คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1101 นางก็คือฉินหลิวซีมาโดยตลอด
………………..
เสียงในจวนซืออี๋จวิ้นจู่ถือว่าไม่เบา ครั้นฉินหลิวซีนึกถึงการตายของซ่งจือเหลียนและแผนการของจวนซิ่นหยางอ๋อง นอกจากจะไม่ปกปิด แต่ยังส่งจดหมายไปให้ทั้งเสนาบดีลิ่นและเฉิงเอินโหวด้วย
เสวียนหมิงเป็นคนที่จวนซิ่นหยางอ๋องเลื่อมใสบูชา ใช้อาคมด้านมืดทำร้ายฮองเฮา ถึงแม้เสวียนหมิงจะหนีไปแล้ว แต่จะยัดข้อหานี้ให้จวนซิ่นหยางอ๋องอย่างไร ดูท่าพวกเขาคงต้องคิดหาวิธี อีกทั้งการตายอย่างน่าสังเวชของซ่งจือเหลียน เรื่องนี้สามารถเอามาเป็นข้ออ้างได้
ตระกูลลิ่นและตระกูลจั่วแต่งงานเกี่ยวดองกัน บุตรของพวกเขาสองตระกูลต่างเกือบตายในมือนางอสรพิษร้ายอย่างซืออี๋จวิ้นจู่ ในเมื่อตอนนี้จับจุดอ่อนได้แล้วย่อมต้องวางอุบายเอาถึงตาย อีกทั้งให้ตระกูลซ่งที่เป็นผู้เดือดร้อนร้องทุกข์ ฟ้องว่าซืออี๋จวิ้นจู่ทำร้ายอนุที่ตั้งครรภ์ บวกกับเรื่องฮองเฮามู่ ไม่นานซืออี๋จวิ้นจู่ก็ถูกจับเข้าคุกใหญ่ของศาลต้าหลี่
เรียกว่าฉวยโอกาสปลิดชีพตอนอ่อนแอ ในเมื่อเสนาบดีลิ่นอยากกำจัดซิ่นหยางอ๋องที่เป็นตัวปัญหาทิ้ง ย่อมต้องฉวยโอกาสรีบเอาหลักฐานที่ซิ่นหยางอ๋องคิดก่อกบฏซึ่งรวบรวมไว้ก่อนหน้านี้มาแฉในขณะที่เขาไม่ทันตั้งตัว จากนั้นค่อยตรวจสอบอย่างละเอียด
คำว่าก่อกบฏ เปรียบดั่งเรื่องต้องห้ามที่ฮ่องเต้ทุกพระองค์มิอาจรับได้ แม้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจะถือตนเป็นเทพเซียน แต่เขาก็รับไม่ได้หากมีคนอยากต่อต้านและสั่นคลอนบัลลังก์ของเขา บวกกับคำพูดของมหาราชครูที่ว่าดาวหางตกจะเกิดหายนะกับกษัตริย์ พระองค์จึงเชื่อในทันที แต่งตั้งข้าหลวงเฉพาะกิจตรวจสอบ!
จากนั้นซืออี๋จวิ้นจู่กับซิ่นหยางอ๋องซื่อจื่อจึงต้องเป็นผู้ต้องสงสัยโดนจับเข้าคุก เดิมทีคิดว่าตอนสอบสวนจะเจออุปสรรคเรื่องวุ่นวาย แต่เมื่อซืออี๋จวิ้นจู่ถูกฉินหลิวซีลากเข้าไปในค่ายผีที่ถูกเรียกโดยกระดิ่งสามบริสุทธิ์ นางก็แทบเสียสติ กำแพงถูกพังทลายจนสิ้น นางพรั่งพรูเรื่องที่รู้ทั้งหมดออกมาราวกับเทถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่ รวมถึงเรื่องห้าธาตุเสริมให้มีบุตรผู้สูงศักดิ์นั้นด้วย
ในโลกนี้ยังมีอาคมชั่วร้ายเช่นนี้ด้วยหรือ ทั้งร้ายกาจและโหดเหี้ยม จวนซิ่นหยางอ๋องอยากขึ้นสวรรค์หรือไร ศาลต้าหลี่ย่อมมิกล้าปิดบังจึงกราบทูลไป ทีนี้ก็ง่ายล่ะ ขุนนางที่ได้รับพระราชโองการยังไม่ทันไปถึงจวนซิ่นหยางอ๋อง ฝ่าบาทก็ทรงรับสั่งให้ประหารคนในจวนซิ่นหยางอ๋องทิ้งแล้ว
สำหรับฮ่องเต้ พระองค์ไม่สนใจว่าซิ่นหยางอ๋องจะมีหลักฐานก่อกบฏจริงๆ หรือไม่ สิ่งสำคัญก็คือมีข้ออ้างจัดการเขา ถึงอย่างไรก็เป็นอ๋องคนละตระกูล มีน้อยลงสักคนย่อมเป็นเรื่องดีกว่า ที่ดินศักดินาที่ได้คืนกลับมาก็ยังเป็นของตระกูลเขาด้วย ถือว่าได้กำไรมากโข
ดังนั้นในเมื่อตอนนี้ซิ่นหยางอ๋องคิดก่อกบฏ หากเวลานี้ไม่ประหาร ไม่ตั้งข้อหา ไม่ดึงเขาลงจากอำนาจ แล้วจะรอถึงเมื่อไรเล่า
นี่ก็คืออำนาจแห่งกษัตริย์!
นี่ก็คือกษัตริย์ เหมือนตระกูลฉินก่อนหน้านี้ หรือตระกูลจังตระกูลหลี่นับไม่ถ้วน หากถูกฝ่าบาทชิงชังคิดอยากกำจัด ไม่จำเป็นต้องมีข้อหาตรงตามความจริงเลย อาศัยเพียงพระราชโองการของพระองค์คำเดียวก็เท่านั้น!
เพียงชั่วพริบตาเดียว ซืออี๋จวิ้นจู่ผู้สูงศักดิ์ที่ทั้งผยองและโอหังก็แปรเปลี่ยนเป็นนักโทษ มีคนมากมายปรบมือดีใจ โดยเฉพาะคู่สามีภรรยาลิ่นชิงถังที่อยากจัดการนางด้วยมือตนเองใจแทบขาด
“นางได้เปรียบแล้ว!” ลิ่นชิงถังเอ่ยเสียงเย็นชาที
เพราะใจริษยาของนางอสรพิษผู้นี้ สาวน้อยสุดที่รักของนางถึงต้องเผชิญกับอันตรายครั้งใหญ่จนแทบเอาชีวิตไม่รอด กระทั่งต้องมารักษาตัวอยู่ในวัด
ฉินหลิวซีเก็บมือที่ตรวจชีพจรกลับมา ลูบศีรษะของเสี่ยวฮุ่ยหานเอ่ยว่า “คนชั่วย่อมต้องได้รับกรรมชั่ว คนที่ทำก็ตายไปแล้ว ตัวการผู้กระทำผิดก็คงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องทำอะไร เพื่อเลี่ยงไม่ให้แปดเปื้อนมือตนเองจะดีกว่า”
“อืม”
ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้นอีกว่า “หนูน้อยไม่เป็นไรแล้ว กลับเมืองได้แล้ว”
ลิ่นชิงถังยิ้มร่าพลางเอ่ย “รอถึงวันมังกรเชิดหัว[1]เดือนสอง พวกเราค่อยกลับ โชคดีที่ครั้งนี้ได้ท่านช่วยไว้”
“ถือว่าเป็นบุญของเจ้าหนู” ฉินหลิวซีฉีกยิ้มพลางบีบมือของเจ้าหนูน้อย หลังจากถามไถ่สารทุกข์สุขดิบไม่กี่ประโยค นางก็ไปหาปรมาจารย์ฮุ่ยเฉวียนที่วัดอวี้ฝอด้วยตนเอง
ปรมาจารย์ฮุ่ยเฉวียนกำลังพาเณรน้อยเคาะปลาไม้[2] ศีรษะของเณรน้อยที่โล้นเตียนปรากฏรอยแผลธำมรงค์[3]สองจุด ใบหน้าสะอาดสะอ้าน ครั้นเขาเห็นฉินหลิวซี สองดวงตาดำขลับก็กะพริบปริบๆ
“อย่าเสียสมาธิ” ฮุ่ยเฉวียนจิ้มศีรษะเขาไปที เวลานี้ถึงประนมสองมือทักทายฉินหลิวซี กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่เจอกันหลายปี พลังฝึกฝนบำเพ็ญของโยมเพิ่มพูนขึ้นมาก สมควรเรียกโยมว่าปรมาจารย์ได้แล้ว”
ฉินหลิวซียิ้มบาง “คงรับความนับถือจากท่านไม่ไหว” ครั้นเห็นจีวรแถบสีทองที่เจ้าอาวาสพึงใส่ก็เอ่ยขึ้นว่า “ท่านเองก็ขึ้นเป็นเจ้าอาวาสของวัดแล้วหรือ”
“ผู้เฒ่าอาวุโสลาออกจากตำแหน่งไปตั้งแต่ปีที่แล้ว หากท่านปรมาจารย์มาเร็วกว่านี้คงได้ร่วมพิธีรับตำแหน่งของอาตมา ท่านปรมาจารย์มาเยือนเช่นนี้มีธุระใดอยากหารืออย่างนั้นหรือ”
ขณะที่ฉินหลิวซีหมายตอบกลับก็มีเณรหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามา สองมือประนมไหว้พร้อมเอ่ยคำว่าอมิตาภพุทธ “ท่านเจ้าอาวาส ผู้เฒ่าอาวุโสจิ้งขอเชิญท่านปรมาจารย์ขอรับ”
ฮุ่ยเฉวียนได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ “ท่านอาวุโสออกจากจำศีลแล้วหรือ”
นับตั้งแต่ท่านออกจากตำแหน่งก็ขอเก็บตัวฝึกบำเพ็ญเพื่อหยั่งรู้ในพุทธธรรม อย่าว่าแต่คนอื่นๆ เลย แม้แต่เขาท่านก็ไม่พบ ทว่าพอฉินหลิวซีมา เขากลับอยากเจอนางเสียอย่างนั้น
ฉินหลิวซีคิดไม่ถึงว่าจะเจอโอกาสดีๆ เช่นนี้ พลันรีบตามเณรหนุ่มผู้นั้นไปทันที
แต่คิดไม่ถึงว่าเณรหนุ่มจะไม่ได้พานางไปยังกุฏิหรือห้องกรรมฐาน แต่กลับพาไปหอพระไตรปิฎก แล้วเดินไปตามเส้นทางลับจากหอพระไตรปิฎก เส้นทางลดเลี้ยวเคี้ยวคดก่อนจะมาถึงหน้าเจดีย์สีขาวแห่งหนึ่ง
เจดีย์แห่งนี้คล้ายคลึงกับที่นางเคยเห็นที่เผิงไหลอยู่บ้าง แต่อลังการสวยงามกว่า ฐานเป็นทรงเหลี่ยม มีบันไดแปดขั้น เรือนธาตุมีลักษณะคล้ายชามคว่ำ ส่วนบัลลังก์เรียวยาว ปลายยอดฉัตรเป็นรูปวงล้อสิบสามชั้น
รอบด้านเจดีย์พันล้อมรอบด้วยกงล้อบทสวดสีทอง พร้อมแขวนธงมนต์หลากสี ดูสง่างามและศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก
อีกทั้งด้านล่างเจดีย์ปรากฏร่างพระผู้เฒ่าคิ้วยาว หูใหญ่ห้อยต่ำ ใบหน้าเอิบอิ่มเมตตา เปี่ยมด้วยความกรุณาดุจพระพุทธเจ้า เขามองฉินหลิวซีอย่างเงียบๆ แววตาประกายความชื่นชมและเต็มไปด้วยการยอมรับ
“ข้าน้อยปู้ฉิวขอคารวะผู้เฒ่าอาวุโสจิ้งฉือ” ฉินหลิวซีหลุบตาลง พร้อมทำความเคารพในแบบฉบับเต๋า ท่าทีหยิ่งผยองในยามปกติถูกนางเก็บซ่อนจนหมดและแทนที่ด้วยความน่าเอ็นดู
พระภิกษุตรงหน้ามีแสงทองอาบทั่วร่าง ดุจยอดเขาที่ทั้งสงบและกว้างใหญ่ เปี่ยมด้วยสติปัญญาที่เก็บสะสมมาอย่างยาวนานและความเมตตากรุณาที่มากอย่างไร้ขีดจำกัด เขาบำเพ็ญเพียรจนบรรลุความดีงามอย่างสมบูรณ์แบบ เป็นพระที่บรรลุธรรมอย่างแท้จริง ซึ่งคู่ควรแก่การเรียกว่าผู้อาวุโส และนางจะไม่ล่วงเกินเด็ดขาด
ผู้เฒ่าอาวุโสจิ้งฉือใช้สองดวงตากวาดมองร่างนาง พลันก็เอ่ยพร้อมฉีกยิ้มกว้างมากขึ้นกว่าเดิม “เจ้าโตแล้ว”
ฉินหลิวซีผงะไปก่อนเดินไปตรงหน้าเขาแล้วคุกเข่าลงต่อหน้า เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “ผู้เฒ่าอาวุโสเคยเห็นข้าตอนเด็กๆ ด้วยหรือ”
“ตอนโยมเกิด อาตมาเป็นคนลูบหัวอวยพรให้โยมเอง”
ฉินหลิวซีกะพริบตาปริบๆ เงียบไปครู่หนึ่งถึงเอ่ย “นั่นมันเขาต่างหาก”
แต่ส่วนที่ว่าเขาเป็นใคร นางกลับไม่ได้อธิบายอย่างชัดเจน แต่นางรู้ว่าพระผู้นี้ย่อมเข้าใจ
ผู้เฒ่าอาวุโสจิ้งฉือกลับส่ายหน้า เอ่ยยิ้มๆ “เขาก็คือโยม และโยมก็คือเขานั่นแหละ แต่แค่ดวงวิญญาณกลับเข้าร่างเดิมก็เท่านั้น”
ฉินหลิวซีนิ่งไป นี่หมายความว่าอย่างไร นางไม่ใช่ดวงวิญญาณจากโลกอื่นที่มาสิงสถิตอยู่ในร่างนี้หรอกหรือ
“อมิตาภพุทธ บนโลกอันกว้างใหญ่มีโลกเล็กๆ อีกสามพัน ดวงวิญญาณส่วนหนึ่งของโยมก็แค่ไปโลกใบเล็กดวงอื่น ฝึกบำเพ็ญจนอิ่มเอมถึงกลับมาก็เท่านั้น” ผู้เฒ่าอาวุโสจิ้งฉือยิ้มเอ่ย “โชคดีที่หลายปีมานี้ชื่อหยวนดูแลโยมมาอย่างดี”
ฉินหลิวซีถามหยั่งเชิงเขา “ท่านรู้เรื่องความเป็นมาของข้าด้วยหรือ”
ผู้เฒ่าอาวุโสจิ้งฉือหยิบลูกประคำตรงหน้าที่ใช้งานขัดจนเงาวาวขึ้นมาอีกครั้ง ประสานมือทั้งสองวางไว้ตรงดวงจิตของนางแล้วเอ่ย “ไม่ว่าความเป็นมาจะเป็นอย่างไร เจ้าก็คือเจ้า ชื่อหลิวซีสกุลฉิน อมิตาภพุทธ”
[1] วันมังกรเชิดหัวตรงกับวันที่ 2 เดือน 2 ตามปฏิทินจันทรคติจีน เป็นหนึ่งในเทศกาลสำคัญซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความมงคล
[2] เป็นเครื่องมือที่พระใช้ในการทำวัตรหรือประพิธีทางศาสนา
[3] เป็นรอยธูปเทียนที่ทิ้งไว้บนศีรษะพระเณร