คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1099 สารเลว ประสบกับตนเองอย่างลึกซึ้ง
ตอนที่ 1099 สารเลว ประสบกับตนเองอย่างลึกซึ้ง
………………..
อุดมการณ์เต๋าที่แข็งแกร่งปะทุขึ้นกลางลาน ดอกไม้ราคาสูงลิ่วในลานถูกฟาดฟันกระจัดกระจาย บ่าวชราที่ถือหีบหยกมานอนสลบไสลตรงระเบียงประตูนานแล้ว ส่วนในห้อง ครั้นซืออี๋จวิ้นจู่ที่สวมชุดคลุมอาบน้ำสีแดงสดนั่งคอยอยู่นานแล้วแต่ยังไม่เห็นใครโผล่มาสักที ทว่ากลับได้ยินเสียงดังมาจากด้านนอก สุดท้ายนางเลยตามออกไปดู
พอออกไปเห็นสภาพเละเทะในลาน เศษกระเบื้องแตกหัก ในลานสั่นสะเทือนราวกับเกิดเหตุแผ่นดินไหว นางจึงอดไม่ได้กรีดร้องขึ้นมาก่อนขาทั้งสองข้างจะอ่อนยวบพับลงกับพื้น
ซ่งจือเหลียนที่ถูกฉินหลิวซีคล้องโซ่ดวงวิญญาณเก็บยัดอยู่ในแขนเสื้อได้ยินเช่นนั้น แม้ในใจอยากจะปลิดชีวิตนางนั่นแทบขาด แต่กลับไม่กล้า
ด้วยอิทธิฤทธิ์ของฉินหลิวซีในเวลานี้ อานุภาพแกร่งกล้า หากโผล่ออกไปคงถูกพลังที่น่ากลัวนั่นบดขยี้กลายเป็นแป้ง ไม่ได้ไปผุดไปเกิดตลอดกาล
แก้แค้นกับความอยู่รอดย่อมต้องเลือกอย่างหลัง ถึงแม้ตนจะตายไปแล้ว แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าดวงวิญญาณสลายไปกระมัง
ซ่งจือเหลียนถูกลงกลอนโซ่ตรวน สงบเสงี่ยมดั่งไก่ในร่างอันสั่นเทา
ทว่าด้านนอก ดวงวิญญาณร่อนเร่บริเวณนั้นกลับหวาดกลัวจนหนีกันชุลมุนไปหมด หนีให้ไกลมากที่สุด เพื่อไม่ให้โดนลูกหลงตามไปด้วย
ทุกอณูบนร่างของเสวียนหมิงกำลังร้องเรียกให้เขาหนี หนีเจ้าบ้านี่ไปให้ไกล มิฉะนั้นชั่วชีวิตนี้คงมีชีวิตได้แค่นี้
ฉินหลิวซียืนอยู่ตรงหน้าเขา
ราวกับมีลูกเปลวไฟลุกโหมเป็นกลุ่มก้อน
เสวียนหมิงเบี่ยงหลบสายตาลุกเป็นไฟของนางตามสัญชาตญาณ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ย “สหาย ทุกคนล้วนเดินบนเส้นทางเดียวกัน ข้ากับเจ้าเองก็ไม่มีความแค้นต่อกันแต่อย่างใด เหตุใดเจ้าถึงต้องพุ่งเป้ามาที่ข้าด้วย”
“น่าไม่อาย ใครเดินเส้นทางเดียวกันกับเจ้า” ฉินหลิวซีถีบใส่เขา เอ่ยจากมุมที่สูงกว่า “ข้ามาจากเต๋าฝ่ายคุณธรรม แต่เจ้าอยู่ในวิถีมาร แต่ไหนแต่ไรมาสองวิถีนี้ไม่ถูกกัน เราจะเดินเส้นทางเดียวกันได้อย่างไร”
เสวียนหมิงโมโหสุดขีด ฝืนกลืนเลือดที่อัดแน่นอยู่ในทรวงอกกลืนลงคอไป สู้เรื่องวิชาอาคมก็สู้ไปสิ เหตุใดต้องลงไม้ลงมือกันด้วย
“ข้าไม่ได้เป็นฝ่ายไปหาเรื่องเจ้าเสียเมื่อไร!” เขาขบฟันพลางเอ่ยขึ้น
เสวียนหมิงนิ่งไป ข้าไปหาเรื่องคนบ้าอย่างเจ้าตั้งแต่เมื่อไร ข้าไม่ได้โง่เสียหน่อย!
“เจ้าแปะยันต์ติดตามไว้ที่ม้วนกระดาษแผ่นนั้น เจ้าคิดจะใช้วิธีบังคับข่มขู่หลอกล่อปลาตัวใหญ่อย่างข้า เพื่อตามหาภาพวาดอีกชิ้นหนึ่ง”
เสวียนหมิง “…”
อะไรนะ ภาพใบนั้นอยู่ที่นางหรือ มิน่า…มิน่าตอนที่เขาทำนายดวงชะตาถึงออกมาว่าเป็นอันตรายครั้งใหญ่ ที่แท้ก็อยู่ที่นางนี่เอง!
แด่ผู้เป็นเทพที่เคารพ นี่มันดาวหายนะจากไหนกันเอาแต่เจาะจงพุ่งเป้ามาทำร้ายเขาอยู่ได้
ไม่สิ ต่อให้เป็นเช่นนี้ เขาก็ยังไม่ทันได้ลงมือทำอะไรเลย
ขณะที่เสวียนหมิงหมายแก้ต่างก็ได้ยินนางเอ่ยขึ้นว่า “แถมเจ้ายังคิดใช้เข็มหยินซาทำร้ายข้าจากทางไกลด้วย!”
เปล่าเลย ข้าเปล่า ข้าแค่อยากรู้ว่าเจ้าเป็นใครก็เท่านั้น!
“ดูเหมือนชีวิตเจ้าจะเต็มไปด้วยอุปสรรค ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาตอนอยู่จวนซิ่นหยางอ๋องคงใช้ชีวิตอย่างราบรื่น เช่นนั้นสู้เจ้าบอกข้าว่าส่วนที่หายไปของภาพค่ายกลนั้นเอามาจากไหน เจ้าได้มันมาอย่างไร เจ้าใช้มันหลอกล่อตามหาอีกส่วนที่หายไปอยู่ใช่หรือไม่” ฉินหลิวซีโน้มตัวถาม
นางไม่ถามว่าเขาช่วยซิ่นหยางอ๋องต่อกรกับฮองเฮาเพราะต้องการสิ่งใด ให้กำเนิดบุตรผู้สูงศักดิ์เพื่ออะไร เพราะทุกอย่างล้วนแสดงให้เห็นถึงความใจเหี้ยมอำมหิตของซิ่นหยางอ๋องแล้ว เขาอยากกวนน้ำในราชสำนักให้ขุ่น จากนั้นก็ฉวยโอกาสก่อกบฏ
ดังนั้นนางจึงถามแค่เรื่องความเป็นมาของภาพส่วนที่หายไป
แววตาของเสวียนหมิงวาววับ เอ่ยขึ้นว่า “หากบอกเจ้าแล้วเจ้าจะปล่อยข้าไปหรือ”
“ไม่!”
เสวียนหมิงใบหน้าเขียวปั๊ด แล้วเหตุใดข้าต้องบอกด้วยเล่า
“เจ้าจะบอกหรือไม่ก็เรื่องของเจ้า เพราะม้วนที่เจ้าได้มาอยู่ในมือของข้าแล้ว ฉะนั้นเจ้าคิดจะเอาม้วนกระดาษแผ่นนี้ไปทำอะไรก็คงทำไม่ได้แล้ว” ฉินหลิวซีหัวเราะอย่างร้ายกาจ
เสวียนหมิงสบถด่าเสียงต่ำไปที สมองประมวลอย่างรวดเร็วคิดหาอุบายว่าเขาควรจะหนีออกไปจากที่นี่อย่างไร
“ว่ามา ม้วนภาพชิ้นนั้นเจ้าเอามาได้อย่างไร”
เสวียนหมิงแค่นเสียงใส่ โพล่งขึ้นว่า “มีหรือที่นักพรตจะไม่มีสมบัติดีๆ เก็บไว้เลย แน่นอนว่าต้องถูกสืบทอดมาจากสำนักของข้า…อุ๊บ”
เสวียนหมิงร้องอุทานก่อนจะหมุนตัวโผเข้าหา
วิ้ง
ฉินหลิวซีแค่สะบัดไม้จินกังในมือ พลังเต๋าที่หนาแน่นมากกว่าก็ปะทะเข้าใส่เขา ทำเอาดวงวิญญาณของเขาสั่นสะเทือนจนเลือดไหลซึมออกมาทั้งเจ็ดทวาร ส่วนกระดิ่งสามบริสุทธิ์กลับถูกนางคว้ามาอยู่ในมือ
“กระดิ่งสามบริสุทธิ์นี่อยู่ในมือของเจ้า ช่างน่าน้อยใจแทนมันนัก
ราวกับกระดิ่งสามบริสุทธิ์เข้าใจก็มิปาน ก่อนจะกระทบร่างส่งเสียงดังติ้งๆ เสียงกระดิ่งสะท้อนเสียงเหมือนน้อยเนื้อต่ำใจออกมา
ฉินหลิวซีตกใจอยู่บ้าง มองกระดิ่งสามบริสุทธิ์ในมือ นี่เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์หรือ
“เอาคืนมาให้ข้า!” เสวียนหมิงมองจนตาแทบถลน สร้างความอัปยศให้เขาแล้วยังมาแย่งอาวุธจากเขาไปอีกหรือ เป็นนักพรตวิถีเต๋าฝั่งธรรมะอย่างไรกัน หัวขโมยชัดๆ!
ฉินหลิวซีในค่ำคืนนี้กลับเหมือนเด็กน้อยดื้อรั้นร้ายกาจ ฉีกยิ้มพลางเอ่ยกับเขาว่า “ตระกูลลี่ที่ปลูกต้นชาอาศัยในเมืองฉางเฉิง สวนชานั้นสร้างค่ายอาคมห้าธาตุเพื่อกระตุ้นโชคชะตา โดยใช้เด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงที่สอดคล้องกับห้าธาตุหักลบและส่งเสริมกันมาฝังทั้งเป็น เป็นฝีมือของเจ้าใช่หรือไม่”
เสวียนหมิงหายใจติดขัด
นาง…นางมาจุ้นอีกแล้วหรือ
“ทั้งๆ ที่ใช้วัตถุห้าธาตุมาสร้างค่ายอาคมก็ได้ แต่เจ้าดันใช้คนตัวเป็นๆ อีกทั้งตอนนี้เจ้ายังทำร้ายเด็กทารกอ่อนเพียงเพื่อบุตรผู้สูงศักดิ์ห้าธาตุอะไรนั่น เจ้าช่างร้ายกาจอำมหิต เจ้าเป็นนักพรตพเนจรศึกษาหลักห้าธาตุไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่เหตุใดต้องใช้วิธีที่อำมหิตเช่นนี้ด้วย ใช้เด็กที่บริสุทธิ์มาเพิ่มพลังบำเพ็ญให้เจ้าหรือ” แววตาของฉินหลิวซีเย็นยะเยือก กำด้ามกระดิ่งสามบริสุทธิ์ เปลี่ยนโทนเสียงก่อนเอ่ยขึ้นว่า “กระดิ่งสามบริสุทธิ์นี้อยู่ในมือเจ้าก็เสียเปล่า สู้ข้าสอนเจ้าว่าเล่นอย่างไรดีกว่า”
อะไรนะ
ฉินหลิวซีนึกบางอย่างขึ้นได้ เอาพลังเต๋าผนวกขึ้นเป็นด้ามจับทำให้มีรูปทรงเหมือนดาบ เท้าหมุนหนึ่งก้าวและอีกหนึ่งก้าว ท่าทางช่างดูแปลกและซับซ้อน ในขณะที่มือก็สั่นกระดิ่งไปด้วย พร้อมท่องคาถาออกมาจากปากของนาง
เสวียนหมิงขึงตาโตด้วยความตกใจ นางบ้าไปแล้ว นางตั้งตนอยู่ในฝั่งธรรมะมิใช่หรือ เหตุใดถึงท่องบทสวดเรียกผีเสียได้
ครืน
พอเขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอันมืดมิด ก็ไม่รู้ว่าหิมะหยุดตกตั้งแต่เมื่อไร เมฆดำจับตัวลอยอยู่เหนือฟ้า ลมชั่วร้ายคำรามส่งเสียงดังทั่วทุกทิศ และหมุนเกลียวพัดกลางลานอย่างรุนแรง
หลังจากลมชั่วร้าย จู่ๆ ก็มีเสียงร่ำไห้เศร้าสลดของดวงวิญญาณดังตามมาติดๆ เสียงร้องโหยหวนเล็กแหลมราวกับปลายแท่งหิมะที่คมกริบ ชวนให้แสบแก้วหู ปวดศีรษะจนแทบระเบิด
ทุกครั้งที่แกว่งกระดิ่งสามบริสุทธิ์ เสียงกรีดร้องของดวงวิญญาณจะแหลมสูงขึ้นเรื่อยๆ เงาเลือนรางประเดประดังเข้ามาจากทุกสารทิศ รวมถึงหีบหยกในมือของบ่าวชราที่ล้มหมดสติตรงหน้าประตูก็เปิดออกเสียงดังพลั่ก ก่อนที่ดวงวิญญาณของเด็กทารกจะลอยออกมา ส่งเสียงร้องโหยหวนพลางโผเข้าหาเสวียนหมิงแล้วรายล้อมร่างของเขาไว้
ลมชั่วร้ายแห่งหายนะ เสวียนหมิงถูกเงาเลือนรางนับไม่ถ้วนล้อมวงกัดทึ้งจนเนื้อหนังถลอก กระทั่งกระดูกโผล่พ้นออกมา บวกกับถูกพลังชั่วร้ายกัดกร่อน ความหนาวแทรกเข้ากระดูกราวกับถูกดาบน้ำแข็งฟัน อวัยวะทุกส่วนฉีกขาดเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด
คนที่ประสบความรู้สึกเดียวกับเขาก็คือซืออี๋จวิ้นจู่ นางกรีดร้องโหยหวนด้วยความหวาดกลัว สองมือสองเท้าปัดป่ายพัลวัน กรีดร้องไล่ให้ออกไปราวกับคนบ้าคลั่ง
ฉินหลิวซีปิดกั้นพลังชั่วร้ายอยู่ตรงมุมลานด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง พลางจับจ้องพวกเสวียนหมิงด้วยท่าทีเย็นชา กระดิ่งสามบริสุทธิ์สามารถใช้งานขับไล่ปีศาจและป้องกันพลังชั่วร้ายได้ทั้งนั้น ส่วนจะใช้อย่างไรคงต้องอยู่กับผู้ใช้งาน
ในเมื่อเสวียนหมิงแบกหนี้กรรมไว้มากมาย เขาก็ควรซึมซับกับความสิ้นหวังและแรงอาฆาตของดวงวิญญาณผู้ตายดูบ้าง แบบนี้ถึงจะเรียกว่าประสบกับตนเองอย่างลึกซึ้ง