คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1104 ช่วงชิงโชคลาภโดยมนุษย์
ตอนที่ 1104 ช่วงชิงโชคลาภโดยมนุษย์
จากใบหน้านิ่งขรึมของฉินหลิวซีแปรเปลี่ยนเป็นความอึมครึม ทำเอาซุ่นฟังใจกระตุกวาบ เมื่อครู่ตนพูดเรื่องอะไรผิดไปจนสร้างความไม่พอใจให้นางอย่างนั้นหรือ
“ท่านนักพรต เป็นอะไรไปหรือ” นางเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
ฉินหลิวซีขมวดคิ้วมุ่นพลางจ้องใบหน้าของนายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าแน่นิ่ง ครั้งแรกที่เจอ โหงวเฮ้งยังไม่ถึงคราวตาย ถึงแม้จะไม่ใช่คนอายุยืน แต่คงไม่ถึงขั้นมีรังสีความตายวนเวียนอยู่เหนือศีรษะเช่นนี้
อีกอย่างโหงวเฮ้งเปลี่ยนในเวลาไม่ถึงชั่วยามด้วยซ้ำ
ครั้นนึกถึงสถานะของนายหญิงผู้เฒ่าท่านนี้ ฉินหลิวซีก็คว้ามือของนางขึ้นมาตรวจดูชีพจรอีกครั้ง พลางเอ่ยถามว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าของพวกเจ้ามีบาดแผลเต็มไปหมด แต่เจ็บหนักสุดบริเวณใดหรือ”
ซุ่นฟังผงะไป เมื่อครู่คุยกันเรื่องการตายของคุณหนูอยู่มิใช่หรือ เหตุใดจู่ๆ ถึงเปลี่ยนประเด็นมาที่ฮูหยินผู้เฒ่าได้เล่า จึงตอบกลับไปว่า “หนักสุดก็แผลจากธนู เพราะแทบทะลุโดนตับ นางรักษาแผลอยู่นาน กระทั่งแทบเอาชีวิตไม่รอด”
นางลองเทียบจากตำแหน่งดู
ฉินหลิวซีเลิกผ้าขึ้นดูแวบหนึ่ง ครั้นเห็นตำแหน่งหนึ่งที่มีรอยด้ายเย็บสวยก็เอ่ยว่า “ได้หมอเทวดาตู้เหรินช่วยนางไว้ นับว่ามีบุญนัก”
ซุ่นฟังผงะไป นางอาศัยแค่การดูแผลก็รู้แล้วว่าใครเป็นคนช่วย นี่ซ่อนหลักการลี้ลับใดไว้หรือเปล่านะ
“ท่านรู้ได้อย่างไร”
ฉินหลิวซีชี้ไปที่ปมด้ายของรอยเย็บปิดแผลแล้วเอ่ย “เพราะข้าเป็นคนสอนเขาเอง”
ซุ่นฟังยิ่งตกตะลึง ก่อนจะมองไปที่ปมด้ายที่เย็บปิดแผลนั้น บัดนี้นางเป็นหมัวหมัวรับใช้ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าก็จริง แต่ครั้งวัยเยาว์ ความจริงนางเคยเป็นลูกน้องของฮูหยินผู้เฒ่ามาก่อน ซึ่งก็คือหนึ่งในวีรสตรีนั่นเอง
ยามนั้นฮูหยินผู้เฒ่าโดนธนูยิงใส่ และก็ได้หมอเทวดาอย่างตู้เหรินมาช่วยดึงธนูออกไปจริงๆ เพราะลูกธนูมีตะข้อปลายแหลมจึงเกือบทะลุถึงปอดและอวัยวะภายใน ดังนั้นเลยต้องใช้มีดเล็กแซะเปิดแผลเล็กน้อยแล้วค่อยๆ ดึงลูกธนูออกมา จากนั้นถึงค่อยๆ เย็บปิดปากแผลเหมือนเย็บผ้า
เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นว่ารักษาบาดแผลอย่างไร จึงทำให้เกิดความทรงจำอย่างลึกซึ้ง แต่คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนสอนหมอเทวดาตู้
ซุ่นฟังรู้สึกตกใจไม่น้อย ทว่ากลับไม่กล้าแสดงข้อกังขาใดขึ้นมา ลำพังแค่นางจำปมด้ายเย็บแผลของเขาได้ก็รู้แล้วว่านางมีความเกี่ยวข้องกับหมดเทวดาตู้แน่นอน อีกอย่างยังต้องฝากชีวิตฮูหยินผู้เฒ่าไว้กับนางด้วย
“คิดไม่ถึงว่าท่านจะรู้จักหมอเทวดาตู้ด้วย เขาร่อนเร่ไปรักษาคนตามที่ต่างๆ ไม่รู้ว่าป่านนี้ไปช่วยคนอยู่ที่ใด” ซุ่นฟังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
แต่ไหนแต่ไรมาตู้เหรินจะไม่ประจำอยู่ที่ใดที่หนึ่ง แต่เป็นหมอเร่ร่อน เดินไปถึงไหนก็ถึงนั่น ตามหาร่องรอยยากนัก
ฉินหลิวซีเอ่ย “ก็คงตระเวนตามรักษาคนอยู่”
นางตรวจดูบาดแผลนี้ก่อนตรวจสอบบริเวณอื่นๆ จากนั้นก็จับชีพจรที่ข้อมือซ้ำไปซ้ำมา
ถึงแม้ร่างกายของนายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าจะเต็มไปด้วยบาดแผล แต่เพราะฐานร่างกายแข็งแรง ฝึกฝนวิทยายุทธมานาน อีกทั้งบำรุงในส่วนที่อ่อนแอ บวกกับดูแลรักษาร่างกายในยามปกติ ดังนั้นถึงจะไม่ใช่ร่างกายที่ดีนัก แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นต้องเจอกับความตาย
อาการป่วยที่สำคัญยิ่งกว่าในเวลานี้ก็คืออาการป่วยทางใจ อารมณ์ซึมเศร้าหดหู่ทำลายสภาพจิตใจจนย่ำแย่ ดวงตาคู่นี้บอดมัวเพราะอารมณ์ย่ำแย่และร้องไห้หนักนั่นเอง
ไม่น่าจะถึงตาย
หรืออาการหลอดเลือดในสมองของนางจะกำเริบ
“ท่านนักพรต ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นอะไรหรือ” ซุ่นฟังเห็นสีหน้านิ่งขรึมของนางเช่นนั้นก็ไม่สบายใจ กระวนกระวายใจแทบไม่ไหว
ฉินหลิวซีบีบต้นขา นิ่งขรึมไปครู่หนึ่งถึงเอ่ย “ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าแฝงความตายไว้”
พลันเลือดฟาดบนใบหน้าของซุ่นฟังก็แห้งเหือด ถลึงตากลมโตแทบถลน
“ข้าตรวจดูร่างกายของนางแล้วคงไม่ถึงขั้นต้องตาย แต่จากโหงวเฮ้ง เพิ่งเปลี่ยนไปเมื่อครู่” ฉินหลิวซีหยิบเข็มขึ้นมาแล้วทิ่มลงบนปลายนิ้วมือของนาง เพื่อเค้นเอาหยดเลือดมาดมและบี้ถูไปมา แต่ก็ไม่มีอาการโดนวางพิษแต่อย่างใด
หากไม่ใช่ปัญหาเรื่องสุขภาพ ก็คงเป็นเรื่องดวงชะตาแล้ว
ครั้นฉินหลิวซียังเห็นรังสีความตายจับตัวเป็นกระจุก นางถึงหยิบยันต์คุ้มครองออกมาจากกระเป๋าเฉียนคุนแล้ววางไว้ตรงหน้าอกของฮูหยินผู้เฒ่า
ซุ่นฟังหนังตากระตุก เอ่ยขึ้นว่า “ท่านหมายความว่าฮูหยินผู้เฒ่าโดนคาถากดดวงชะตาอย่างนั้นหรือ”
“พูดยาก” ฉินหลิวซีเอ่ย “โหงวเฮ้งของคนเรามีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปตามดวงชะตา ปรากฏพลังความตายเลือนรางเช่นนี้ คงเป็นสัญญาณชี้ว่าโชคชะตาของนางกำลังแย่ลง”
ซุ่นฟังลุกขึ้นพรวด สองดวงตาแดงก่ำ กำหมัดแน่นพลางคำรามขึ้นว่า “เหตุใด เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ตระกูลเซี่ยของเรามีความจงรักภักดีมาหลายชั่วอายุคน คนตายในตระกูลเซี่ยมีมากมายจนสร้างหลุมสุสานบนภูเขาลูกหนึ่งแทบไม่พอ เหตุใดสวรรค์ถึงยังไม่มีความเป็นธรรม ไม่ปกป้องคนดี แต่กลับจะเอาชีวิตของนาง เมื่อก่อนเอาชีวิตบุตรหลานตระกูลเซี่ยไป แต่ตอนนี้ถึงคราวของฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว ต้องรอให้สายเลือดสุดท้ายของตระกูลเซี่ยสูญสิ้นก่อนถึงจะเป็นตระกูลที่มีความจงรักภักดีอย่างแท้จริงอย่างนั้นหรือ”
ฉินหลิวซีเองก็ก็รู้สึกแย่ไม่ต่างกัน เอ่ยถาม “เจ้าพอจะรู้วันเวลาเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าหรือไม่”
ซุ่นฟังชั่งใจครู่หนึ่ง เพราะวันเวลาเกิดเป็นสิ่งสำคัญ นางจะให้คนอื่นเรื่อยเปื่อยไม่ได้
ทว่ามีเสียงแหบพร่าอ่อนแรงหนึ่งเอ่ยบอกแทนนาง ทั้งสองหันไปมองก็เห็นว่านายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าฟื้นขึ้นมาแล้ว แถมไม่รู้ว่าได้ยินไปมากน้อยเพียงใด
ซุ่นฟังมองเจ้านายที่ร่างกายอ่อนแรงก็ยิ่งเศร้าจับใจ กลืนน้ำลายลงคอ ทว่าไม่กล้าปล่อยโฮออกมา
ฮูหยินผู้เฒ่าของนางต้องแข็งแกร่งมาชั่วชีวิต ต่อให้บุตรชายบุตรสาวเจอกับความตาย รุ่นหลานเองก็ตายตามไป แต่กระดูกสันหลังของนางกลับยังเหยียดตรง ไม่ยอมอ่อนแอแม้แต่น้อย
“ฮูหยินผู้เฒ่า…” ซุ่นฟังกุมมือของนาง
ทว่านายหญิงเซี่ยผู้เฒ่ากลับมองไปทางฉินหลิวซีแล้วเอ่ยว่า “ช่วยข้าด้วย ข้ายังตายไม่ได้ ข้าต้องสืบหาความจริงการตายของหว่านเอ๋อร์ก่อน”
ฉินหลิวซียกมือขึ้นคำนวณจากวันเวลาเกิดแล้วเอ่ย “อายุขัยของท่านยังไม่หมดแค่นี้ แต่บัดนี้เกิดการเปลี่ยนแปลง เพราะโชคลาภสลายตัว ดังนั้นจึงเริ่มเกิดอุปสรรคปัญหาและโรคภัยรุมเร้า เรียกว่าดวงซวย ทันทีที่รังสีความตายปกคลุมทั่วทั้งใบหน้าก็แสดงว่าโชคลาภหมดสิ้นแล้ว พอถึงเวลานั้น…”
“เหตุใดดวงชะตาถึงเกิดการเปลี่ยนแปลงได้หรือ” ซุ่นฟังเอ่ยถามอย่างร้อนใจ “คนในตระกูลเซี่ยตายแทบไม่เหลือ ผู้ชายก็เหลือแค่ลูกกำพร้าพ่อที่ร่างกายอ่อนแอ วันหน้าจะทำศึกสงครามได้หรือไม่ยังพูดยาก หากจะว่ามีคนขลาดกลัวต่ออำนาจของตระกูลเซี่ยก็คงเป็นไปไม่ได้ คนที่จะสืบทอดตระกูลเซี่ยไว้ได้ก็ไม่เหลือแล้ว คนที่หมดอำนาจเหมือนเสือที่ถอดเขี้ยวเช่นนี้ ใครจะกลัวหรือ ฝ่าบาทหรือ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้พระองค์จะไม่ยอมเลยหรือ”
“ซุ่นฟัง ระวังคำพูดด้วย!” นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าตวาดใส่ พออารมณ์เดือดดาลขึ้นมาก็ฮึดฮัดหายใจหอบถี่
ซุ่นฟังรีบเข้าไปช่วยลูบให้นางหายใจคล่อง ทว่าใบหน้ายังคงความเคียดแค้นมิคลาย
“ฉินหลิวซีเอ่ย “ดวงชะตาเปลี่ยนเกิดได้จากหลายสาเหตุ หากคนเราเปลี่ยนความคิดเพียงชั่ววูบเลือกทางเดินที่ต่างกันออกไปก็เปลี่ยนดวงชะตาได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังเป็นฝีมือคนได้ด้วย”
“ฝีมือคนหรือ”
“ใช่ หากมีคนช่วงชิงโชคลาภของท่านไป นี่ก็คือผลบ่อเกิดของความโชคร้ายโดยตรง”
นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่ามุ่นคิ้วยิ้มขมขื่น “คนแก่ๆ ที่ใกล้ลงโรงอย่างข้า ก็เหมือนที่ซุ่นฟังพูดไป ข้าเปรียบดั่งเสือที่ถอดเขี้ยว ใครจะอยากมาช่วงชิงโชคลาภของหญิงชราแก่ๆ อย่างข้ากัน”
ฉินหลิวซียิ้มเอ่ย “ท่านอย่าประเมินตนเองต่ำไป ถึงแม้ท่านจะแก่ใกล้ลงโรง ท่านก็มีสิ่งที่คนอื่นปรารถนาเช่นกัน อย่างเช่นคุณงามความดีหรือความน่าเลื่อมใส”
นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าผงะไป
ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ตระกูลเซี่ยเป็นตระกูลขุนนาง มีความจงรักภักดีมาหลายชั่วคน ปกป้องดูแลบ้านเมือง ปวงประชาในใต้หล้า โดยเฉพาะชาวบ้านแถบทางตอนใต้ มีใครบ้างที่ไม่เห็นพวกท่านเป็นดั่งเทพคุ้มครอง มีใครบ้างที่ไม่เคารพสรรเสริญพวกท่าน เพราะการปกป้องคุ้มครองของพวกท่าน พวกเขาถึงอยู่อย่างสงบสุข สิ่งเหล่านี้ก็คือความเลื่อมใส ด้วยพลังแห่งความเลื่อมใสนี้…”
คำพูดของนางชะงักไปพลันในสมองก็ผุดบางอย่างแวบขึ้นมา คุณงามความดีและความเลื่อมใสหรือ