คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1105 ความน่าสงสารมีอะไรให้เปรียบเทียบกัน
ตอนที่ 1105 ความน่าสงสารมีอะไรให้เปรียบเทียบกัน
คุณงามความดีและความเลื่อมใสอาจจะไม่สร้างความรู้สึกใดๆ ให้คนอื่น แต่สำหรับคนที่เดินบนเส้นทางบำเพ็ญอย่างฉินหลิวซีแล้ว โดยเฉพาะยามรู้ว่ามารที่ซ่อนไม้เด็ดกำลังต้องการของดีๆ เพียงครู่เดียวก็สามารถดึงประสาทสัมผัสอันว่องไวของนางขึ้นมาได้แล้ว
คุณงามความดีของตระกูลเซี่ยมีมากหรือไม่ย่อมไม่ใช่เรื่องที่น่าสงสัย
ตระกูลเซี่ยเข่นฆ่าคนมามาก แรงอาฆาตพลังหยินจึงสูงลิ่ว แต่คุณงามความดีของพวกเขากลับมีมากกว่า เพราะพวกเขาปกป้องปวงประชาในต้าเฟิงไว้เบื้องหลัง ช่วยให้พวกเขาไม่ต้องประสบกับหายนะในศึกสงคราม ทำให้บ้านเมืองสงบสุข ดังนั้นจึงถือเป็นการสร้างคุณงามความดีอันใหญ่หลวง
อีกทั้งความเลื่อมใส มีใครไม่สรรเสริญเทพสงครามที่มีความจงรักภักดีอย่างตระกูลเซี่ยบ้าง
คุณงามความดีและความเลื่อมใส กระทั่งคมกริบจนสามารถต้านพลังชั่วร้ายได้ ตระกูลเซี่ยไม่ขัดสนเรื่องใด หากช่วงชิงโชคลาภของตระกูลเซี่ยไป จะทำเรื่องใดไม่รุ่งโรจน์บ้าง
ฉินหลิวซีอดคิดแทนอีกฝ่ายไม่ได้ แต่พอคิดแทนขึ้นมาแล้วก็รู้สึกว่า โอ้ ทวยเทพบนสวรรค์ นี่เป็นโอกาสที่บีบให้ข้าเลื่อนขั้นอย่างนั้นหรือ!
“ท่านนักพรต!” ซุ่นฟังร้องเรียกอยู่หลายที ทว่าฉินหลิวซีกลับไร้ปฏิกิริยา จึงร้องเรียกเสียงดังอย่างเลี่ยงไม่ได้
ฉินหลิวซีดึงสติกลับมา แคะหูพลางเอ่ย “ข้ายังอยู่”
“ท่านกำลังคิดถึงเรื่องใดอยู่หรือ”
ฉินหลิวซีเอ่ย “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ คงบอกไม่ได้ในระยะเวลาสั้นๆ อีกอย่างการแก้ปัญหาใช่ว่าจะคลี่คลายได้ในเดี๋ยวนั้น ด้วยชะตากรรมของนายหญิงผู้เฒ่า ข้าจะทำหุ่นเชิดขึ้นมาหลอกล่อก่อนแล้วถ่ายโอนความโชคร้ายและรังสีความตายออกไป”
พวกนางทั้งสองนิ่งตกตะลึง แบบนี้ก็ได้ด้วยหรือ
“หุ่นเชิดก็สามารถช่วยให้แคล้วคลาดได้หรือ” ซุ่นฟังเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ
ฉินหลิวซีส่ายหน้าเอ่ย “นี่เป็นเพียงศาสตร์อาคมของเต๋า การหลอกลวงเช่นนี้เพียงเพื่อให้หุ่นเชิดช่วยแบกรับไป แต่ช่วยแก้เรื่องการเปลี่ยนแปลงของโชคลาภไม่ได้ สุดท้ายอาคมนี้ก็ต้องหมดไป ทันทีที่อาคมสูญสิ้น ไม่นานก็จะหมดหนทางแก้ไข ดังนั้นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุต้องเริ่มจากการแก้ที่ต้นเหตุก่อน”
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้ เหตุใดอยู่ดีๆ ถึงกลายเป็นเช่นนี้เล่า หรือมีใครคิดทำอะไรตระกูลเซี่ย” ซุ่นฟังเอ่ยพึมพำ “ว่ากันว่าตระกูลแม่ทัพมีพลังมืดเข้มข้น เข่นฆ่าคนมามาก ดังนั้นจึงต้องแบกรับกรรมไว้ไม่น้อย แต่หากไม่ฆ่าทิ้งก็ต้องถูกฆ่าแทน ประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่อยู่ด้านหลังก็ต้องตายตามกันไป จึงต้องจำใจทำ แต่ในเมื่อเกิดมาในตระกูลแม่ทัพเหมือนกัน แล้วเหตุใดตระกูลเซี่ยถึงตกเป็นผู้น่าสงสาร มีคนตายมากโขเช่นนี้เล่า”
“ความจริง ตระกูลเฉวียนที่ซีเป่ยเองก็ตายไม่น้อย!” ฉินหลิวซีปลอบประโลมไปประโยคหนึ่ง
เฉวียนจิ่งที่อยู่แดนไกล ณ ซีเป่ยจามออกมา “?”
ซุ่นฟังแค่นเสียงใส่ “ผู้เฒ่าตระกูลเฉวียน หากร่างกายแข็งแรงกำยำคงรับอนุมีลูกๆ เพิ่มได้อีก สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เขามีหลานที่ตีได้ หากหลานคนนี้มีความสามารถคงมีเหลนเพิ่มได้อีกหลายคน และไม่ต้องมากลัดกลุ้มเรื่องคนสืบทอดตระกูล แต่ตระกูลเซี่ยของเราเหลือเพียงทายาทที่ร่างกายอ่อนแอ อีกทั้งอายุยังน้อยอีกต่างหาก”
ดังนั้นคำพูดนี้จึงใช้ปลอบประโลมนางไม่ได้!
นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าหมดคำพูด “ซุ่นฟัง…”
เรื่องน่าสงสารเช่นนี้มีอะไรให้เปรียบเทียบกันหรือ!
ฉินหลิวซีก้มหน้า กระตุกยิ้มที่มุมปาก ถึงแม้บรรยากาศการสนทนาในยามนี้อาจจะไม่ดีนัก ซึ่งเต็มไปด้วยความตึงเครียด แต่นางกลับหลุดยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
นางใช้เรียวนิ้วกดที่มุมปาก กระแอมไอเสียงเบาพลางเอ่ย “ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเปรียบเทียบความน่าสงสาร ข้าคาดเดาแต่ใช่ว่าจะถูกต้องเสมอไป เรื่องนี้ต้องผ่านการตรวจสอบ หากเป็นไปตามที่ข้าคิดไว้จริง ตระกูลเซี่ยเป็นตามดั่งที่พวกท่านว่า ฉะนั้นคงต้องตายกันเกลี้ยงถึงจะถูก”
พวกนางสีหน้าเปลี่ยนอย่างพร้อมเพรียง
นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าเอ่ย “เกี่ยวข้องกับดวงชะตาดั่งที่ท่านว่าจริงๆ หรือ”
“ใช่ ข้าสงสัยว่ามีคนกำลังช่วงชิงโชคลาภของตระกูลเซี่ยไป”
แฮ่กๆ
นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าได้ยินเช่นนั้น ในลำคอก็เปล่งเสียงหายใจหอบดังเหมือนเครื่องสูบลมเก่าๆ ดวงตาขุ่นมัวพลันแปรเปลี่ยนเป็นคมกริบขึ้นมาในทันที
นางไม่ใช่นักพรตบำเพ็ญ แต่ก็รู้ความสำคัญของโชคลาภ หากมีโชคลาภทุกอย่างย่อมราบรื่น หากไร้ซึ่งสิ่งนี้ทุกเรื่องก็คงติดๆ ขัดๆ เจอแต่เรื่องร้ายในทุกที่
แต่ตระกูลเซี่ย…
หลายปีมานี้ตระกูลเซี่ยมีคนล้มตายไม่น้อย นางรู้สึกกระวนกระวายใจว่าจะเกี่ยวข้องกับดวงชะตาโชคลาภจริงๆ หรือ
นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าปิดตาลงเล็กน้อย หางตามีหยาดน้ำไหลรินลงมา
เดิมทีวันนี้นางมาเพื่อทำบุญวันคล้ายวันเกิดของบุตรสาว คิดไม่ถึงว่าจะรู้เรื่องความแค้นพยาบาทหลังการตายของบุตรสาวจากปากของฉินหลิวซี ยิ่งนึกสงสัยสาเหตุการตายของนางขึ้นมาไม่ได้ แค่นี้ยังไม่หมด ยามนี้กลับได้ยินเรื่องคาดเดาที่น่ากลัวยิ่งกว่าว่ามีคนกำลังช่วงชิงโชคลาภของตระกูลเซี่ยไป
แบบนี้จะให้นางสงบสติอารมณ์ได้อย่างไร
เสียงเวิ้งของกระดิ่งดังขึ้น
นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าเหม่อลอยเล็กน้อย ก่อนมองไปตามเสียง มีเสียงกระดิ่งที่ดังขึ้นอีกครั้ง ซึ่งแฝงไปด้วยพลังปลอบโยนจิตใจ ทันใดนั้นนางก็รู้จิตใจสงบลงบ้าง
ไม่เป็นไร ตนยังอยู่ นางต้องลากตัวมารชั่วร้ายออกมาได้ทุกตัวแน่นอน!
นางจะถูกโค่นล้มไม่ได้!
นายหญิงผู้เฒ่าเซี่ยสูดหายใจเข้าลึกๆ สองทีแล้วเอ่ย “ท่านนักพรต ต้องขอบคุณท่านเรื่องนี้ด้วย”
ฉินหลิวซีเก็บกระดิ่งสามบริสุทธิ์ ประจวบกับต้มยาเสร็จพอดี สาวรับใช้นำมาให้ หลังจากนายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าดื่ม นางถึงขอวันเดือนปีเกิดของคุณหนูเซี่ยมาตรวจดูดวงชะตา
ครั้นเห็นเช่นนั้น หว่างคิ้วก็ขมวดเข้าหากัน
นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่ามองไม่เห็น แต่ซุ่นฟังกลับมองเห็นอย่างชัดเจน เห็นสีหน้าของนางเช่นนั้นใจก็กระตุกวูบ
อมิตาภพุทธ ลำพังแค่เห็นสีหน้าของนักพรตท่านนี้ ในสมองของนางก็ปรากฏภาพเลวร้ายขึ้นมานับไม่ถ้วน นี่เกิดอะไรขึ้นหรือ
ฉินหลิวซีมองนายหญิงเซี่ยผู้เฒ่า เอ่ยว่า “ท่านสุขภาพไม่ดี แต่ก็ยังมาทำบุญ เพียงเพราะวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของคุณหนูเซี่ยจริงๆ หรือ”
นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าผงะไปแล้วเอ่ย “เมื่อคืนข้าฝันเห็นหว่านเอ๋อร์ นางยืนมองมาทางข้าท่ามกลางหมอกควันทึบพลางขยับปาก แต่ข้าไม่ได้ยินว่านางพูดอะไร ข้าไม่ค่อยสบายใจถึงมาวัดอวี้ฝอ เพราะวิหารพระกษิติครรภ์มีป้ายเกิดและโคมไฟบูชาของนางอยู่”
“ซุ่นหมัวหมัวบอกว่าคุณหนูเซี่ยล่วงลับเพราะคลอดบุตรยาก” ฉินหลิวซีชี้ไปที่วันเดือนปีเกิดแล้วเอ่ย “แต่ข้าดูจากดวงชะตาของนางแล้ว นางตายโหง”
“อะไรนะ” นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าลุกขึ้นนั่งบนเตียง มุมปากที่บิดเบี้ยวเล็กน้อยแสดงท่าไม่ดีนัก มองมาทางนางพลางเอ่ย “ท่านบอกว่านางตายโหงอย่างนั้นหรือ”
“ไม่สิ ทั้งๆ ที่คุณหนูของพวกเราคลอดบุตรยากนี่นา” ซุ่นฟังเอ่ยเสียงตกใจ
ฉินหลิวซีเอ่ย “บุตรสาวในตระกูลใหญ่แต่งงานล้วนต้องมีบ่าวติดตามเจ้านายออกเรือนไป ต่อให้จะไม่จงรักภักดีเสียทั้งหมด แต่ก็คงมีคนที่จงรักภักดีสักคนสองคนบ้างกระมัง ไม่เห็นความผิดปกติใดบ้างเลยหรือ”
ครั้นได้ฟังนางกล่าวเช่นนั้น สีหน้าของพวกนางทั้งสองก็ดูกระอักกระอ่วนใจแปลกๆ
นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าเผยสีหน้าขมขื่นเอ่ย “หว่านเอ๋อร์ไม่พอใจที่ข้าให้นางแต่งงานกับตระกูลนี้ เดิมทีเตรียมคนให้นางไว้สี่ครอบครัว แต่นางคืนมาสองครอบครัว จึงเหลือคนติดตามนางออกเรือนไปสองครอบครัว ระยะเวลาที่นางแต่งงานออกจวนไปสิบปี นางไม่เคยกลับมาเยี่ยมเยียนที่จวนเลยสักครั้ง ข้ารู้ว่านางโกรธข้า”
“ในเมื่อนางเป็นลูกสาวคนเดียวของท่าน หากไม่พอใจในการแต่งงานครั้งนี้ เหตุใดท่านต้องบีบบังคับให้นางออกเรือนด้วย” นี่เป็นสิ่งที่ฉินหลิวซีไม่เข้าใจ
นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าเอ่ย “ก็เพราะเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว ข้าถึงไม่อยากให้นางแต่งงานกับตระกูลแม่ทัพ เพราะสามีคงต้องมาตายในสนามรบเหมือนพี่ใหญ่ ตระกูลฟ่านเองก็เป็นตระกูลอาลักษณ์ผู้รู้หนังสือ อีกทั้งมีใจอยากเกี่ยวดอง ถึงแม้ตระกูลเราจะเป็นตระกูลขุนนาง แต่ก็เป็นเพียงตระกูลทหาร หากเกี่ยวดองกับตระกูลผู้รู้หนังสือ การแต่งงานครั้งนี้เรียกได้ว่าเราเอื้อมเกาะพวกเขามากกว่า”
ซุ่นฟังอ้ำๆ อึ้งๆ จะว่าเอื้อมเกาะพวกเขาก็ไม่ถูก แม้ตระกูลฟ่านจะเป็นตระกูลผู้รู้หนังสือ แต่ก็เป็นตระกูลตกอับ
ฉินหลิวซีส่ายหน้า “แต่ท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าเรื่องแต่งงานต้องดูความเหมาะสมเท่าเทียมกันด้วย การแต่งงานครั้งนี้เป็นการแต่งงานระหว่างตระกูลแม่ทัพกับตระกูลอาลักษณ์ หากคุณหนูเป็นหญิงสาวที่รักในการดีดพิณ เล่นหมากรุก วาดภาพก็ว่าไปอย่าง แต่หากนางชื่นชอบการถือหอกรำกระบี่กระบองตั้งแต่เด็กเล่า รวมเป็นปึกแผ่นเดียวกับคนที่คุ้นชินกับการร่ำเรียนเช่นนี้ พวกเขาสองคนจะคุยเรื่องใดกัน”
นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าก็ยังหาข้ออ้าง “เรื่องพวกนี้นางเองก็พอไปวัดไปวาได้ ใช่ว่าพวกเขาทั้งสองจะคุยกันไม่ถูกคอเลยเสียทีเดียว เพียงแต่ไม่ได้คล่องก็เท่านั้น และการฝึกวิทยายุทธ์ตั้งแต่เด็กก็เป็นสิ่งจำเป็นในตระกูลนักรบอยู่แล้ว”
“แต่ถึงอย่างไรนางก็ไม่พอใจกับคู่ครองผู้นี้ แต่งงานกันไปจะไม่กลายเป็นความโกรธแค้นหรือ”
นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าสะอึกก่อนพึมพำว่า “ข้าก็แค่หาที่สงบให้นางใช้ชีวิต ผิดด้วยหรือ”
ฉินหลิวซีถอนหายใจที “บางทีสิ่งที่คิดว่าดีอาจจะเป็นเพียงห่วงพันธนาการ ความจริงความมั่นคงก็ใช่ว่าต้องแต่งเข้าตระกูลผู้รู้หนังสือเสมอไป ตระกูลทรงอิทธิพลอื่นๆ ก็ได้เช่นกัน ขอแค่คุยกันถูกคอกันง่ายกว่าก็พอ ความจริงพวกอาลักษณ์รู้หนังสือมีปัญหาก็เยอะ ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องในตระกูลฟ่านมากนัก แต่มีตระกูลผู้รู้หนังสือไม่น้อยที่หัวโบราณและชอบตั้งกรอบ คุณหนูเซี่ยเกิดในตระกูลแม่ทัพจะรับกฎเกณฑ์มากมายขนาดนั้นได้อย่างไร”
พอนางคิดว่าวันหน้าบุตรสาวต้องใช้ชีวิตกับครอบครัวสามีจึงยิ่งให้เกียรติต่อตระกูลอีกฝ่าย และกลัวว่าแม่สามีจะกลั่นแกล้งบุตรสาวของนาง
ทว่าสุดท้ายสิ่งที่แลกมาก็คือการไม่ได้พบหน้าบุตรสาวจนถึงวันตาย
“แม้แต่มาร่วมงานศพ พวกท่านก็ไม่ได้เห็นหน้าคุณหนูเป็นครั้งสุดท้ายเลยหรือ”
“นางจากไปในช่วงฤดูร้อน ปีนั้นประสบภัยแล้ง ยามข่าวการตายมาส่งถึงจวน ศพก็ถูกจัดเก็บปิดฝาโลงไปแล้ว” นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่ากล่าวด้วยความเศร้าโศก “ปีนั้นข้าเองก็สูญเสียลูกชายคนเล็กไปเช่นกัน ทางจวนก็จัดงานศพเลยไปร่วมงานด้วยตัวเองไม่ได้ ข้าจึงส่งแม่ทัพที่ซื่อสัตย์และสาวรับใช้ไปแทน แต่พวกเขากลับเจอเด็กที่คลอดยากเท่านั้น”
ฉินหลิวซีส่ายหน้า “มิน่าแรงอาฆาตถึงรุนแรงนัก”
ออกเรือนอย่างสับสนมึนงง อีกทั้งตายไปโดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ขณะที่จวนของมารดาตนก็ไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง กระทั่งไม่แม้แต่จะตามหาความจริงเรื่องนี้ หากเป็นนาง นางก็คงแค้น
“ใช่ว่าพวกเราจะไม่เคยรู้สึกกังขา ทว่าแม้แต่บ่าวรับใช้ข้างกายหว่านเอ๋อร์ต่างบอกว่านางตายเพราะคลอดลูกยาก สาเหตุที่ทำให้คลอดลูกยากก็เพราะยามปกติหว่านเอ๋อร์มีปฏิสัมพันธ์กับคนในตระกูลฟ่านไม่ค่อยดีนัก ทำให้เป็นโรคซึมเศร้า” นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าเอ่ยเสียงขมขื่น “ปีนั้นคนในตระกูลเซี่ยของเราตายกันไม่น้อย เห็นว่าใช้ชีวิตของหว่านเอ๋อร์แลกมากับบุตรชายคนหนึ่งเลยไม่ได้ไตร่ตรองสิ่งใดให้มากนัก”
ฉินหลิวซีตรวจดูการตายจากวันเดือนปีเกิด จากนั้นก็เห็นว่าเรื่องเกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อน ต่อให้ผ่านไปแล้วสามปี แต่กลับยังคงไว้ซึ่งแรงอาฆาต บ่งบอกว่านางยังไม่ไปเกิด นางตายโหง หากคิดแก้แค้นขึ้นมาก็ใช่ว่าตระกูลฟ่านจะไม่เป็นอะไรเลย
“สามปีที่ผ่านมาตระกูลฟ่านเป็นอย่างไรบ้าง”
ซุ่นฟังแค่นเสียงเย็นชาเอ่ย “หลังจากที่คุณหนูตายไปหนึ่งปี พวกเขาก็แต่งภรรยาใหม่เข้าจวน ได้ยินมาว่าให้กำเนิดบุตรตั้งสองคนแล้ว”
ฉินหลิวซีมุ่นคิ้ว “เกรงว่าคุณหนูเซี่ยต้องทนทุกข์ทรมานแล้ว”
“ทำไมหรือ”
“ในเมื่อตายโหงย่อมต้องมีความแค้น ตายในจวนตระกูลฟ่าน อย่างน้อยก็ต้องมีความอาฆาตต่อตระกูลฟ่านบ้าง แต่ดูจากสถานการณ์อันราบรื่นในตระกูลฟ่านแล้ว แสดงว่านางคงไม่ได้ก่อกวน” ฉินหลิวซีเอ่ย “เกรงว่าคงมีคนจัดการกับดวงวิญญาณของร่างนาง ทำให้นางแก้แค้นไม่ได้ มิเช่นนั้นคงต้องเกิดเรื่องใดต่อตระกูลฟ่านบ้าง”
นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่ามือสั่น หมายความว่านอกจากบุตรสาวของนางจะตายโหงแล้ว หลังจากตายแล้วแม้แต่ดวงวิญญาณของนางก็ถูกรังแกด้วยหรือ
ซุ่นฟังเอ่ยเสียงสั่นเครือ “หรือจะไปเกิดใหม่แล้ว”
ฉินหลิวซีส่ายหน้าแล้วเอ่ย “หากเป็นเช่นนั้นจริงคงไม่มีแรงอาฆาตหรอก”
นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าหน้าซีดลงกว่าเดิม เอ่ยอย่างหวาดกลัวโดยทำอะไรไม่ได้ “ข้าควรทำเช่นไรต่อไปดี ข้าฝันถึงนาง นางกำลังบอกข้าเรื่องความไม่เป็นธรรมที่นางเผชิญอยู่หรือ ท่านอาจารย์ ข้าควรทำอย่างไรถึงจะช่วยให้นางได้รับความเป็นธรรม บอกมาเถิด ต่อให้ต้องแลกมาด้วยชีวิต คนแก่ๆ อย่างข้าก็พร้อมทวงความยุติธรรมกลับมาให้นาง”
มือทั้งสองข้างของนางปัดป่ายก่อนจะเกาะแขนของฉินหลิวซีไว้แน่น ซึ่งแทบใช้แรงทั้งหมดในร่างกาย
“ความจริง คงทำได้แค่ตามสืบในตระกูลฟ่าน”
“แต่ข้าไม่ได้ไปมาหาสู่กับตระกูลฟ่านแล้ว”
ฉินหลิวซีเอ่ย “นางมีลูกมิใช่หรือ ในฐานะที่ท่านเป็นยาย ไปเยี่ยมหลานบ้างถือว่าเป็นเรื่องปกติมากโข”
นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าหวั่นไหวตาม
“ตระกูลฟ่านอยู่ตั้งซุ่นหยาง หากเดินทางออกจากเมืองหลวงคงต้องใช้เวลาห้าหกวัน ด้วยสุขภาพของฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว เกรงว่าคงทนรอนแรมเดินทางไกลๆ ไม่ไหว”
นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าเอ่ยเสียงขรึม “ไม่เป็นไร ต่อให้ข้อกระดูกเคลื่อนตำแหน่ง ข้าก็จะไป ข้าจะดูสิว่าตระกูลฟ่านปิดบังเรื่องใดไว้”
“มีข้าอยู่ คงไม่ปล่อยให้นายหญิงผู้เฒ่าเป็นอะไรไประหว่างเดินทางหรอก อ้อ แล้วก็ก่อนจะไป ข้าขอไปตรวจดูที่จวนของพวกท่านก่อน” ฉินหลิวซีกล่าว “การเปลี่ยนแปลงอายุขัยของท่าน หากฮวงจุ้ยในจวนท่านเกิดการเปลี่ยนแปลงคงจัดการง่าย แต่หากมีคนช่วงชิงโชคลาภไป เช่นนั้นก็คงต้องไปดูที่สุสาน”
“แต่สุสานของตระกูลเซี่ยตั้งอยู่ที่ไป่เย่ว์” ไกลกว่าซุ่นหยางเสียอีก
ฉินหลิวซีเอ่ย “ต่อให้ต้องข้ามมหาสมุทร ข้าก็ไปได้ วางใจเถิด”
เหมือนยิ่งตาบอด ประสาทสัมผัสก็ยิ่งว่องไวมากกว่าเดิม นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่ารู้สึกว่าฉินหลิวซีเชื่อว่าเกิดเรื่องบางอย่างที่สุสานตระกูลเซี่ยมากกว่า อีกอย่างเพราะนางให้ความสนใจเรื่องนี้จึงร้อนใจอยู่บ้าง
ในเมื่อชักช้าไม่ได้ พวกเขาจึงออกจากวัดอวี้ฝอไป
จวนตระกูลเซี่ยตั้งอยู่ในย่านไป่หลี่ทางตะวันออกซึ่งรายล้อมด้วยจวนขุนนางผู้สูงศักดิ์ เพราะสร้างคุณงามความดีไว้มาก จวนจึงมีพื้นที่กว้างขวาง กระทั่งเคยเป็นที่พำนักขององค์หญิงในราชวงศ์ก่อน จึงหรูหราเป็นพิเศษ
เพียงแต่สำหรับคนนอกต่างมองว่าตระกูลเซี่ยตกอับ ในเมื่อบุรุษที่จะใช้สืบทอดตระกูลตายเกลี้ยง บัดนี้ในจวนเหลือเพียงเด็กน้อย สตรีและคนแก่ และใช้ชีวิตเฝ้าเลี้ยงดูต้นกล้าที่เปราะบางต้นหนึ่งไปวันๆ
นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่ากลับไม่ใส่ใจ นางไม่กลัวว่าใครจะรังแกครหาว่าตระกูลเซี่ยไม่เหลือใคร ขอแค่ใครสามหาว นางก็พร้อมเดินชูป้ายคนในตระกูลเซี่ยไปจนถึงวัง เพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นว่าคนในตระกูลเซี่ยของนางสละชีพไปตั้งเท่าไร สุดท้ายกลับมีจุดจบเช่นไร
ดังนั้นต่อให้เหลือแต่เด็กและสตรีผู้อ่อนแอ แต่กลับไม่มีใครกล้าดูแคลน พวกเขากลัวอำนาจและอารมณ์โมโหร้ายของนายหญิงเซี่ยผู้เฒ่ากันทั้งนั้น
ตั้งแต่ด้านนอกจนเข้ามาด้านใน ฉินหลิวซีมองตำแหน่งฮวงจุ้ยต่างๆ โดยไม่ให้คลาดสายตา ทุกอย่างยังอยู่ดี มีเพียงจุดด้อยเล็กน้อยที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต ซึ่งก็บ่งบอกว่าไม่มีใครทำอะไรกับจวนแห่งนี้เลย
กระทั่งเจอสายเลือดทางตรงของตระกูลเซี่ย ซึ่งก็คือสะใภ้ทั้งสามที่เหลืออยู่ของนายหญิงผู้เฒ่า บวกกับเซี่ยซื่ออันเด็กน้อยที่ถูกกอดไว้ในอ้อมอก ทุกคนล้วนแฝงไปด้วยพลังความโชคร้าย กระทั่งเด็กน้อยผู้นั้นยังมีรังสีความตายวนเวียนรอบกาย เพียงแต่ยังคงบางเบา
ฉินหลิวซีใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม ถูกช่วงชิงโชคลาภไปจนหมดแล้วหรือ!
ครั้งนายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าได้ยินเสียงถอนหายใจเบาหวิวของนางเช่นนั้น พลันใจพลันหนักอึ้งราวมีก้อนหินขนาดมหึมากดทับ กดให้นางร่วงตกลงหน้าผาลึก จากนั้นภาพตรงหน้าของนางก็มืดลง