายไปแล้ว แม้ไม่ให้อภัยคนก็ควรจะให้อภัยผีบ้าง ผีตนนี้ไม่ได้ฆ่าใคร แต่เจ้ากลับฝืนจะฆ่ามัน แบบนี้ทำเกินไปแล้ว!” เสียงคำรามดังขึ้น พร้อมมีวัตถุโผล่มาต้านดาบเหรียญทองแดงของเขาไว้
เสวียนหมิงรูม่านตาหดลง
เสียงนี้…
ฉินหลิวซีใช้ไม้จินกังฟาดใส่ดาบเหรียญทองแดง จากนั้นก็คว้าโซ่คล้องวิญญาณเกี่ยวดวงวิญญาณอันสั่นเทาของซ่งจือเหลียนมาแล้วยัดใส่ในแขนเสื้อ
เสวียนหมิงเห็นเช่นนั้นก็หัวใจหายวาบ หลังจากเห็นใบหน้าของฉินหลิวซีอย่างชัดเจนแล้ว เขาก็ไม่พูดให้มากความก่อนจะอัญเชิญค่ายอาคมสังหารห้าธาตุของตนมา
เดิมทีเรือนหลักแห่งนี้ถูกเขาสร้างค่ายอาคมห้าธาตุไว้แล้ว หากเวลานี้อัญเชิญค่ายอาคมสังหารห้าธาตุมาผนวกด้วยย่อมเหมือนเป็นการติดปีกให้เสือ[1] ภายในค่ายอาคมมีพลังหยินชั่วร้ายดุจพายุ ราวกับมีมีดนับไม่ถ้วนปกคลุมทั่วฟ้าดินพร้อมพุ่งกระหน่ำเข้าใส่ฉินหลิวซี
ต่อให้เห็นฉินหลิวซีอยู่ท่ามกลางค่ายอาคมสังหาร แต่เสวียนหมิงกลับไม่ได้กระหายอยากเอาชนะก่อนจะรีบหลบหนีไป
นักพรตหญิงตรงหน้าสามารถจัดการเขาได้ในระยะไกล ทำเอาเขาเสียเปรียบไม่น้อย หากปะทะกันซึ่งๆ หน้าคงเสียเปรียบมากกว่าแน่นอน
หากฝืนสู้ทั้งๆ ที่รู้ว่าสู้ไม่ไหว เช่นนั้นก็เหมือนรนหาที่ตาย เขาไม่ใช่คนโง่เสียเมื่อไร!
“ไปไหนเล่า”
เสวียนหมิงมองฉินหลิวซีที่ปรากฏตัวตรงหน้าเขาพร้อมกลืนน้ำลายลงคอ เหตุใดถึงไวนักเล่า
ฉินหลิวซีคิดในใจ แม้แต่ยกระดับค่ายอาคมขังเซียนอย่างไรนางยังจับจุดได้ นับประสาอะไรกับค่ายอาคมสังหารเล็กๆ เช่นนี้เล่า
นางส่งยิ้มให้เสวียนหมิงแล้วเอ่ย “หนีเอาตัวรอดยามเผชิญหน้ากันเป็นวิถีของผู้บำเพ็ญเสียเมื่อไร มาสู้กันดีกว่า!”
เสวียนหมิง แย่แล้ว หยิ่งผยองเสียด้วย!
แต่นี่ไม่ใช่เวลามายืนนิ่ง เขาเผยสีหน้าเคร่งขรึมก่อนจะหยิบกระดิ่งสามบริสุทธิ์โบราณออกมาจากเอว โดยที่ปลายด้ามเรียกว่า ‘ดาบ’ รูปทรงเหมือนตัว ‘山’ (ภูเขา) บนตัวกระดิ่งสลักอักขระลัทธิเต๋าที่สลับซับซ้อน เมื่อเขย่าจะส่งเสียงดังติ๊งๆ ชั้นคลื่นเสียงสั่นกระจายจนเทพผีสางต่างต้องพากันยำเกรง
ครั้นฉินหลิวซีเห็นกระดิ่งสามบริสุทธิ์นั้นสองดวงตาก็เป็นประกาย ที่แท้อาวุธของคนในวิถีมารก็ใช่ว่าจะชั่วร้ายเสมอไป หายากมากจริงๆ น่าเสียดายที่ไม่ได้แสดงอิทธิฤทธิ์มากมายยามอยู่ในมือของเขา ถือว่าเสียของดีโดยเปล่าประโยชน์
นางสะบัดไม้จินกังใส่เสวียนหมิง
หลังจากนางเหวี่ยงใส่ ภายในลานก็เริ่มปรากฏเมฆลมก่อตัว จากนั้นพลังเต๋าอันแข็งแกร่งก็ขยายเป็นวงกว้างแล้วปะทะเข้าใส่เสวียนหมิง
เสวียนหมิงถูกพลังเต๋าปะทะใส่จนรู้สึกเจ็บที่หน้าอก กระทั่งกระอักเลือดออกมาก่อนร่างจะกระเด็นลอยออกไป จากนั้นเขาก็มองไปยังนักพรตหญิงผู้นั้นด้วยสายตาหวาดกลัว
พลังอุดมการณ์เต๋า เพียงแค่นางเหวี่ยงสะบัดอย่างไม่ใส่ใจก็กระแทกร่างเขาจนกระเด็นแล้ว นั่นมันไม้จินกังอะไรกัน
ไม่สิ ต่อให้อาวุธจะยอดเยี่ยมมากเพียงใด แต่หากพลังบำเพ็ญต่ำย่อมสั่งการอาวุธได้ไม่มากนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องปล่อยอานุภาพร้ายแรงขนาดนี้เลย
ตกลงนางเป็นใครกันแน่
หากเฟิงซิวอยู่ตรงนี้ เกรงว่าคงแค่ถอนหายใจ ในเมื่อทุกคนต่างฝึกบำเพ็ญมาเหมือนกัน แต่เหตุใดบางคนกลับมีความสามารถมากกว่า!
เสวียนหมิงมองฉินหลิวซีที่เดินขยับเข้ามาใกล้ ในทุกๆ ฝีก้าว พลังเต๋านั้นกดข่มเขาจนหายใจไม่ออก เขากระอักเลือดออกมาเรื่อยๆ กระทั่งราวกับดวงวิญญาณถูกดึงทึ้งก็มิปาน
จบกัน อันตรายครั้งนี้ เดิมทีก็อยู่ตรงนี้นี่เอง!
[1] ติดปีกให้เสือ เป็นสำนวนหมายถึงเสริมพลังให้แกร่งขึ้น