คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1106 คลี่คลายทุกเรื่องของตระกูลเซี่ย
ตอนที่ 1106 คลี่คลายทุกเรื่องของตระกูลเซี่ย
ในเมื่อรู้ว่าจวนตระกูลเซี่ยไม่ได้มีปัญหา ฉินหลิวซีจึงไม่อยู่นาน คิดเพียงว่าพอคลี่คลายเรื่องของคุณหนูเซี่ยเสร็จก็จะไปหลุมฝังศพของตระกูลเซี่ยต่อ ทว่าด้วยความสงสารที่มีต่อตระกูลเซี่ย คิดว่าไหนๆ ก็มาแล้ว นางจึงเป็นฝ่ายเสนอตัวจัดการช่วยเหลือ
อย่างแรกปรับเปลี่ยนขั้นตอนการบำรุงดูแลร่างกายให้ทายาทเพียงคนเดียวในตระกูล มิเช่นนั้นต่อให้เลี้ยงดูจนเติบใหญ่ คาดว่าก็คงร่างกายอ่อนแอโรคภัยรุมเร้า หากจะอยู่สืบทอดตระกูลมีอายุยืนยาวคงเป็นเรื่องยาก
“…ต่อให้เป็นยาก็มีพิษแฝงสามส่วน เดิมทีคุณชายลืมตาดูโลกเร็วก็เพราะอารมณ์สะเทือนใจของมารดา ลมปราณไม่เพียงพอแต่กำเนิดจึงทำให้อ่อนแอ แต่ความจริงหากค่อยๆ บำรุงร่างกายไปก็ไม่มีปัญหา แต่พวกท่านกลับเลี้ยงดูเขาราวกับคนป่วยเรื้อรัง ดื่มยามากกว่าดื่มนมเสียอีก ทำให้ผลข้างเคียงมีพิษแฝงอยู่ในร่างกาย” ฉินหลิวซีมองร่างกายบอบบางซูบผอมของเซี่ยซื่ออันพลางถอนหายใจเล็กน้อย
เด็กคนนี้กินยาเข้าไปมากเท่าไร ขนาดไม่ได้ประชิดเข้าใกล้ก็ยังได้กลิ่นยาแผ่ซ่านออกมาจากร่างกายของเขาแล้ว ใบหน้าซีดเซียวไร้เลือดฝาด ทว่าตระกูลเซี่ยกลับต้มยาบำรุงให้เขาไม่มีหยุด ผลจึงออกมาในทางกลับกันคือนอกจากจะไม่ได้บำรุงร่างกายแล้ว แต่ยิ่งบำรุงกลับยิ่งอ่อนแอ
“เป็นพิษ หมายถึงเศษยาที่หลงเหลือกลายเป็นพิษเช่นนั้นหรือ” สะใภ้ห้าของตระกูลเซี่ย หรือก็คือมารดาของเซี่ยซื่ออัน สะใภ้จังเอ่ยถามอย่างร้อนใจ
ฉินหลิวซีพยักหน้า “วันๆ กินยามากกว่ากินข้าว ม้ามและกระเพาะอาหารอ่อนแอและเย็นเกินไป ทำให้ดูดซึมอาหารได้ไม่ดี มีแต่จะสะสมอยู่อวัยวะภายใน ย่อมกลายเป็นพิษ”
“หมอไม่เคยบอกมาก่อนเลย” นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่ามุ่นคิ้วเอ่ย “ตระกูลเซี่ยของเราจะมีหมอหลวงรับหน้าที่ตรวจดูชีพจรตลอดทั้งปี อีกทั้งในจวนเองก็มีหมอ นี่…”
“ใช่ว่าพวกเขาจงใจทำให้อาการป่วยของคุณชายน้อยเพิ่มขึ้น แต่ส่วนมากรักษาโรคตามอาการเพื่อให้ได้ผลลัพธ์อันรวดเร็ว หรือกล่าวว่าทั้งๆ ที่รู้แก่ใจดี แต่ก็ให้คำแนะนำโดยกะทันหันไม่ได้ ในเมื่อทายาทคนนี้มีความสำคัญมาก เรื่องนี้ทุกคนต่างรู้กันถ้วนหน้า” ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม้ยิ้ม
หมอหลวงกับหมอทั่วไปใช่ว่าจะไร้จรรยาบรรณ แต่พวกเขาทะนุถนอมชีวิต โดยเฉพาะหมอหลวง ในเมื่อคร่ำหวอดอยู่ในแวดวงตระกูลสูงศักดิ์มานานย่อมรู้จักวิธีการเอาตัวรอด หากโพล่งคำแนะนำขึ้นมาโดยกะทันหันจนเป็นเหตุแก่ความตาย กลับไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาจะแบกรับไว้ได้เลย
สู้ยอมเดินทางสายกลางรักษาชีวิตอันเปราะบางนี้ไว้ พวกเขาเองก็ไม่กล้าชี้แนะซี้ซั้ว ลดความเสี่ยงให้น้อยลงย่อมดีกว่า
นายหญิงผู้เฒ่าเองก็คิดถึงจุดนี้อย่างเห็นได้ชัด จึงถอดถอนหายใจอย่างอดไม่ได้แล้วเอ่ย “แต่ท่านอาจารย์กลับกล้าพูดอย่างตรงไปตรงมา”
ฉินหลิวซียิ้มเอ่ย “ข้ากล้าพูด ย่อมเป็นเพราะข้าเชื่อมั่นว่าข้ารักษาได้ ร่างกายของเขามีลมปราณไม่เพียงพอและเลือดลมขาดพร่อง สิ่งที่ต้องบำรุงเป็นอันดับแรกย่อมเป็นลมปราณ ลมปราณเปรียบเสมือนพลังงานในร่างกาย เมื่อมีมากพอแล้วย่อมไหลเวียนดี การไหลเวียนของเลือดก็จะดีและไม่ขาดพร่องตามไปด้วย แต่เพราะเมื่อก่อนพวกท่านใช้ใบสั่งยาซี้ซั้ว เหตุด้วยสุขภาพของเขา คิดว่าพวกท่านคงเชิญท่านหมอมารักษาไม่น้อย อีกทั้งแต่ละหมอเองก็ให้ใบสั่งยาแตกต่างกันไป กินเช่นนี้ต่อให้ไม่ป่วยก็กลายเป็นคนป่วยได้”
ตระกูลเซี่ยได้ฟังเช่นนั้นก็รู้สึกย่ำแย่
เมืองหลวงใหญ่โต ตระกูลที่หลงเหลือทายาทเพียงคนเดียวมีอยู่มากมาย ฉะนั้นจึงให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ตระกูลของพวกเขาเองย่อมไม่ต่างกัน โดยเฉพาะทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลเซี่ยที่ไม่รู้จะตายหรือรอด ยิ่งเปรียบดั่งสมบัติล้ำค่า
เพราะเด็กคลอดก่อนกำหนด ลำพังแค่ไอครั้งเดียว พวกนางก็ไม่สบายใจไปหลายวันหลายคืนแล้ว พอหมอคนหนึ่งรักษาไม่หาย กินยาไม่ได้ผล พวกเขาก็เปลี่ยนหมอใหม่ กระทั่งเคยจ้างคนให้ไปตามหาหมอเทวดาตู้เหรินที่ร่อนเร่ตามหาตัวยากมาด้วย แต่สุดท้ายก็ไร้วี่แวว
เป็นดั่งที่ฉินหลิวซีกล่าว ท่านหมอดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า เปลี่ยนใบสั่งยาไปหลายขนาน แต่เจ้าเด็กคนนี้ก็ยังร่างกายอ่อนแอ แม้แต่การฝึกซ้อมวิทยายุทธ์ที่จำเป็นในเด็กเล็กของตระกูลเซี่ยยังต้องเลื่อนเวลาออกไป
เพราะร่างกายอ่อนแอมากจริงๆ แม้แต่จับม้ายังเป็นลมหมดสติไปได้ จะฝึกซ้อมไหวได้อย่างไร
ตอนนี้ฉินหลิวซีกลับบอกว่าเพราะความเครียดและความเป็นห่วงของพวกเขาทำร้ายหนูน้อย ชวนให้พวกนางรู้สึกอับอายจนไร้ที่ยืน
นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่านั่งลงบนเก้าอี้ มือกำหัวมังกรของไม้เท้าไว้แน่นพลางเอ่ยถามว่า “จากที่ท่านอาจารย์ดูแล้ว อันเอ๋อร์ของข้าควรรักษาเช่นไรถึงจะหายหรือ”
“ข้าจะเริ่มจากใช้ศาสตร์ฝังเข็มให้เลือดลมไหลเดิน ปรับสมดุลหยินหยางเพื่อรักษาชีวิตต่อไป ส่วนเรื่องยาหยุดกินก่อนชั่วคราว จัดการขับเศษพิษยาที่เหลืออยู่ภายในออกมาก่อน แล้วค่อยกินยาบำรุงม้ามและกระเพาะอาหารเพื่อหล่อเลี้ยงลมปราณ บวกกับใช้น้ำยาอาบน้ำด้วย เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับข้อเอ็น และต้องออกกำลังกายบ่อยๆ ด้วย” ฉินหลิวซีเอ่ย “การออกกำลังกายไม่ใช่ว่ายึดตามแบบฉบับวิทยายุทธ์ฝึกซ้อมต่อสู้หนักหน่วงเช่นนั้น เขารับไม่ไหวหรอก”
“เช่นนั้นต้องทำอย่างไรหรือ”
“ตื่นเช้ามาเดินเร็ว เริ่มแรกใช่เวลาราวครึ่งชั่วยาม แล้วค่อยๆ เพิ่มเวลามาเป็นหนึ่งชั่วยาม โดยให้ร่างกายเหงื่อออกหน่อยยิ่งดี หลังจากกินข้าวเสร็จก็เช่นกัน เดินย่อยอาหาร อ้อ ข้ายังมีวิทยายุทธ์ของอารามชิงผิงด้วย บอกให้คุณชายน้อยฝึกฝนไปก่อนเพื่อทำให้ร่างกายแข็งแรง ช่วยฝึกเรื่องร่างกายและจิตใจ” นางล้วงหยิบสมุดหน้าปกสีฟ้าขึ้นมาจากถุงเฉียนคุนก่อนส่งให้สะใภ้จัง
ทุกคนสายตาตกตะลึงเล็กน้อย จับจ้องถุงผ้าเล็กๆ ที่ไม่มีอะไรโดดเด่นตรงเอวด้วยท่าทีประหลาดใจ ถุงผ้าเล็กไม่เหมือนจะใส่สมุดได้สักเล่ม แม้แต่ขอบมุมยังไม่มี แล้วล้วงหยิบออกมาได้อย่างไร
สะใภ้จังมองตัวอักษรบนสมุดเล่มนั้นด้วยสีหน้าฉงน ศาสตร์เทพชิงผิง จะใช้ฝึกฝนได้จริงๆ หรือ
“ฝึกฝนอันนี้ไปก่อน รอสุขภาพหายดีเมื่อไร ค่อยฝึกวิทยายุทธ์ไปตามปกติแล้วค่อยๆ เพิ่มระดับความหนักหน่วงเอา”
นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่ากำมือแน่น “เจ้าหมายความว่าวันหน้าเด็กคนนี้ยังฝึกฝนวิทยายุทธ์ได้อีกอย่างนั้นหรือ”
สะใภ้จังเม้มริมฝีปากโดยไม่พูดอะไร
หากฝึกฝนวิทยายุทธได้ย่อมต้องออกรบ แต่ในใจลึกๆ ของนาง ยอมให้ลูกไม่เป็นวรยุทธ์ใดๆ เลยจะดีกว่า
ฉินหลิวซีเอ่ย “หากดูแลบำรุงดีย่อมทำได้ ข้าเห็นเดินไปไหนมาไหนยังอุ้มเขาเช่นนี้ ความจริงนี่ไม่เป็นผลดีต่อร่างกายเลย การฟูมฟักเลี้ยงลูกมากเกินไปกลับไม่ใช่เรื่องดี”
นางบอกข้อควรระวังอีกเล็กน้อย จากนั้นก็นั่งลงเขียนใบสั่งยา อย่างแรกต้องแก้พิษยาก่อน หลังจากเขียนเสร็จก็ส่งไปให้พลางเอ่ยว่า “พอขับพิษออกมาแล้วก็ไปเอายาที่ร้านยาตำหนักอายุวัฒนะ พวกเขาทำเป็น กินหนึ่งเม็ดหลังอาหารสามมื้อทุกวัน พอกินครบหนึ่งเดือนแล้วค่อยเปลี่ยนเป็นแบบยาน้ำ”
จากนั้นนางก็ส่งไปให้อีกหนึ่งแผ่น พอขบคิดดูแล้วก็เขียนใบสั่งยาขนานดีๆ ที่เหมาะกับร่างกายเขาให้อีกสองแผ่น บวกกับใบสั่งยาที่ใช้อาบ รวมถึงข้อห้ามต่างๆ ด้วย
นางให้นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าเรียกหมอประจำจวนมา การฝังเข็มใช่ว่าจะทำเพียงครั้งเดียว นางอยากให้หมอประจำจวนคอยเรียนรู้อยู่ข้างๆ ตอนที่นางไม่อยู่จะได้ช่วยฝังเข็มปรับลมปราณให้คุณชายน้อยได้
หมอประจำจวนเซี่ยแซ่สวี ไม่มีบุตรสักคน เขาเป็นทหารเกษียณที่มาใช้ชีวิตบั้นปลายในจวนตระกูลเซี่ย เขารีบมาอย่างรวดเร็ว พอได้ฟังคำอธิบายจากฉินหลิวซี เขายังคงงงงันอยู่บ้าง มีคนเต็มใจพร้อมถ่ายทอดศาสตร์การฝังเข็มเช่นนี้ด้วยหรือ
กระทั่งฉินหลิวซีสอนพลางกล่าวอธิบายจริงๆ เขาถึงสงบสติอารมณ์แล้วเรียนรู้อย่างละเอียด
หลังจากฝังเข็มเสร็จ หมอสวีก็คลำจับเส้นชีพจรของคุณชายน้อยอย่างอดไม่ได้ เหมือนว่าเส้นชีพจรจะไม่ได้อ่อนแออย่างก่อนหน้านี้ พอถามอาการก็บอกว่าร่างกายเหมือนจะไม่ได้หนักอึ้งไร้เรี่ยวแรงอย่างก่อนหน้านี้ พลันก็อดตกใจไม่ได้ หลังจากนายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าเจอหมอเทวดาตู้ ก็ถึงคราวที่คุณชายน้อยเจอหมอเทวดาอีกคนแล้ว
ศาสตร์การฝังเข็มนี้เป็นศาสตร์ที่ดีทีเดียว ท่านหมอสวีหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนลำดับจุดฝังเข็มด้วยตนเอง จากนั้นก็ถามอีกหลายข้อ เขาตัดสินใจว่าตอนกลับไปจะหาคนในจวนมาลองฝังเข็มดู เพื่อเลี่ยงไม่ให้พอถึงคราวฝังเข็มให้คุณชายน้อยแล้วไม่ได้ผล
“การฝังเข็มกับการกินยาต้องทำควบคู่กันไป ท่านเป็นหมอประจำจวนย่อมรู้แก่ใจดี ขอแค่ไม่เกิดข้อผิดพลาด บวกกับรักษาต่อไปเช่นนี้ ไม่เกินหนึ่งปีเขาคงวิ่งกระโดดได้แล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ยกับท่านหมอสวี “การรักษาคนต้องระมัดระวัง แต่บางครั้งหากผลการรักษาไม่เป็นไปตามคาด คำแนะนำบางเรื่องแค่พูดออกไปอย่างใจกล้าก็พอ”
นอกจากฉินหลิวซีจะมีความรอบคอบแล้ว นางยังเต็มใจชี้แนะการฝังเข็มให้หมอในจวนด้วย ตระกูลเซี่ยนึกว่าแค่นี้คงพอแล้ว แต่นึกไม่ถึงว่านางจะให้ยันต์หยกคุ้มครองมาใส่ ในเมื่อโชคชะตาของตระกูลเซี่ยเกิดการเปลี่ยนแปลง มียันต์คอยคุ้มกันไว้ย่อมช่วยต้านโรคร้าย แม้แต่เหล่าสะใภ้ตระกูลเซี่ยยังมียันต์คุ้มครอง ชวนให้นายหญิงผู้เฒ่ารู้สึกเหมือนได้รับสมบัติล้ำค่า
นอกจากเรื่องดูแลรักษาทายาทผู้อ่อนแออย่างเซี่ยอันซื่อแล้ว เวลานี้สิ่งที่สำคัญก็คือชีวิตของนายหญิงเซี่ยผู้เฒ่า ฉินหลิวซีลงมือทำหุ่นเชิดโดยใช้ไม้ไผ่มาเป็นกระดูกแล้วใช้กระดาษมาแทนเนื้อหนัง ทำเป็นกระดาษรูปคน พร้อมติดผมหนึ่งเส้นลงบนศีรษะของกระดาษรูปคนนั้นแล้วจุดเป็นดวงตา จากนั้นก็ใช้เลือดเขียนวันเดือนปีเกิดของนางแล้ววางไว้บนเตียงของนายหญิงเซี่ยผู้เฒ่า
ครั้นคนในตระกูลเซี่ยเห็นเช่นนั้นก็หนาวสะท้านไปทั้งร่าง โดยเฉพาะยามมองกระดาษรูปคนที่มีขนาดเท่าคน มวลทะมึนน่าสะพรึง พลางก็อดขนลุกซู่ไม่ได้
มีเพียงนายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าที่รู้สึกประหลาดใจ รู้สึกว่าอาการหนักอึ้งบนร่างกายแผ่ซ่าน อีกทั้งให้ความรู้สึกว่าตนเองไม่ใช่ตนเองอีกต่อไป
ซุ่นฟังเอ่ยเสียงตกใจ “วิธีปกปิดฟ้าดินเช่นนี้ช่างน่าขนลุกนัก แบบนี้สามารถรับเคราะห์แทนฮูหยินผู้เฒ่าได้จริงๆ หรือ คงไม่เกิดเรื่องใดขึ้นกระมัง”
ฉินหลิวซีเอ่ย “ถึงจะบอกว่าปกปิดฟ้าดิน แต่ความจริงแค่ใช้วัตถุแทนร่างกายเพื่อหลบหนีเคราะห์กรรมจากสวรรค์ แต่มีเวลาแค่ยี่สิบเอ็ดวันเท่านั้น หากไม่แก้ไขที่ต้นตอ นายหญิงผู้เฒ่าก็คงหลบโชคชะตานี้ไม่พ้น นอกจากนี้ต้องระวังไม่ให้วัตถุเกิดการเปลี่ยนแปลงด้วย”
“วัตถุเกิดการเปลี่ยนแปลงหมายความว่าอย่างไร”
“นี่เป็นการยืมวัตถุมาใช้แทน ซึ่งถือว่าเป็นอาคมอย่างหนึ่ง แต่ทุกสรรพสิ่งย่อมมีดวงจิต เมื่อมันได้โอกาส มันก็จะเข้ามาแทนที่ นี่เรียกว่าการเปลี่ยนแปลงของวัตถุที่สามารถย้อนกลับมาทำร้ายได้”
ทุกคนสะท้านเฮือกไปทั้งร่าง มองกระดาษรูปคนด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
หากวัตถุเกิดการเปลี่ยนแปลง กระดาษรูปคนนี้ก็คงกลายเป็นนายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าของพวกเขามิใช่หรือ นี่…นี่ออกจะเสี่ยงเกินไปหน่อยกระมัง
แค่คิดว่ากระดาษคนนั่งอยู่บนเตียง แถมต้องก้มหน้าทำความเคารพอย่างน่าเกรงขาม ปากก็ต้องเรียกว่านายหญิง…
โอ๊ย เลิกคิดเถอะ แค่คิดก็ขนลุก ยิ่งคิดก็ยิ่งใจสะท้าน!
โดยเฉพาะยามที่เห็นกระดาษรูปคนถูกสวมทับด้วยเสื้อผ้าก็อยากก้าวขาวิ่งหนีใจแทบขาดแล้ว
ซุ่นฟังกลืนน้ำลายเฮือกแล้วเอ่ย “แล้วแบบนี้ต้องป้องกันอย่างไรหรือ ในเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าต้องไปซุ่นหยางกับท่าน นี่…”
หากคิดจะทำลายค่ายอาคม เช่นนั้นก็ต้องเผชิญกับความลำบากก่อน อีกอย่างหากค่ายอาคมถูกทำลาย นางย่อมรู้ได้ในทันทีและรับมือแทนกระดาษรูปคนนั้น
เรื่องผิดพลาดเช่นนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ มิเช่นนั้นชื่อเสียงของนางคงเสื่อมเสียแย่!
ครั้นเห็นสีหน้ามั่นใจของฉินหลิวซี ทุกคนถึงผ่อนลมหายใจเสียงเบา
พอจัดการสิ่งเหล่านี้เสร็จ พวกเขาก็เดินทางมุ่งหน้าไปยังซุ่นหยาง อีกทั้งคนที่ร่วมเดินทางไปกับนายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าด้วยยังมีสะใภ้โจวอีกคน ร่างกายแข็งแรงกำยำ สีหน้านิ่งขรึมดุดัน
พอการเดินทางครั้งนี้มีฉินหลิวซีข้างกาย นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าจึงได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ดวงตาพร่าเลือนที่มองอะไรไม่เห็น พอมีฉินหลิวซีคอยฝังเข็มและกินยาทุกวัน นางก็พอมองเห็นสิ่งต่างๆ เลือนรางบ้างแล้ว
จากคำพูดของฉินหลิวซี ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเศร้า ไฟร้อนพุ่งสูง บวกกับร้องไห้อย่างหนักถึงทำให้ตาบอด หากฝังเข็มกินยา วันหน้าไม่ใช้สายตาหนักเกินไป ถึงแม้จะมองไม่ชัดเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็คงไม่ถึงขั้นมองแสงใดไม่เห็นเลย
ตระกูลเซี่ยต่างพากันตื่นเต้น ความโชคร้ายในตระกูลตลอดหลายปีมานี้ เวลานี้ถือว่าได้เจอคนมีความสามารถอย่างแท้จริงแล้ว
การเดินทางห้าวันถูกลดทอนลงเหลือสามวันโดยฉินหลิวซี หากไม่ใช่เพราะกลัวคนเหล่านี้จะรับไม่ไหว คาดว่านางคงพาพวกเขาเดินผ่านเส้นทางยมโลกแล้ว แบบนั้นคงเร็วกว่า
จวนตระกูลฟ่าน ณ ซุ่นหยาง
วันนี้ฮูหยินฟ่านผู้เฒ่าหนังตากระตุกอย่างหนัก พอมองออกไปด้านนอกทั้งๆ ที่กลางวันแสกๆ แต่ฟ้ากลับดำทะมึน พร้อมแผ่ไอลางร้ายออกมาจางๆ พลันก็รู้สึกกระวนกระวายใจ จึงรีบคว้าลูกประคำไม้จันทน์สีม่วงในมือพลางท่องบทสวด
ทว่ามือยิ่งเลื่อนนับลูกประคำ ภายในใจก็ยิ่งร้อนรุ่ม พอเรียวนิ้วเกี่ยวโดน
กึก แกร๊ง
เส้นลูกประคำในมือขาดผึ่ง ลูกปัดร่วงตกลงพื้น กระทั่งมีเม็ดหนึ่งเป็นรอยปริแตก
ฮูหยินฟ่านผู้เฒ่ารูม่านตาหด ลมหายใจหยุดชะงัก จับจ้องลูกประคำที่กลิ้งเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นด้วยริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง ใบหน้าที่เดิมทีซูบผอมโหนกแก้มสูงก็ยิ่งขับให้ขึงขังอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อหมัวหมัวแซ่เฉิงที่คอยปรนนิบัติข้างกายนางเห็นเช่นนั้นก็สีหน้าเปลี่ยนไปชั่วขณะ ก่อนจะหันไปมองสีหน้าของฮูหยินฟ่านผู้เฒ่าอย่างรวดเร็วแล้วร้องโอดโอยว่า “เจ้าเด็กหลิงเอ๋อร์เป็นอะไรไป เหตุใดไม่ดูแลลูกประคำให้ดีๆ ไม่ดูบ้างเลยว่าเส้นใกล้ขาดแล้ว”
“เจ้าค่ะ” เฉิงหมัวหมัวรีบเรียกคนมาจัดการเก็บลูกประคำใส่ลงหีบน้อยก่อนไปหาลูกประคำอีกเส้นมาให้ ครั้นเห็นฮูหยินฟ่านผู้เฒ่าคลึงขมับก็เอ่ยว่า “ฮูหยินปวดหัวหรือ บ่าวนวดให้สักหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ”
ขณะที่ฮูหยินฟ่านผู้เฒ่าหมายพูดอะไรบางอย่างก็มีเสียงบ่าวดังแว่วมาจากด้านนอก ก่อนจะรีบเดินเข้ามา สีหน้าดูร้อนรนเล็กน้อย
“ตื่นตูมตกใจเรื่องใดกัน” เฉิงหมัวหมัวตำหนิขึ้นก่อน
บ่าวผู้นั้นทำความเคารพแล้วเอ่ย “ฮูหยินผู้เฒ่า คนเฝ้าประตูส่งคนมาบอกว่าผู้เฒ่าตระกูลฮูหยินมาเจ้าค่ะ”
“มาก็มาสิ จะตื่นตูมไปไย”
“แต่ แต่ไม่ใช่ฮูหยินในตอนนี้น่ะสิเจ้าคะ เป็นฮูหยินคนก่อน นายหญิงผู้เฒ่าตระกูลเซี่ยเจ้าค่ะ” บ่าวตอบกลับ
ฮูหยินฟ่านผู้เฒ่านั่งยืดหลังตรง สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย
เหตุใดนางผู้เฒ่าถึงโผล่มาได้
เฉิงหมัวหมัวตกใจเล็กน้อย หลังจากนางผู้นั้นตาย นอกจากส่งของกำนัลมาให้ตามเทศกาลในแต่ละปี ทั้งสองตระกูลก็ไม่เคยไปมาหาสู่กันเลย
ไม่สิ ต่อให้ฮูหยินคนก่อนยังอยู่ก็ไม่เคยไปมาหาสู่กับจวนฝ่ายมารดาเลยสักครั้ง
ตอนนี้ฮูหยินคนก่อนล่วงลับไปสามปีกว่าแล้ว คนที่ไม่น่าปรากฏตัวที่สุดกลับโผล่มาจวนตระกูลฟ่านเสียได้
เฉิงหมัวหมัวกลืนน้ำลายก่อนมองไปยังหีบที่บรรจุลูกประคำเมื่อครู่ข้างกาย เหตุที่สายขาดเพราะเรื่องนี้หรอกหรือ
ต่อให้จะไม่เต็มใจนัก แต่ในเมื่อมาถึงหน้าประตูแล้ว กระนั้นก็ต้องเชิญตัวเข้ามา
ฮูหยินฟ่านผู้เฒ่าขมวดคิ้วมุ่น พลางครุ่นคิดในใจถึงสาเหตุการมาเยือนซุ่นหยางของนายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าว่าเป็นเพราะเรื่องใด
นางข่มหัวใจที่เต้นระรัวก่อนหันหน้าไปออกคำสั่ง “ไปเอาลูกกลอนบำรุงหัวใจมา ข้าใจหวิวนัก”
หลังจากผ่านไปหนึ่งเค่อ นางก็มาพบพวกนายหญิงเซี่ยผู้เฒ่า
นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าแก่กว่าที่นางจินตนาการไว้นัก ก็จริง ในเมื่อคนในตระกูลเซี่ยตายแทบไม่เหลือ ต่อให้นางจิตใจแข็งแกร่งมากเพียงใดก็คงตั้งรับไม่ไหวกระมัง
สายตาของนายหญิงฟ่านผู้เฒ่ากวาดมองไปทางไม้เท้าหัวมังกรที่ทำจากไม้จันทน์สีม่วงในมือแวบหนึ่ง นั่นเป็นสิ่งที่ฮ่องเต้ทรงประทานให้ ของพระราชทานย่อมแสดงถึงสถานะ ยิ่งไปกว่านั้นคือรากฐานอันมั่นคง
ครั้นสัมผัสถึงสายตาที่มองร่างตน ฮูหยินฟ่านผู้เฒ่าจึงเหลือบมองตามไป พลันก็สบเข้ากับดวงตาสีดำขลับลุ่มลึก
ดวงตาคู่นั้นเป็นประกายชวนให้ตกใจ ราวกับมองทุกอย่างออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ต่อให้เป็นสิ่งชั่วร้ายที่เก็บงำไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ แต่กลับไม่สามารถเล็ดลอดผ่านสายตาของนางไปได้เลย
ฮูหยินฟ่านผู้เฒ่าถูกดวงตาคู่นั้นจับจ้อง ลำคอราวกับถูกบีบจนยากจะหายใจออก ไอเย็นแผ่ซ่านขึ้นมาจากปลายเท้าแผ่ไปยังมือเท้าแทรกซึมเข้ากระดูก ร่างสั่นสะท้านเฮือก
ทันใดนั้นหิมะก็ตกโปรยปราย เสียงร้องของสายลมที่ดังแว่วมาดุจเสียงสะอื้นร่ำไห้ของผู้ล่วงลับ