คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1100 ปะทะกันเป็นครั้งแรก
ตอนที่ 1100 ปะทะกันเป็นครั้งแรก
………………..
กลางลานกว้าง ลมชั่วร้ายพัดกระหน่ำ หมอกสีดำดุจหมึกปกคลุมไปทั่วเรือนเล็กแห่งนั้น
ฉินหลิวซีมองเสวียนหมิงราวสุนัขใกล้ตายกำลังคลานอยู่บนพื้นพลางร้องขอชีวิตจากเงาเลือนราง ซึ่งอาจจะไม่ใช่ดวงวิญญาณที่เขาเคยทำร้ายมาทั้งหมด ทว่าทารกน้อยตัวน้อยเหล่านั้นกลับตายด้วยน้ำมือของเขา กระทั่งพวกเขากลายเป็นผีไม่ได้ จึงอาศัยได้แค่แรงอาฆาตรายล้อมรอบกายเขาเท่านั้น
ทันใดนั้นฉินหลิวซีก็ขนลุกชัน สองดวงตาคมกริบมองท้องฟ้ามืดมิดอันว่างเปล่า ความว่างเปล่านั้นปรากฏฝ่ามือขนาดมหึมาข้างหนึ่ง ลักษณะเหมือนฝ่ามือของพระพุทธเจ้าที่นางเคยเห็นตามวัดวาอารามต่างๆ
ฝ่ามือยักษ์นั้นแฝงไปด้วยกลิ่นอายเข้มข้นก่อนฟาดลงมาทางนาง
ขณะที่ฉินหลิวซีเบี่ยงหลบ นางก็ฟาดฟันไม้จินกังใส่ฝ่ามือยักษ์นั้นด้วย แสงสีทองเปล่งประกายท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืนพร้อมอักขระเต๋า เจ้าหน้าที่ที่กำลังลาดตระเวนบังเอิญเงยหน้าเห็นพอดีจึงหยุดชะงัก ก่อนจะคุกเข่าลงพื้นพร้อมท่องว่าอมิตาภพุทธ
ท้องฟ้าว่างเปล่ากลางลานกว้างปรากฏอักขระปะทะเข้าใส่ฝ่ามือยักษ์ข้างนั้น ทว่าฝ่ามือยักษ์นั้นกลับชะงักเพียงเล็กน้อยก่อนจะพุ่งเข้ามาหานางเหมือนเคย
ตู้ม
เรือนหลักข้าวของกระจัดกระจาย
ฉินหลิวซีสีหน้าขรึมลง จากนั้นก็ล้วงหยิบกระจกดูดวิญญาณเฉียนคุนที่ยังไม่ได้รับการซ่อมแซมออกมาจากอก และเป็นไปตามคาดเพราะแผ่นกระจกสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
สองแววตาของนางเย็นยะเยือกยิ่งกว่าหิมะ พร้อมปล่อยพลังเต๋าใส่กระจกแล้วยิงไปทางฝ่ามือยักษ์นั้น
ฝ่ามือยักษ์หดกลับไปก่อนจะง้างเหวี่ยง
พลั่ก
ฉินหลิวซีกระอักเลือดสดออกมาแต่ก็ยังลอยตัวปะทะเข้าหาฝ่ามือยักษ์นั้น ในขณะเดียวกันนางก็ใส่พลังเต๋าเข้าไปในไม้จินกังด้วย สองมือบีบประสานแน่นก่อนจะฟันลงบนฝ่ามือยักษ์
“เหอะๆ”
“เด็กน้อย” ราวกับเสียงนั้นกล่าวเช่นนี้
ฉินหลิวซีแสยะยิ้ม ไม้จินกังที่มีพลังเต๋าที่แกร่งกล้าและทรงพลังแทงเข้าฝ่ามือยักษ์นั้นโดยตรง
ฝ่ามือยักษ์เหวี่ยงออกไปแล้วหมุนติ้ว
พลังหยินภายในลานกว้างโหมซัดมาทางนางราวกับพายุก็มิปาน
พลันพลังหยินก็เข้าสู่ร่างกาย
ฉินหลิวซีใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำค้างแข็ง แม้แต่ขนตายังจับตัวเป็นก้อน ชั่วขณะนั้นลมหายใจก็ยังเย็นเฉียบ
แต่นางกลับไม่มีเวลามาสนใจเรื่องเหล่านี้ ไม่รู้ว่าฉุกคิดเรื่องใดได้ นางรีบมองไปยังตำแหน่งเสวียนหมิงก่อนหน้านี้ แต่กลับมีเพียงความว่างเปล่า
เวรเอ๊ย ตกหลุมพรางแล้ว!
เสียงหัวเราะลำพองใจอย่างเห็นได้ชัดดังขึ้นท่ามกลางความมืด
ฉินหลิวซีมองไปยังทิศทางของเสียงนั้นที่หายไป ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันโพล่งชื่อหนึ่งออกมา “ซื่อหลัว!”
ใช่แล้ว เงาฝ่ามือยักษ์เลือนรางข้างนั้นก่อตัวขึ้นจากกลิ่นอายของซื่อหลัว ถึงแม้จะทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ แต่นี่เป็นการปะทะกันระหว่างพวกเขาเป็นครั้งแรก เขาแค่ส่งรอยประทับฝ่ามือมาจากทางไกล แต่นางกลับตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบแล้ว
ไอ้คนชั่วที่ดีแต่ซ่อนตัว!
ฉินหลิวซีมองหมอกหนาดำทึบคลี่คลายก่อนจะปรากฏภาพท้องฟ้ายามค่ำคืนที่แท้จริง นางสัมผัสได้ถึงพลังหยินที่โหมซัดปั่นป่วนในร่างกายราวกับต้องการระบายความแค้นออกมา นางใช้ไฟอเวจีไหลเวียนในกายรอบหนึ่ง เหมือนพลังหยินเผชิญกับศัตรูตัวฉกาจ ก่อนจะหนีหายจากร่างของนางไปชั่วพริบตา
เมื่อสัมผัสถึงไออุ่นในร่างกาย นางถึงมองไปทางลานของเรือนหลัก ซึ่งกลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว ซืออี๋จวิ้นจู่เองก็นอนหมดสติอยู่บนพื้น เวลานี้มีคนแห่เข้ามาจากทั่วทุกสารทิศ
ฉินหลิวซีมองกระจกดูดวิญญาณเฉียนคุนที่แตกหักออกเป็นสองส่วน มืดมิดไร้แสงสว่าง สูญเสียการใช้งานไปอย่างสิ้นเชิง
“เหตุใดถึงเปราะบางขนาดนี้” ฉินหลิวซีปวดใจสุดขีด ลูบคลำกระจกดูดวิญญาณราวกับสูญเสียบุตรไป
อ๊าก โกรธแล้วนะ!
อาวุธฆ่ามารปีศาจเช่นนี้ นางต้องเก็บไว้อยู่แล้ว!
ว่าแต่เหตุใดซื่อหลัวถึงต้องแผ่กลิ่นอายแสดงตัวด้วยเล่า เพื่อพาตัวเสวียนหมิงไปอย่างนั้นหรือ เจ้านั่นมีความสำคัญอะไรกัน
ฉินหลิวซีขมวดสองคิ้วมุ่น รู้สึกเจ็บแน่นที่ทรวงอก ซึ่งเป็นบาดแผลภายในจากฝ่ามือยักษ์ที่เหวี่ยงฟาดลงมา อาศัยเพียงรอยฝ่ามือนี้ก็สร้างบาดแผลให้นางได้แล้ว หากประชันกันซึ่งๆ หน้าจะเป็นอย่างไรกัน
สีหน้าของนางขรึมลงโดยไม่คิดสนใจสภาพข้าวของกระจัดกระจายที่นี่แม้แต่น้อย ก่อนที่คนแรกจะวิ่งมาถึงนางก็หายตัววาบไปแล้ว
นางย่อมไร้ซึ่งความรู้สึกผิดต่อจวนคนเลว นั่นเป็นฝีมือของซื่อหลัวกับเสวียนหมิงต่างหาก!
ส่วนความเป็นความตายของซืออี๋ยิ่งไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับนาง หากซิ่นหยางอ๋องล้ม ซืออี๋ก็ต้องล้ม รอวันถูกล้มอำนาจก็แล้วกัน
…
พลั่ก
เสวียนหมิงถูกเหวี่ยงร่างลงตรงหน้าหลุมศพราวกับผ้าที่ขาดวิ่น เขากระอักเลือดออกมาก่อนมองรอบทิศที่วังเวงด้วยความหวาดกลัว
ใคร ใครพาเขามาที่นี่กัน
เอี๊ยดๆ
มีเสียงฝีเท้าย่ำลงบนพื้นหิมะเบาหวิว ทว่าเสวียนหมิงกลับใจเต้นตึกตักดั่งเสียงตีกลอง รู้สึกหายใจไม่ออกเหมือนมีมารร้ายมาเหยียบย่ำหัวใจเขาก็มิปาน
นี่มันรุนแรงกว่านักพรตหญิงเมื่อครู่นี้อีก
เอ๊ะ
ขณะที่เขาเอนตัวไปด้านหลัง เบื้องหน้าก็ปรากฏเงาดำหนึ่งขึ้น เขาจึงเงยหน้าขึ้นตามสัญชาตญาณ เพียงแวบเดียวเขาก็รู้สึกว่าสองตาปวดแสบปวดร้อนพร้อมร่างที่สั่นสะท้านเฮือก
“จะยอมศิโรราบต่อข้าหรือตาย!” เสียงของเงาดำเย็นยะเยือกดุจก้อนน้ำค้างแข็ง ซึ่งก็คือเสียงของซื่อหลัวที่ฉินหลิวซีได้ยินนั่นเอง
เสวียนหมิงเอ่ยเสียงตะกุกตะกัด “ข้ายอม ข้ายอมจำนนต่อท่าน”
“ดีมาก!” มือของซื่อหลัวกดลงบนศีรษะของเขาแล้วเอ่ยว่า “ด่านแรกในการเป็นทาสของข้าก็คือเฝ้าดูแลค่ายอาคมนี้ไว้ให้ดี อย่าให้ใครทำลายได้เป็นอันขาด”
เสวียนหมิงไม่กล้าแม้แต่จะขยับ กระทั่งไม่กล้าหลบมือข้างนั้น แต่ราวกับสมองรู้แจ้งในปัญญา มีบางอย่างเพิ่มเข้ามาให้ความรู้สึกลึกลับอย่างมาก
เหมือนแรงอาฆาตชั่วร้ายที่ได้รับก่อนหน้านี้ลดฮวบลงเกินครึ่ง
เขารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เอ่ยด้วยความศรัทธาที่มีมากขึ้นกว่าเดิม “ศิษย์น้อมรับคำสั่ง เพียงแต่จะให้เรียกท่านว่า…”
ซื่อหลัวฉีกยิ้ม “พวกเขาเรียกข้าว่าเทพผู้ศักดิ์สิทธิ์”
เขาหมุนตัวเดินจากไป เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ในฐานะผู้เฝ้าค่ายอาคม หากค่ายอาคมยังอยู่ คนก็จะยังอยู่ แต่หากค่ายอาคมถูกทำลายเจ้าก็ต้องตาย”
เสวียนหมิงร่างแข็งทื่อก่อนตอบกลับอย่างนอบน้อม “ขอรับ”
คนผู้นั้นเดินไปไกล ทว่ามีเสียงทุ้มต่ำพึมพำดังลอยมาตามลมว่า “เจ้าหนูยังมีความสามารถอยู่บ้างเหมือนแมวป่า ปลายเล็บช่างแหลมคมนัก เหอะ”
จากนั้นทุกสรรพสิ่งก็ตกอยู่ในความเงียบ
เสวียนหมิงฟังเสียงหัวใจของตนที่เต้นระรัว ร่างร่วงพับลงพื้น พอนึกถึงปัญญารู้แจ้งเมื่อครู่ เขาก็รีบนั่งสมาธิแล้วเริ่มเดินโคจรลมปราณแบบมหาจักรวาล เพื่อให้ลมปราณไหลเวียนในร่างกาย
ท้องฟ้ามืดมิดจากไป ท้องฟ้าสว่างไสวมาเยือน
เสวียนหมิงลืมตาขึ้น กางมือทั้งสองข้างด้วยความพึงพอใจก่อนลุกขึ้น ทว่าชั่วพริบตาเดียวใบหน้าของเขาก็ขรึมลง
กระดิ่งสามบริสุทธิ์ถูกนางหัวขโมยนั่นแย่งไปแล้ว!
ถุย ยังมีหน้ามาบอกว่าเดินสายธรรมะอีก!
เสวียนหมิงสัมผัสได้ถึงพลังในร่างกาย เกิดอารมณ์วู่วามอยากไปสะสางบัญชีกับฉินหลิวซีเพื่อช่วงชิงกระดิ่งสามบริสุทธิ์กลับคืนมา แต่พอนึกถึงคนผู้นั้นร่างก็สั่นสะท้าน
คนเฝ้าค่ายอาคม
ใช่แล้ว ตอนนี้เขาเป็นคนเฝ้าค่ายอาคม จะหนีหายไปโดยพลการไม่ได้ มิเช่นนั้นด้วยพลังของเทพผู้ศักดิ์สิทธิ์ ลำพังแค่นิ้วโป้งก็คงสังหารตนทิ้งได้แล้วกระมัง
เสวียนหมิงกลืนน้ำลาย ครั้นนึกถึงค่ายอาคมที่เขาเอ่ยถึง ว่าแต่ค่ายอาคมอะไรหรือ
เขากวาดตามองรอบทิศด้วยสีหน้าประหลาดใจ ก่อนจะเดินขึ้นไปในที่สูงแล้วมองลงมาข้างล่าง ครั้นใช้เรียวนิ้วลองคำนวณดูแล้ว รูม่านตาก็หดตัว
เบื้องหน้าเป็นสุสานทั้งแถบ ซึ่งฮวงจุ้ยดีมากทีเดียว พลังห้าธาตุไหลเวียนอย่างต่อเนื่อง ไม่สิ ไม่ใช่แค่ห้าธาตุ แต่เป็นพลังแห่งโชคลาภ โชคลาภมหามงคลพรั่งพรูไปยังทิศทางหนึ่งไม่ขาดสาย
เขามองไปยังทิศทางนั้น ซึ่งเป็นตำแหน่งตะวันตก ทะลุผ่านชั้นเมฆหมอกราวกับมีกรวยวางกลับด้านกำลังดูดซับโชคลาภนี้เข้าไปอย่างต่อเนื่อง
ค่ายอาคมนี้…
ตึกๆ
เสวียนหมิงได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นโครมครามของตนเองพลางอดกำหมัดแน่นไม่ได้ เขาลากขาที่แข็งทื่อเดินไปหยุดอยู่หน้าหลุมฝังศพ แล้วมองแซ่บนป้ายหลุมศพที่เขียนว่าบุรุษเซี่ย