คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1103 ตระกูลผู้ดีที่มีชะตากรรมอันน่าสงสาร ..
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 1103 ตระกูลผู้ดีที่มีชะตากรรมอันน่าสงสาร ..
ฉินหลิวซียังคงแสดงแววตาอาลัยอาวรณ์ภายใต้สายตารังเกียจของผู้เฒ่าอาวุโสจิ้งฉือ
ผู้เฒ่าอาวุโสจิ้งฉือมองนางจากไปพลางถอนหายใจ ทันใดนั้นก็เกิดแรงสั่นสะเทือนบางเบาภายใต้เจดีย์สีขาวแห่งนั้น เขาสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อยก่อนจะนั่งลงข้างเจดีย์ขาว มือเลื่อนขยับลูกประคำพร้อมท่องบทสวดมนต์ออกมาจากปาก ภาพอันน่าเกรงขามรูปหนึ่งผุดขึ้นด้านหลังของเขา ซึ่งมองลงมาด้วยใบหน้าที่เปี่ยมด้วยเมตตาธรรม
แรงสะเทือนนั้นถูกกดข่มลงไปแล้ว
ลูกตาภายใต้หนังตาของผู้เฒ่าอาวุโสจิ้งฉือกลิ้งกลอกไปมา ทว่าสุดท้ายกลับยังคงปิดสนิท พร้อมท่องบทสวดออกมาไม่หยุด
กระดูกของมารร้ายขยับเคลื่อนไหว ความวุ่นวายโกลาหลในใต้หล้าคงเกิดขึ้นในไม่ช้าแล้ว
ฉินหลิวซีเดินมายังวิหารพระกษิติครรภ์ เพื่อจุดธูปบูชาพระมหาโพธิสัตว์ที่แห่งนี้ นางมองพระพุทธรูปที่มือข้างซ้ายถือสมบัติล้ำค่า ส่วนมือข้างขวาถือไม้ขักขระนั่งอยู่บนใบบัวสีเขียว ทว่าในสมองของนางกลับผุดคำพูดของผู้เฒ่าอาวุโสจิ้งฉือขึ้นมา
นางไม่ใช่วิญญาณร่อนเร่นอกโลกที่จุติมายังโลกใบนี้ เพียงแต่เป็นดวงวิญญาณที่กลับมายังร่างเดิม นางเป็นหญิงสาวของสกุลฉินมาโดยตลอด ดังนั้นก่อนห้าขวบ นางเป็นเพียงเด็กเอ๋อที่มีดวงวิญญาณในร่างไม่ครบอย่างนั้นหรือ
ฉินหลิวซีก้มหน้ามองมือของตนเอง เพลิงไฟบาปบงกชสีแดงลูกหนึ่งก็ผุดขึ้นกลางฝ่ามือ พร้อมสั่นไหวเล็กน้อย
ไม่ว่ามีความเป็นมาเช่นไร แต่ชาตินี้นางเป็นแค่ฉินหลิวซี
นางกดถุงเฉียนคุนตรงช่วงเอวลง ในนั้นเก็บพระธาตุล้ำค่าแห่งวัดอวี้ฝอที่ผู้เฒ่าอาวุโสให้เมื่อครู่ไว้ ช่างร้อนมือเสียจริง ได้ของมาแล้ว หากไม่ลงมือทำอะไรคงรู้สึกผิดต่อความใจกว้างของท่านน่าดู
พลันก็มีเสียงเคลื่อนไหวดังแว่วมาจากประตูวิหารด้านหลัง มีคนเดินเข้ามา เมื่อเห็นแผ่นหลังของฉินหลิวซีที่อยู่เบื้องหน้าพวกนางก็ผงะไป เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำขุ่นเคือง “เหตุใดถึงมีคนอยู่ที่นี่อีก อาจารย์ยังไม่ไล่คนออกไปหมดอีกหรือ”
“ไม่เป็นไร” พลันเสียงชราหนึ่งก็เอ่ยขึ้น
พอฉินหลิวซีหมุนตัวไปมองก็เห็นบ่าวรับใช้คนหนึ่งประคองร่างหญิงชราใบหน้าเรียบนิ่งแต่กลับมิอาจกลบความน่าเกรงขามไว้ได้เดินเข้ามา เบื้องหลังยังมีบ่าวรับใช้สาวแก่หิ้วตะกร้าเดินตามมาติดๆ พร้อมบรรจุธูปเทียนของบูชานานาชนิดไว้ในตะกร้านั้น
ราวกับหญิงชราสังเกตเห็นว่าฉินหลิวซีมองเห็นนางแล้วจึงเลื่อนสายตามองมา ทว่าสายตานั้นกลับพร่าเลือนไร้จุดรวมแสง สองดวงตาขุ่นมัวไม่เปล่งประกายเพราะบอดแล้ว สาวรับใช้ที่ประคองนางต้องคอยเอ่ยเตือนนางให้ค่อยๆ เดินเสียงเบาเป็นระยะๆ
ฉินหลิวซีเก็บสายตากลับมาแล้วเดินมุ่งหน้าออกไปข้างนอก ขณะที่ร่างกำลังเดินผ่านพวกหญิงชราเหล่านั้นก็ผุดเสียงแปะๆ ขึ้น
สายลูกประคำขาดร่วงตกลงพื้น ลูกประคำที่ร่วงกระทบพื้นส่งเสียงดังก้องกังวาน กระทั่งกลิ้งมาข้างเท้าของฉินหลิวซีสองเม็ด
ฉินหลิวซีชะงักฝีเท้า โค้งตัวก้มลงเก็บลูกประคำไม้จันทน์สีม่วงสองเม็ดนั้นขึ้นมา พลันมือก็ชะงักเล็กน้อย นิ่งไปครู่หนึ่งถึงเอ่ย “เข้ามาในวิหารพระกษิติครรภ์แต่เส้นลูกประคำขาด สื่อถึงลางร้าย ความอาฆาตไม่สลายตัว การไปเกิดใหม่จึงไม่สำเร็จ การบูชาสักการะไม่อาจทำให้ผู้ล่วงลับละทิ้งแรงอาฆาตลงได้ จำเป็นต้องคลี่คลายปมแห่งความอาฆาตก่อนถึงจะสำเร็จ”
พอนางกล่าวจบ ทั้งๆ ที่สายตาพร่าเลือนแต่ก็ยังเหลือบมองมา หญิงชราร่างสั่นเทา ใบหน้าเย็นชาแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ
ครั้นบ่าวรับใช้ที่ประคองร่างหญิงชราเห็นท่าทีขึงขังเช่นนั้นก็โพล่งขึ้นว่า “สามหาว เจ้าเป็นใคร บังอาจพูดจาเหลวไหลหรือ!”
“ซุ่นฟัง!” หญิงชรามุ่นคิ้วปรามบ่าวรับใช้ ก่อนจะมองไปทางฉินหลิวซีแล้วเอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเครือ “แม่นางกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรหรือ”
ฉินหลิวซีเอ่ย “ลูกสาวของท่านไม่ได้เต็มใจกับการบูชาเซ่นไหว้เลยสักนิด ท่านมาครั้งใด แรงอาฆาตของนางมีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หากแรงพยาบาทอาฆาตไม่ถูกชำระก็คงหมดหวังไปเกิด”
รูม่านตาของหญิงชราวูบไหว กระทั่งบรรดาบ่าวข้างกายของนางยังผุดความฉงนอย่างตกใจ
“เจ้า…เจ้ารู้ได้อย่างไร”
นางรู้ได้อย่างไรว่าตนมาทำบุญให้หว่านเอ๋อร์ ไม่สิ นางบอกว่าแรงอาฆาตของหว่านเอ๋อร์นั่นคืออะไรนะ
“ลูกประคำมีไว้ขับไล่การหลงผิด ฝึกบำเพ็ญร่างกายและจิตใจ แต่บัดนี้กลับแปดเปื้อนแรงอาฆาตของคนตาย เก็บไว้ไม่ได้แล้ว” ฉินหลิวซีวางลูกประคำลงในตะกร้าก่อนเอ่ย “เอาเวลาที่ถวายเครื่องหมู่บูชาไปสืบหาสาเหตุการตายของคุณหนูยังดีกว่า ช่วยลบล้างมลทินของผู้ตายต่างหากถึงจะช่วยให้หลุดพ้นไปเกิดใหม่ได้อย่างแท้จริง”
ปลายเท้าของหญิงชราโงนเงนจนเซถอยหลังไปสองก้าว ชนเข้ากับอ้อมอกของซุ่นฟัง ริมฝีปากเปิดปิดพะงาบๆ
ฉินหลิวซีส่ายหน้าแล้วเดินออกไป
ทว่านางเพิ่งเดินออกจากประตูวิหารมาก็ได้ยินเสียงร้องตกใจดังแว่วมาจากด้านใน นางสูดหายใจเข้าลึกก่อนหมุนตัวเดินกลับเข้าไปอีกครั้ง
คนที่มีดวงชะตานำพาเรื่องเหนือคาดมาหา มักจะเผชิญกับความวุ่นวายเสมอ
จากนั้นก็เห็นหญิงชราล้มอยู่ในอ้อมอกของบ่าวที่ชื่อว่าซุ่นฟัง สีหน้าซีดขาว บ่าวรอบกายต่างห้อมล้อมเข้ามาพลางร้องเรียกฮูหยินผู้เฒ่าด้วยท่าทีร้อนใจ
“เร็ว รีบไปเรียกหมอหลวงมา” ซุ่นฟังพูดพลางโน้มตัวอุ้มร่างของหญิงชราขึ้นมา
“อย่าขยับร่างของนาง” ฉินหลิวซีห้ามไว้ก่อนจะรีบเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปหา
ครั้นทุกคนเห็นว่าฉินหลิวซีย้อนกลับมาก็เผยสีหน้าหวาดระแวง
“ข้าเป็นหมอ” ฉินหลิวซีเอ่ย “อย่ามุง เดิมทีที่นี่ก็อึดอัดมากแล้ว พวกเจ้าล้อมไว้เช่นนั้น นางกลับจะยิ่งหายใจลำบาก วางร่างของนางลง”
ทุกคนต่างมองหน้ากัน พลันมองไปทางซุ่นฟังตามจิตใต้สำนึก นางจึงเอ่ย “อย่ามุง” จากนั้นนางก็นั่งลงจับฮูหยินผู้เฒ่าพิงอ้อมอกของตน จับจ้องฉินหลิวซีแล้วเอ่ย “เจ้าเป็นหมอจริงๆ หรือ หากฮูหยินผู้เฒ่าของข้าเป็นอะไรขึ้นมา เจ้า…”
“หากนางเป็นอะไรขึ้นมา ล้วนเป็นเพราะอาการซึมเศร้ากัดกินใจ อารมณ์ดิ่งวูบเป็นเหตุต่างหาก เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย” ฉินหลิวซีสบถใส่ที
ซุ่นฟัง “…”
กล้าหาเรื่องแต่ไม่กล้าโต้กลับ!
ฉินหลิวซีเปิดหนังตาของหญิงชราผู้นั้นขึ้น ครั้นเห็นพวงแก้มแข็งทื่อ ริมฝีปากดวงตาเริ่มเบี้ยวจึงจับมือนางขึ้นมาก่อนวางสองนิ้วลงบนข้อมือ จากนั้นก็พบว่าชีพจรจุดชุนโข่ว[1]ล่องลอยและแน่นตึง เส้นลั่วม้าย[2]ว่างเปล่า ลมอ่อนแอไม่สามารถระบายออกได้ นี่เป็นสัญญาณของโรคหลอดเลือดในสมอง
นางเองก็ไม่รีรอรีบหยิบเข็มขึ้นมาแล้วเอ่ย “ฮูหยินผู้เฒ่ามีอาการโรคหลอดเลือดในสมอง ข้าต้องฝังเข็มให้นาง”
ซุ่นฟังสีหน้าเปลี่ยนยกใหญ่ นานๆ จะเผยสีหน้ากระสับกระส่ายออกมาให้เห็น ทว่ามีความลังเลใจอยู่บ้าง ในเมื่อพวกนางไม่เคยเจอฉินหลิวซีผู้นี้มาก่อน
“ข้าคือหมอเต๋านามว่าปู้ฉิวที่รักษาอาการป่วยให้อดีตฮูหยินลิ่นผู้เฒ่า เจ้าวางใจได้ ข้าคงไม่ทำร้ายนางต่อหน้าพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์หรอก แต่หากเจ้าขวางข้าเช่นนี้กลับจะเป็นการทำร้ายนาง ไม่แน่อาจจะเป็นเจ้าแทนก็ได้” ฉินหลิวซีแค่นเสียงใส่ที
ซุ่นฟังรีบวางร่างหญิงชราลงนอนราบ เอ่ยเสียงตะกุกตะกัก “พวกเราคือคนในตระกูลเซี่ยจากจวนแม่ทัพเจิ่นหนาน นี่คือฮูหยินผู้เฒ่าของพวกเรา หากเจ้าช่วยนางไว้ได้ ตระกูลเซี่ยต้องตบรางวัลให้เจ้าอย่างงามแน่นอน”
ฉินหลิวซีกลับไม่พูดอะไรก่อนฝังเข็มลงจุดลมปราณ ผ่านไปนานพร้อมเข็มที่ฝังหลายเล่ม แล้วเอ่ยออกคำสั่งว่า “ไปจัดตรงลานกรรมฐาน เตรียมพาฮูหยินผู้เฒ่าไปนอนพักตรงนั้น”
ซุ่นฟังส่งสายตาออกคำสั่งกับบ่าวคนอื่นๆ จากนั้นก็จับจ้องร่างของฮูหยินผู้เฒ่า พลางเหลือบมองฉินหลิวซีเป็นระยะๆ ครั้นเห็นนั่งจับเส้นชีพจร นางก็อยากเอ่ยถามแต่ก็ไม่กล้าถาม
ฉินหลิวซีเอ่ย “อาการหวัดยังไม่หายดี ร่างกายรุมเร้าด้วยโรคภัย แต่ก็ยังแวะมาทำบุญกราบไหว้พระ ในเมื่อเห็นคุณหนูเซี่ยสำคัญขนาดนี้ เหตุใดแรงอาฆาตของนางถึงลามมาถึงร่างของฮูหยินผู้เฒ่าได้”
ซุ่นฟังเอ่ยเสียงแผ่วเบา “วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของคุณหนู เมื่อวานฮูหยินผู้เฒ่าฝันเห็นนางถึงได้มาวันนี้”
ในเมื่อเปิดเรื่องมาถึงขั้นนี้ ซุ่นฟังจึงเอ่ยถามขึ้นอีกว่า “ท่านคือหมอเต๋าที่รักษาอาการให้ฮูหยินลิ่นผู้เฒ่าจริงๆ หรือ ”
“อืม”
“ขอล่วงเกินถามนักพรตว่า เหตุใดท่านถึงกล่าวคำเมื่อครู่เช่นนั้น แล้วเหตุใดพอฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินเช่นนั้นแล้วถึงหมดสติไปเลยเล่า”
ฉินหลิวซีมองลูกตาที่กลิ้งกลอกไปมาภายใต้หนังตาของฮูหยินผู้เฒ่าแล้วเอ่ย “ย่อมเป็นเพราะสาเหตุการตายของคุณหนูแฝงเงื่อนงำจนยากที่จะไปเกิดใหม่ เป็นผลให้แรงอาฆาตยังจับตัวกัน กระทั่งแปดเปื้อนลูกประคำที่ฮูหยินผู้เฒ่าใช้ทุกวัน คิดว่าขณะที่ฮูหยินผู้เฒ่าท่องบทพระธรรมสูตรของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์คงเอ่ยชื่อของคุณหนูขึ้นมาด้วย”
ฮูหยินเซี่ยผู้เฒ่าเปิดตา สายตาขุ่นมัวจับจ้องมาทางฉินหลิวซี มือข้างนั้นปัดป่ายคว้าอากาศก่อนจะคว้ามือของฉินหลิวซีไว้ พออ้าปากน้ำลายก็ไหลย้อยผ่านมุมปาก เอ่ยเสียงติดๆ ขัดๆ “ท่าน ท่านรู้เรื่องใดบ้าง”
ครั้นซุ่นฟังเห็นนางฟื้นเร็วก็ผ่อนลมหายใจโล่งอก เอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านฟื้นแล้วหรือ ท่านยังไม่สบายตรงไหนอีกหรือไม่ คนผู้นี้ก็คือหมอเต๋าที่เคยช่วยรักษาอาการป่วยให้ฮูหยินลิ่นผู้เฒ่า เป็นผู้หญิง นางฝังเข็มให้ท่านด้วย”
“เจ้าอาวาส…” ฮูหยินเซี่ยผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นพร้อมน้ำลายที่ไหลย้อยลงมามากกว่าเดิม
ฉินหลิวซีถอนหายใจที เอ่ย “ท่านอย่าเพิ่งรีบร้อนไปเลย ร่างกายของท่านทรุดโทรม บัดนี้มีอาการหลอดเลือดในสมอง หากไม่รักษาตัวให้ดี อย่าว่าแต่ตาบอดเลย ต่อให้ท่านอยากมาไหว้พระทำบุญก็เป็นไปไม่ได้ ทำได้แค่นอนติดอยู่กับเตียงแล้ว”
ฮูหยินเซี่ยผู้เฒ่าอ้าปากพะงาบ พร้อมน้ำตาที่ไหลรินผ่านลงมาทางหางตา นางจะไม่ใจร้อนได้อย่างไร ในเมื่อฉินหลิวซีบอกว่าหว่านเอ๋อร์ของนางตายอย่างมีเงื่อนงำ!
นางไปสร้างบาปกรรมใดไว้ บุตรชายบุตรสาวทั้งหกถึงต้องจากนางไปไกล ตระกูลเซี่ยของนางปกป้องชายแดนทางตอนใต้มาตลอดหลายชั่วอายุคน ดูแลรักษาบ้านเมือง แต่ไปๆ มาๆ กลับเหลือเพียงคนแก่ เด็กและสตรีที่อ่อนแอ หรือดวงชะตาตระกูลเซี่ยของพวกเขาจะถูกตอบแทนที่ทุ่มเทเพื่อบ้านเมืองและราษฎรอย่างนี้หรือ
ทั้งๆ ที่สร้างคุณงามความมาตลอดหลายชั่วอายุคน แต่สิ่งที่ได้รับกลับคืนมาคือการสูญเสียของคนในตระกูล สวรรค์ช่างไม่เป็นธรรมเอาเสียเลย!
ฉินหลิวซีเห็นอารมณ์เกรี้ยวกราดเช่นนั้น จึงทำให้นางหมดสติไปก่อนชั่วคราว รอกระทั่งถึงเวลาดึงเข็มออกถึงจะโยกย้ายร่างนางไปพักในลานกรรมฐาน จากนั้นก็เขียนใบสั่งยาให้ด้วย แล้วเรียกให้คนในตระกูลเซี่ยไปหาวัตถุดิบยาละแวกวัดมาต้มกินก่อน
ช่วงนี้ฉินหลิวซีเองก็ไถ่ถามว่าเป็นตระกูลเซี่ยไหน จากนั้นถึงรู้ว่าเป็นลูกหลานในตระกูลข้าหลวงที่มีบรรดาศักดิ์สูงส่ง หากว่าด้วยเรื่องคุณงามความดีแล้วมีมากกว่าตระกูลผู้มีอำนาจทางซีเป่ยเสียอีก แต่กลับต้องเผชิญชะตากรรมที่แย่กว่าตระกูลนั้น บุตรชายในตระกูลเซี่ยต่างต้องล้มตายในศึกสงคราม บัดนี้เหลือเพียงหนุ่มน้อยหลายชายอายุเพียงห้าขวบคนเดียว อีกอย่างเป็นบุตรกำพร้าไร้บิดา ร่างกายอ่อนแอโรคภัยรุมเร้า
ตระกูลขุนนางสูงศักดิ์อย่างตระกูลเซี่ยย่อมต้องเกี่ยวดองกับบุตรสาวตระกูลแม่ทัพเหมือนกัน เรื่องโหดเหี้ยมหยาบโลนก็อีกเรื่อง สิ่งสำคัญก็คือความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว แบ่งรับแบ่งสู้ได้ทุกเรื่อง ยามเผชิญหน้ากับศัตรูต้องถือดาบได้ ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็เคยลงสนามรบเข่นฆ่าศัตรูมา เป็นแม่ทัพหญิงอย่างแท้จริง อีกทั้งฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยังตรัสว่าเป็นสตรีที่ไม่เป็นรองบุรุษเลย แถมได้รับการแต่งตั้งเป็นฮูหยินขั้นสูงอีกต่างหาก
เพียงแต่ต่อให้จะมีเกียรติคุณใหญ่โตเพียงใดกลับต้องแลกมากับความตายของบุตรชายในตระกูลเซี่ย สมาชิกในตระกูลร่อยหรอ บัดนี้ตระกูลเซี่ยหลงเหลือเพียงหญิงม้ายที่ป่วยออดๆ แอดๆ คนที่นำทัพปกป้องชายแดนใต้มีเพียงสะใภ้สี่ของนายหญิงเซี่ยผู้เฒ่า ซึ่งเป็นแม่ทัพหญิงเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลเซี่ยในเวลานี้
ตระกูลเช่นนี้ใครจะกล้าดูแคลน หากดูแคลนนักก็ให้ไปดูหลุมศพของตระกูลเซี่ย หลุมศพที่แน่นขนัดเช่นนั้นยังมีหน้ากล้าว่าตระกูลเซี่ยอีกหรือ
สำหรับตระกูลเซี่ย ฉินหลิวซีทั้งสงสารและนับถือ นับถือที่ตระกูลเซี่ยปกป้องบ้านเมืองโดยไม่คิดเคืองโกรธใดๆ เป็นทัพแนวหน้าสำคัญของบ้านเมือง เปรียบดั่งคานสำคัญของแว่นแคว้น สงสารที่ต้องสูญเสียคนมากความสามารถ อีกทั้งลูกหลานอายุสั้น
ช่างน่าเวทนาจริงๆ!
“…เป็นเพราะลูกหลานในตระกูลอายุสั้น จึงต้องประคบประหงมบุตรสาวภรรยาเอกเพียงหนึ่งเดียวเป็นอย่างดี ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็ทำใจไม่ได้ ถึงแม้คุณหนูจะไม่เต็มใจ แต่ก็ยังให้นางเกี่ยวดองแต่งเข้าตระกูลผู้รู้หนังสืออย่างตระกูลฟ่าน ซึ่งเป็นตระกูลอาลักษณ์เพียงหนึ่งเดียวที่ตระกูลเซี่ยเกี่ยวดองด้วย หวังว่านางจะใช้ชีวิตอย่างราบรื่นสงบสุข เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าคุณหนูจะมีความแค้นในใจ หลังจากออกเรือนไปก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย กระทั่งไม่ส่งแม้แต่จดหมายมาสักฉบับ แต่พอได้รับข่าวจากคุณหนูอีกทีก็เป็นเรื่องเศร้าแล้ว นางตายเพราะคลอดบุตรยาก ตอนนั้นฮูหยินผู้เฒ่าเป็นลมหมดสติจนป่วยหนักไปรอบหนึ่ง”
ฉินหลิวซีพูดไม่ออกก่อนจะมองไปทางฮูหยินผู้เฒ่า ครั้นมองเช่นนั้นก็ใจกระตุกวูบ พลันสายตาก็แปรเปลี่ยนเป็นความเคร่งขรึม
ความตายวนเวียนรอบใบหน้า เหตุใดจู่ๆ ถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
[1] เป็นจุดสำคัญในการตรวจวัดชีพจรเพื่อตรวจสอบอวัยวะภายในต่างๆ ของร่างกาย เช่น หัวใจ ปอด ไต เป็นต้น
[2] เส้นลั่วม้าย หมายถึง เส้นลมปราณรอง เป็นแขนงเล็ก ๆ ที่แตกออกจากเส้นลมปราณหลัก ทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างเส้นลมปราณหลักกับส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย