คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1107 เดิมทีเจ้าควรจะเป็นคนตาย
ตอนที่ 1107 เดิมทีเจ้าควรจะเป็นคนตาย
ครั้นถูกฉินหลิวซีมองเช่นนั้น ฮูหยินฟ่านผู้เฒ่าก็รู้สึกถึงไอเย็นยะเยือกที่แทรกเข้าไขกระดูก ดุจอยู่ในกระโจมน้ำแข็ง
“ฮูหยินผู้เฒ่า หิมะตกแล้ว เชิญนายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าเข้าไปด้านในดีกว่า” ครั้นเฉิงหมัวหมัวเห็นฮูหยินผู้เฒ่าเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่างก็อดเรียกนางไม่ได้ พลางบีบข้อมือของนางด้วย
เกล็ดหิมะร่วงตกลงบนใบหน้า นายหญิงฟ่านผู้เฒ่าสั่นเทาไปทั้งร่าง พอดึงสติกลับมาแล้วถึงฝืนยกยิ้ม รุดหน้าเข้าไปต้อนรับขับสู้ “ตอนที่บ่าวมารายงาน ข้ายังไม่อยากเชื่อเลยว่านายหญิงผู้เฒ่าจะมาหาที่จวนจริงๆ ไม่เจอกันหลายสิบปี สุขภาพของท่านเป็นอย่างไรบ้าง รีบเข้าไปดื่มชาด้านในดีกว่า”
จากนั้นพวกเขาก็เดินไปยังโถงหลักในเรือนโซ่วหนิง
ฉินหลิวซียังไม่ทันมีปฏิกิริยาใด ทว่าสายตาของซุ่นฟังและสะใภ้โจวกลับกวาดมองการตกแต่งภายในโถงหลักแวบหนึ่ง พลันสายตาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่านั่งลง ดวงตาทั้งสองข้างยังคงขุ่นมัวแต่ก็ยังเห็นเงาเลือนราง นางหันไปมองฮูหยินฟ่านผู้เฒ่าแล้วเอ่ย “นับตั้งแต่หว่านเอ๋อร์แต่งออกจวนไป นางก็ไม่เคยกลับมาจวนของข้าเลย ข้านึกว่าตระกูลฟ่านกฎระเบียบเข้มงวด ในเมื่อเป็นบัณฑิตสืบทอดกันมาหลายรุ่น ผู้รู้หนังสือมีคุณธรรมสูงส่ง ในเมื่อมีของกำนัลให้ตามเทศกาลทุกปี นึกว่านางก็คงใช้ชีวิตไม่แย่ แต่คิดไม่ถึงว่าพอได้รับข่าวกลับเป็นข่าวการตายของนาง นางต้องจากไปตั้งแต่อายุยังวัยเยาว์ ข้าเลยไม่มีโอกาสเจอนางสักครั้ง พริบตาเดียวก็ผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว มันช่าง…”
นางกลืนน้ำลายลงคอราวกับพูดไม่ออก มือที่กำหัวไม้เท้าขยับสั่นเล็กน้อย
คนในตระกูลฟ่านคิดเพียงว่าเป็นเพราะความโศกเศร้า แต่ในใจของนายหญิงเซี่ยผู้เฒ่ากลับรู้ดีว่านั่นคือความโกรธ โมโหตนเองและเคียดแค้นตระกูลฟ่าน บุตรสาวดีๆ ของนางแต่งออกเรือนมาแต่กลับจากโลกนี้ไปตั้งแต่อายุไม่ถึงสามสิบ นางหลงคิดว่าตระกูลฟ่านดีหนักหนา เพราะเป็นตระกูลผู้รู้หนังสือ แต่ดันเป็นดั่งรังหมาป่าเสียได้
จวนตระกูลฟ่านเปรียบดั่งรังหมาป่า แต่นางกลับผลักไสบุตรสาวเข้ามาด้วยน้ำมือของนางเอง โทษของนางช่างใหญ่หลวงนัก!
ฮูหยินฟ่านผู้เฒ่ากระอักกระอ่วนใจและขุ่นเคืองเล็กน้อย คำพูดของนายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าเมื่อครู่อาจจะไม่ได้ตรงไปตรงมา แต่นัยยะกลับสื่อว่าตระกูลฟ่านของพวกเขากลั่นแกล้งลูกสะใภ้จนเป็นเหตุให้นางตายเร็ว
นี่กำลังตัดพ้อตระกูลฟ่านมากกว่า
แต่นางไม่คิดบ้างว่าหลังจากสะใภ้เซี่ยแต่งเข้าจวนมาแล้วแสดงท่าทีอย่างไร นางเกิดมาจากตระกูลแม่ทัพ ในเมื่อแต่งเข้าตระกูลฟ่านมาแล้วย่อมต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของตระกูลฟ่านและกฎในจวนของตระกูลฟ่าน คงจับดาบถือหอกเข่นฆ่าคนเหมือนอดีตไม่ได้
พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์
“หว่านเอ๋อร์หยิ่งทะนงมีความทะเยอทะยานสูง ตระกูลฟ่านเป็นตระกูลผู้รู้หนังสือมาหลายชั่วคนเลยเข้ากันไม่ได้ ช่างไม่มีบุญ…”
ตุ๊บ!
ไม้เท้าหัวมังกรของนายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าตีกระทบใส่พื้นอย่างหนักหน่วง ส่งเสียงอึกทึกดังแว่วราวกับกระแทกลงบนหัวใจคนก็มิปาน เต้นหวิวจนใจสั่น
นางมองไปทางฮูหยินเซี่ยผู้เฒ่า ทั้งๆ ที่แววตาขุ่นมัว แต่ฮูหยินเซี่ยผู้เฒ่ากลับสัมผัสได้ถึงสายตาอันคมกริบดุจมีด เหมือนเทพแห่งความตายจับจ้องตนอยู่
อ้อ นายหญิงผู้เฒ่าใกล้ลงโลงตรงหน้าไม่ใช่คนมีจิตใจเมตตาแต่อย่างใด ในเมื่อนางลงสมรภูมิรบเข่นฆ่าคนกับบุรุษได้ มือคู่นั้นของนางย่อมเคยแปดเปื้อนเลือดมาก่อน
ฮูหยินฟ่านผู้เฒ่ากำลูกประคำพร้อมเหงื่อเย็นที่ไหลชุ่ม
“ไม่มีบุญหรือ” นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่ากล่าวเสียงเย็นชา “นางไม่มีบุญจริงๆ แหละ อายุยังไม่ถึงสามสิบก็ต้องตายแล้ว ช่างมีบุญน้อยนัก”
คำพูดนี้ของนางเปล่งเล็ดลอดไรฟัน ราวกับสองดวงตาขุ่นมัวถลนออกมาก็มิปาน ควบคู่กับใบหน้าอันเย็นชาดุดัน ยิ่งเหมือนผีร้ายที่มาตามเอาชีวิต
ฮูหยินฟ่านผู้เฒ่าใจเต้นไม่เป็นจังหวะ พลางกลืนน้ำลายลงคอ
“หว่านเอ๋อร์ของพวกเราบุญน้อย แต่ตระกูลฟ่านช่างบุญหนานัก ข้าเห็นแจกันกระเบื้องลายนกนับร้อยบินพุ่งสู่หงส์ที่มีหูจับทรงมังกรดูคุ้นตา เหมือนจะมีเขียนในใบรายการสินเดิมของน้องสาวข้ากระมัง” สะใภ้โจวลุกขึ้นเดินไปที่ชั้นวางของโบราณก่อนชี้ไปที่แจกันกระเบื้อง แล้วชี้ไปที่ฉากกั้นลมหลากสี “แล้วยังมีฉากกั้นลมไม้จันทน์สีม่วงลายห้าสุขนำโชคก็คงเป็นของน้องข้าด้วยกระมัง”
“ชุดเก้าอี้ไม้จันทน์สีม่วงนี้ก็มีในรายการสินเดิมของคุณหนูพวกเราเช่นกัน” ซุ่นฟังยิ้มเย็นชาเอ่ย “คุณหนูไม่มีบุญถึงจากไปเร็ว แต่ดันทิ้งบุญบารมีนี้ไว้ที่จวนตระกูลฟ่าน เมื่อก่อนของกำนัลสินสอดรวบรวมได้ไม่เท่าไร เห็นทีตอนนี้คงมั่งคั่งร่ำรวยแล้ว”
ฉินหลิวซีที่เอนกายอยู่บนเก้าอี้ดูพวกนางทั้งสองเปิดประเด็น พลางใช้สายตาเหลือบมองสีหน้าไม่เป็นมิตรของฮูหยินฟ่านผู้เฒ่า พลางนัยน์ตาก็ประกายความเกลียดชัง
แม่สามีผู้นี้ทั้งโหดเหี้ยมทั้งร้ายกาจ
เดิมทีนางไม่ใช่หญิงสาวทั่วไป แต่เป็นทหารหญิงที่ติดตามนายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าออกทัพจับศึก แต่ไหนแต่ไรมานางจึงเป็นคนอารมณ์ฉุนเฉียวง่าย ด้วยอายุปูนนี้แล้ว นางจึงฝึกกายปรับนิสัยลงบ้าง แต่ด้วยพื้นเพนิสัยกลับไม่ใช้พวกที่ยอมอ่อนข้อให้ใครง่ายๆ เลย
ครั้นทันทีที่เห็นสินเดิมของคุณหนูตนวางเรียงรายอยู่ในห้องของนางผู้เฒ่านี้ แล้วส่วนที่เหลือเล่า
ในเมื่อตระกูลเซี่ยไม่ขัดสนเรื่องเงิน อีกทั้งเซี่ยหว่านยังเป็นถึงบุตรสาวภรรยาเอก ตอนออกเรือนจึงมีเกี้ยวขนสินเดิมถึงหนึ่งร้อยยี่สิบแปดคัน อีกทั้งบรรจุจนแน่นขนัด หลังจากนางตาย หากไร้ซึ่งทายาท สินเดิมเหล่านี้ย่อมต้องส่งกลับคืนสู่จวนตระกูลเซี่ย แต่นางดันให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าเห็นอกเห็นใจหลานผู้นั้น บวกกับปีนั้นคนในตระกูลเซี่ยล้มหายตายจากไปไม่น้อย นางจึงล้มหมอนนอนเสื่อไม่สนใจเรื่องนี้ เพราะต่อให้ไม่เอากลับมา วันข้างหน้าก็ต้องทิ้งไว้ให้เด็กผู้นั้นอยู่ดี
แต่ตอนนี้ดูทรงแล้ว ลำพังแค่โถงรับแขกยังวางประดับไว้เจ็ดแปดอย่าง เหมือนพยายามเก็บสินสอดของลูกสะใภ้ไว้มากกว่า!
ซุ่นฟังอารมณ์เดือดดาล โพล่งขึ้นอย่างทนไม่ไหว “ไหนบอกว่าตระกูลฟ่านเป็นตระกูลผู้ดีมีความรู้ แต่คิดไม่ถึงว่าจะทำเรื่องพรรค์นี้ได้ ถึงขั้นเอาสินเดิมของอดีตสะใภ้ที่ตายไปแล้วมาวางประดับหน้าจวน”
เฉิงหมัวหมัวมุมปากกระตุก สะเพร่าเสียจริง
เพราะตระกูลเซี่ยโผล่มาโดยกะทันหัน พวกนางจึงมัวคิดหาเหตุผลในการมาเยือนจนลืมนึกถึงเรื่องที่เอาของมาวางประดับตกแต่งภายในห้องเสียสนิท ถึงทำให้พวกนางถูกจับพิรุธได้ซึ่งๆ หน้าเช่นนี้
ฮูหยินฟ่านผู้เฒ่าโมโหจนร่างสั่นเทิ้ม รู้สึกเหมือนศักดิ์ศรีถูกเหยียบย่ำ จึงเอ่ยเสียงสั่นเครือว่า “นี่จวนนายหญิงมาเพื่อซักไซ้เอาความอย่างนั้นหรือ ของพวกนี้เป็นของที่สะใภ้เซี่ยเอามาวางไว้ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยที่…”
“อ้อ เอะอะอะไรก็สะใภ้เซี่ย ในเมื่อคนก็ตายไปแล้ว แต่กลับยังเอาสินเดิมของนางมาวางประดับตกแต่ง ท่านเอามาวางดูต่างหน้าหรือ ในเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าคิดถึงน้องสาวของพวกเราขนาดนี้ ไม่รู้ว่าตกดึกน้องสาวของข้ามาหาหรือเข้าฝันบ้างหรือไม่เล่า” สะใภ้โจวเองก็ปากร้ายไม่เบา นางได้ฟังเรื่องน้องเล็กจากปากของซุ่นฟังมาตั้งแต่เช้าแล้วจึงเก็บอัดอั้นไว้ในใจมาโดยตลอด
ฮูหยินเซี่ยผู้เฒ่าโกรธขึง พอเผลอใช้แรงดึง ลูกประคำเส้นใหม่ก็ขาดอีกครั้ง
เวลานี้นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าถึงเอ่ยว่า “เอาล่ะๆ เรื่องสินเดิมยังมีใบรายการอยู่มิใช่หรือ ในเมื่อเป็นถึงตระกูลผู้มีความรู้ แถมเป็นตระกูลเลื่องชื่อ คงไม่ซุกซ่อนสินสอดของลูกสะใภ้ไว้หรอกกระมัง ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านว่าใช่หรือไม่เล่า”
ขณะที่ฮูหยินเซี่ยหมายพูดอะไรบางอย่าง นายหญิงผู้เฒ่าก็ชิงเอ่ยก่อนว่า “เจ้าอย่าโทษที่พวกเราพูดจาตรงไปตรงมาเลย พวกเราเกิดมาในตระกูลแม่ทัพจึงโผงผางไปบ้าง คิดอย่างไรก็พูดออกไปอย่างนั้น ไม่ใช่พวกเจ้าเล่ห์ปลิ้นปล้อน หากล่วงเกินสิ่งใดไป โปรดอย่าถือสาอะไรพวกเราเลย ในเมื่อต้องถือผู้ล่วงลับเป็นหลัก”
ไม่ว่าเรื่องใดก็มีแต่พวกเจ้าพูด นางได้พูดอะไรบ้างหรือ
“ข้าเดินทางผ่านซุ่นหยางมาครั้งนี้ก็เพราะนึกถึงลูกของหว่านเอ๋อร์ขึ้นมาได้ ถึงอย่างไรก็เป็นหลานของตระกูลเซี่ย มีเลือดของตระกูลเซี่ยอยู่ครึ่งหนึ่ง สินเดิมของหว่านเอ๋อร์ก็เก็บไว้ให้เขา บัดนี้เด็กคนนั้นคงอายุได้สามขวบเศษแล้วกระมัง ในฐานะท่านย่าก็ควรมาเจอหลานบ้าง”
ฮูหยินฟ่านผู้เฒ่าใจหล่นวูบ สีหน้าเปลี่ยนยกใหญ่ ที่แท้ก็มาเยี่ยมเจ้าเด็กนรกนั่นนี่เอง
เฉิงหมัวหมัวสีหน้าแตกตื่นยิ่งกว่า ก่อนจะมองไปทางบ่าวที่ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตูพลางส่งสัญญาณผ่านสายตาไปให้
ขณะที่บ่าวผู้นั้นคิดเดินออกไปอย่างไร้สุ้มเสียง ฉินหลิวซีก็ลุกขึ้นเอ่ยขึ้นว่า “กำลังจะไปหาเด็กคนนั้นหรือ ไปพร้อมกันเลยแล้วกัน”
บ่าวผู้นั้นวางตัวไม่ถูก สีหน้าดูร้อนรนแปลกๆ
ท่วงท่าเช่นนี้เรียกความสนใจของทุกคนได้ในทันที สะใภ้โจวหรี่ตาลงแล้วเอ่ย “เป็นถึงตระกูลผู้ดีแต่ทำตัวลับๆ ล่อๆ เช่นนี้ หรือมีเรื่องไม่ดีใดเก็บงำไว้หรือ”
ฮูหยินฟ่านผู้เฒ่าหายใจไม่ทันแล้ว
“หลานอยู่ไหน พาพวกเราไปหาเดี๋ยวนี้” นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่ารู้สึกไม่ชอบมาพากล นางจึงเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา
ฮูหยินฟ่านผู้เฒ่าเอ่ย “ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไป ข้าให้คนไปเรียกตัวมาก็ได้แล้ว ในเมื่อท่านเป็นถึงย่า ย่อมต้องให้คนที่มีศักดิ์เด็กกว่ามาหาท่าน”
ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้นโดยไม่ทนอีกต่อไป “ไม่จำเป็นต้องวุ่นวายหรอก ข้าไปหาเองได้”
พอนางเอ่ยจบก็เดินออกไปเลย
นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าเรียกซุ่นฟังให้เดินไล่ตามหลังไป สะใภ้โจวจึงต้องมาประคองนางโดยปริยาย ตระกูลฟ่านดูมีลับลมคมในอย่างเห็นได้ชัด ใครกล้าเล่นตุกติกกับพวกเขาหรือ
ฮูหยินฟ่านผู้เฒ่าคิดไม่ถึงว่าจะไร้ความเกรงใจถึงเพียงนี้ นางโมโหจนในลำคอมีกลิ่นคาวเลือด ตบโต๊ะตวาดขึ้นว่า “โอหังกันนัก พวกเจ้าคิดว่าอยู่ในจวนตระกูลเซี่ยหรืออย่างไร”
โกรธก็ส่วนโกรธ แต่จะปล่อยให้พวกนางก่อความวุ่นวายไม่ได้
ฮูหยินฟ่านผู้เฒ่ารีบลุกขึ้นพรวด แต่เพราะลุกเร็วเกินไปจึงหน้ามืดจนเกือบล้มคะมำ เฉิงหมัวหมัวจึงรีบโผเข้าไปประคองร่างไว้
“เร็วเข้า รีบส่งคนไปบอกให้เผิงเอ๋อร์กลับมา” นางขบที่ปลายลิ้นเหมือนนึกบางอย่างขึ้นได้ “ไม่สิ จะเรียกเขากลับมาไม่ได้”
จากนั้นก็เห็นฉินหลิวซีเดินออกจากประตูไป เพียงเงยหน้ามองก็เห็นนางมุ่งหน้าเดินตรงไปอีกทางหนึ่งแล้ว พลันในใจก็ดิ่งวูบอย่างอดไม่ได้
ด้วยจังหวะนี้ เหมือนนางมั่นใจมากอย่างไรอย่างนั้น
ขณะที่พวกฮูหยินฟ่านผู้เฒ่าไล่ตามมาด้านหลัง ทันใดนั้นก็ร้อนใจ เหตุใดถึงเดินมุ่งหน้าไปทางนั้นได้
เพราะพวกนางอยู่อย่างสะดวกสบายมานาน อีกทั้งร้อนรนจนทำตัวไม่ถูก บวกกับฝีเท้าว่องไวสู้พวกนายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าไม่ได้ ยิ่งรีบก็ยิ่งเกิดข้อผิดพลาด ฮูหยินฟ่านผู้เฒ่าจึงร้องโอ๊ยทีด้วยใบหน้าซีดเผือด
เท้าพลิกแล้ว
นางเจ็บจนเหงื่อไหลซึม แต่ก็ยังโพล่งขึ้นว่า “เร็วเข้า รีบไปขวางพวกนางไว้”
พวกฉินหลิวซีหยุดฝีเท้าลง เพราะพวกนางเห็นคนกลุ่มหนึ่งมากันสี่คนพ่อแม่ลูก บุรุษดูอายุสามสิบกว่า เขากำลังจูงมือเด็กหนุ่มริมฝีปากแดงฟันขาวราวๆ สามขวบคนหนึ่ง ขณะที่หญิงสาวดูหน้าตาอ่อนช้อยอ้อนแอ้น นางก็คือภรรยาคนที่สองของฟ่านหวยเผิงนั่นเอง ส่วนบ่าวข้างกายของนางกำลังอุ้มเด็กสาวตัวน้อยอายุราวหนึ่งขวบเศษไว้ในอ้อมอก
นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่ามองเห็นไม่ชัดนักแต่ก็พอมองเห็นเงารางๆ มือที่กำหัวไม้เท้าก็ยิ่งแน่นขึ้น
สะใภ้โจวมองเด็กหนุ่มคนนั้นพลางเอ่ย “นี่คือลูกของน้องสาวข้าหรือ”
“ใช่ นั่นเป็นลูกที่สะใภ้เซี่ยคลอดออกมาอย่างยากลำบากในปีนั้น” ฮูหยินเซี่ยผู้เฒ่าเกาะหลังบ่าวรับใช้ไล่ตามมาทัน ครั้นเห็นบุตรชาย รูม่านตาก็หดลงก่อนเอ่ย “เผิงเอ๋อร์ นายหญิงผู้เฒ่าแวะมาเพราะอยากเจอหลาน ให้หงเอ๋อร์ทำความเคารพท่านย่าสักหน่อยเถิด”
ฟ่านหวยเผิงดึงสติกลับมา ใบหน้าอ่อนเยาว์มองไปทางสีหน้าดุดันของนายหญิงเซี่ยผู้เฒ่า เอ่ยเสียงตะกุกตะกักว่า “ท่านแม่ยายมาได้อย่างไรหรือ”
ยามที่นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าได้ยินเสียงนั้น พลันดวงตาก็หรี่ลง เพราะหรี่ตาลงเลยทำให้เห็นใบหน้าของฟ่านหวยเผิงชัดขึ้นแล้วเอ่ย “ข้าจะมาไม่ได้หรือ ข้าจะมาดูว่าคนที่คุกเข่าต่อหน้าข้าในปีนั้น บุรุษที่บอกว่าจะปกป้องหว่านเอ๋อร์ไปชั่วชีวิตโหดเหี้ยมใจดำเพียงใด ถึงได้ปล่อยให้นางตายตั้งแต่อายุยังน้อยแบบนี้”
ขณะที่เอ่ยนางก็เดินขึ้นมาสองก้าว จังหวะที่ทุกคนไม่ทันสังเกต จู่ๆ นางก็ยกปลายไม้เท้าหัวมังกรขึ้นมาก่อนจะทุบลงบนบ่าของเขาอย่างแรง
ตระกูลฟ่านเป็นตระกูลผู้ดี อีกทั้งฟ่านหวยเผิงก็เป็นผู้รู้หนังสือ นุ่มนวลสง่างาม และไม่เคยฝึกวิทยายุทธ์ เดิมทีเขาก็กระวนกระวายใจในการมาเยือนของนายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าอยู่แล้ว ครั้นเห็นนางเดินเข้ามาใกล้จึงไม่ทันตั้งตัวโดนตีเข้าอย่างจัง ก่อนจะส่งเสียงร้องโหยหวนขึ้นมาในทันที
ทว่านายหญิงเซี่ยผู้เฒ่ากลับเล่นลิ้นไม่ยอมรับ “ข้าแก่จนปูนนี้แล้วจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ข้ามาหาหลานผู้น่าสงสารแท้ๆ เด็กคนนี้เองหรือ เดินเข้ามาให้ข้าดูใกล้ๆ สิ”
สะใภ้โจวโพล่งขึ้นว่า “ดูท่าทางไม่เหมือนหว่านเอ๋อร์ และไม่เหมือนบิดาของเขาด้วย แต่เหมือนนางผู้หญิงคนนั้นมากกว่า…” พลันนางก็เผยสายตาขึงขัง “โอ้ย เครื่องประดับทับทิมที่นางผู้หญิงคนนี้ใส่อยู่เป็นสินเดิมของน้องสาวข้ามิใช่หรือ เหตุใดถึงไปโผล่อยู่บนหัวของเจ้าได้ นี่เป็นของที่พี่สะใภ้อย่างข้าเติมใส่สินเดิมให้นางต่างหาก!”
เด็กหนุ่มร่ำไห้วิ่งโผเข้าด้านหลังหญิงสาว สะใภ้เหมียวปวดใจสุดขีด มองกลุ่มคนที่ประจัญหน้าอยู่ด้วยแววตาวูบไหวและกระสับกระส่าย
ฉินหลิวซีเอ่ย “ไม่ใช่”
พวกสะใภ้โจวมองมาทางนาง
“ไม่ใช่ลูกของคุณหนูเซี่ย” และก็ไม่ใช่ของบุรุษผู้นี้ด้วย
คนในตระกูลฟ่านสีหน้าเปลี่ยน
นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าเผยสีหน้าขรึมแล้วเอ่ย “เมื่อครู่พวกเจ้าว่าอย่างไรนะ บอกว่าเด็กคนนี้เป็นหลานข้าอย่างนั้นหรือ ทำไมเล่า รังแกที่ข้าตาพร่ามัวจำไม่ได้เลยใช้ลูกของอนุมาสวมรอยเป็นสายเลือดของตระกูลเซี่ยอย่างนั้นหรือ”
ซุ่นฟังเอ่ย “มิน่าข้าถึงมองไม่เห็นเงาของคุณหนูโผล่มาแม้แต่น้อย ดูท่าจะอายุสามขวบกว่าแล้วกระมัง ตระกูลฟ่านของพวกเจ้าก็ใช้ได้นี่ คุณหนูเพิ่งตายได้สามปีกว่า พวกเจ้าก็มีลูกอายุสามขวบกว่าแล้ว เหอะๆ”
สะใภ้โจวเอ่ยเสียงเย็นชา “ตอนมาร่วมงานศพครานั้นบอกว่าหว่านเอ๋อร์คลอดยากจนถึงแก่ความตาย หากเด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของนาง แล้วลูกของนางอยู่ที่ไหนเล่า”
ฟ่านหวยเผิงเหงื่อเย็นไหลชุ่ม มือเท้าเย็นเฉียบ
“ความจริง ความจริง…”
ฉินหลิวซีจับจ้องใบหน้าของฟ่านหวยเผิง เอ่ยด้วยสายตาเย็นยะเยือก “เดิมทีเจ้าควรจะเป็นคนตาย แต่เจ้ากลับยังมีชีวิตอยู่”
ฟ่านหวยเผิงรูม่านตาหดลง พร้อมเซถอยหลังไปสองก้าว
ฮูหยินฟ่านผู้เฒ่าสีหน้าเปลี่ยนยกใหญ่ ไอเย็นแล่นผ่านทั่วร่างกาย นางมองไปทางฉินหลิวซีด้วยท่าทีหวาดกลัวราวกับเห็นผีก็มิปาน
ทว่าพวกนายหญิงเซี่ยผู้เฒ่ากลับตกใจ คนตายหรือ
ฉินหลิวซีเดินเข้าไปใกล้ฟ่านหวยเผิง เอ่ยเสียงเย็นยะเยือก “ใครช่วยเจ้าเปลี่ยนดวงชะตาชีวิต ฝืนเพิ่มอายุขัยให้เจ้ากันแน่”
ในสมองของฟ่านหวยเผิงดังวิ้ง “อะ…อะไรนะ”
ฉินหลิวซีเดินถอยหลังไปสองก้าวก่อนจะหมุนตัวเดินไปทางที่มีรังสีอาฆาต พลางถามสะใภ้โจวว่า “รายการสินเดิมเอามาแล้ว แล้วหนังสือแต่งงานเล่า”
“อยู่ครบ ทำไมหรือ” สะใภ้โจวตบแขนเสื้อ
ฉินหลิวซีถอนหายใจแล้วเอ่ย “นางน่าสงสารกว่าที่จินตนาการไว้มาก”
สะใภ้โจวหน้าซีดลง
ครั้นเห็นพวกเขาเดินมุ่งหน้าไปทางโถงบรรพบุรุษ ในคอของฮูหยินฟ่านผู้เฒ่าก็มีรสคาวเลือด ตวาดใส่ว่า “หยุดนะ ขวางพวกเขาไว้ ใครก็ได้มานี้ที ไปแจ้งผู้ตรวจการว่ามีคนบุกรุกโดยพลการ”
ซุ่นฟังประกายสายตาดุดัน หมุนตัวโพล่งขึ้นว่า “ทำไมหรือ คิดว่าตัวเองมีคนคอยช่วยแล้วพวกเราไม่มีใคร โผล่มาโดยไม่เตรียมการใดๆ เลยอย่างนั้นหรือ แค่ขอความช่วยเหลือ มีใครทำไม่เป็นบ้าง!”
นางหยิบกระบอกไม้ไผ่ออกมาจากทรวงอกก่อนดึงจุกออก พอเสียงดังฟิ้ว สัญญาณเตือนภัยก็ปะทุกลางอากาศ ควันพลุสีแดงที่เจิดจ้าแยงตาเป็นพิเศษก็ปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้าที่มืดสลัว
ครั้นเหล่าสหายเห็นสัญญาณสีแดงก็จับอาวุธล้อมจวนไว้เลย!