คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 111 อยากจับคู่ให้หรือ ตอนที่ 112 ขอถามยันต์คุ้มครอง
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 111 อยากจับคู่ให้หรือ ตอนที่ 112 ขอถามยันต์คุ้มครอง
ตอนที่ 111 อยากจับคู่ให้หรือ / ตอนที่ 112 ขอถามยันต์คุ้มครองที่ไหนศักดิ์สิทธิ์บ้าง
Ink Stone_Romance
ตอนที่ 111 อยากจับคู่ให้หรือ
พระชายาผู้เฒ่าย่าหลานเลี้ยงส่งฉินหลิวซีอย่างเอิกเกริกยิ่งใหญ่ แถมยังสามารถหลอกล่อขอยาจินซวงชั้นดีจากฉินหลิวซีมาได้ด้วย สำหรับข้ออ้างที่นางใช้ก็ฟังขึ้นมาก ซึ่งก็คือฉีเชียนจะต้องไปลาดตระเวนตรวจตราในพื้นที่ที่จวนหนิงอ๋องได้รับศักดินามาบ่อยๆ เลี่ยงไม่ได้ที่จะได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นนางจึงร้องขอยาจากฉินหลิวซี
ฉินหลิวซีจะแกล้งโง่แกล้งบ้ากับฉีเชียนก็ได้ แต่กับพระชายาผู้เฒ่าที่มีนิสัยร่าเริงและมีน้ำใจแล้ว นางกลับปฏิเสธไม่ลง จึงไม่เพียงมอบยาจินซวงให้สองขวดเท่านั้น แต่ยังมอบยาเม็ดอวี้หรงที่ช่วยสงบจิตใจและบำรุงร่างกายไปให้อีกขวดหนึ่งด้วย
“หากพวกท่านต้องการยาจินซวงและยาเม็ดอวี้หรงนี้ ก็ลองไปเสี่ยงดวงถามดูที่ตำหนักอายุวัฒนะได้ พวกเขามักจะมีเก็บไว้อยู่เสมอ” ฉินหลิวซีมองหน้าฉีเชียนพลางเอ่ย
ตำหนักอายุวัฒนะอีกแล้ว
ฉีเชียนเอ่ย “หรือว่ายาที่ท่านปรุงขึ้นมีแต่ที่ตำหนักอายุวัฒนะเท่านั้น”
ฉินหลิวซียิ้มพลางจิบเหล้าเก๋ากี้ดอกเก็กฮวย “หากจวิ้นอ๋องต้องการทำการค้า ก็สามารถไปคุยกับเจ้าของตำหนักอายุวัฒนะได้ ข้าก็แค่นักพรตธรรรมดาๆ ไม่อาจเอ่ยเรื่องการค้าได้”
“ไม่เอ่ยเรื่องการค้า เช่นนั้นหากข้ามีคนไข้ต้องการเชิญให้ท่านหมอมารักษาให้เล่า”
ฉินหลิวซีเอ่ยทันที “เดินทางไกลเหน็ดเหนื่อย หากต้องการรักษาก็ไปที่อารามเถิด”
ฉีเชียนรินเหล้าให้อีกจอก “เชียนเข้าใจแล้ว”
…
วันรุ่งขึ้น ฉินหลิวซีกล่าวคำอำลาพระชายาผู้เฒ่า ฝ่ายหลังให้จ้าวหมัวหมัวยกกล่องไม้จันทร์ประณีตใบหนึ่งออกมา
“ค่ารักษาก็เป็นเรื่องของค่ารักษา นี่เป็นของที่ข้ามอบให้ท่านในฐานะผู้อาวุโส” พระชายากระซิบกับฉินหลิวซี “ท่านถึงวัยปักปิ่นแล้วมิใช่หรือ เครื่องประดับผมนี้ถือว่าเป็นของขวัญสำหรับพิธีปักปิ่นของท่าน และขอบคุณที่ท่านเหน็ดเหนื่อยเดินทางมารักษาให้หญิงชราอย่างข้าด้วย”
ฉินหลิวซีรีบปฏิเสธ “พระชายาผู้เฒ่า จวิ๋นอ๋องได้จ่ายค่ารักษามาแล้ว ของขวัญนี้ไม่จำเป็นหรอก”
พระชายาผู้เฒ่าเอ่ย “แม้ท่านจะเป็นนักพรต แต่ในสายตาของข้าก็ถือว่าเป็นมิตรสหายผู้เยาว์ เป็นผู้น้อย ข้าให้ของขวัญท่าน ท่านก็รับไว้เถิด ผู้ใหญ่ให้ของก็อย่าปฏิเสธเลย”
จ้าวหมัวหมัวเองก็ยิ้ม “ปรมาจารย์รับไว้เถิด หาไม่แล้วพระชายาผู้เฒ่าคงนอนไม่หลับแน่ๆ”
“ถูกต้อง ของพวกนี้ไม่มีประโยชน์กับคนแก่อย่างข้า ให้ท่านดีกว่า” พระชายาผู้เฒ่าถอนหายใจเบาๆ “ถ้ามีโอกาส ข้าก็อยากเห็นท่านใส่มาพบข้า”
ฉินหลิวซีปฏิเสธไม่ได้จึงต้องรับมา “เช่นนั้นข้าก็ต้องขอบคุณพระชายาแล้ว ส่วนเรื่องที่จะได้พบกันอีก ข้าและพระชายาผู้เฒ่ามีวาสนาต่อกัน ภายหน้าก็จะได้พบกันอีก ขอให้ท่านรักษาตัวให้ดีด้วย”
พระชายาผู้เฒ่าตาเป็นประกายทันที “จริงหรือ”
เมื่อเห็นฉินหลิวซีพยักหน้า นางก็ยิ้มออกทันที นางเองก็คิดว่าตนเองมีวาสนากับฉินหลิวซี และค่อนข้างชอบหญิงสาวผู้นี้ อีกอย่างหลานชายของนางก็ยังไม่มีกุลสตรีที่เหมาะสม ถ้าหาก…
พระชายาผู้เฒ่ามองประเมินฉินหลิวซีเล็กน้อย ยิ่งมองนานๆ ก็ยิ่งพอใจและมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น
ฉินหลิวซีรู้สึกชาสันหลังวาบ เหตุใดสายตานั้นถึงได้ให้ความรู้สึกราวกับถูกคุณยายหมาป่าจับจ้องอย่างนั้นเล่า
นางต้องคิดไปเองแน่
พระชายาผู้เฒ่าลากฉินหลิวซีไปด้านข้างก่อนจะเอ่ยถาม “จะว่าไปแล้ว คนในสำนักเต๋า ต่อให้เป็นนักพรตหญิงอย่างท่านนี้ก็สามารถแต่งงานออกเรือนได้ใช่หรือไม่”
“สำนักของเราไม่เข้มงวดเรื่องนี้ สามารถแต่งกับคู่นักพรตด้วยกันได้”
พระชายาผู้เฒ่าเก็บสีหน้าอาการดีใจไว้ “แล้วท่านเล่า ถึงวัยปักปิ่นแล้ว ที่บ้านได้หาคู่ครองไว้ให้แล้วหรือไม่”
ฉินหลิวซี “…”
ต่อให้นางจะสมองช้าแค่ไหน ก็พอจะเดาได้เจตนาของพระชายาผู้เฒ่าได้แล้ว คงไม่ได้พยายามจับคู่ให้นางอยู่หรอกนะ
“พระชายาผู้เฒ่า ข้ายังไม่มีคู่ครอง การแต่งงานออกเรือนก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องง่าย”
พระชายานิ่งงันไปทันที “นี่หมายความว่าอย่างไร”
ฉินหลิวซีนิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มบางๆ “อาจจะเป็นเพราะข้าเป็นบุตรสาวของขุนนางต้องโทษและมีดวงต้องโดดเดี่ยวเป็นหม้ายกระมัง”
พระชายาผู้เฒ่างุนงง อันใดนะ บุตรสาวขุนนางต้องโทษ โดดเดี่ยวเป็นหม้ายคืออันใด
“มันเป็นดวงชะตาของข้าที่ต้องอยู่คนเดียว หนุนหมอนคนเดียว โดดเดี่ยวตั้งแต่เกิด ยากจะมีสามีได้” ฉินหลิวซีอธิบายด้วยรอยยิ้ม “ยิ่งกว่านั้น ชาวเต๋าอย่างพวกเรา จะต้องมีหนึ่งในห้าโทษสามวิบัติอยู่แล้ว”
เพราะฉะนั้นอย่าพยายามเลย นางไม่เหมาะ!
ฉินหลิวซีขอบคุณพระชายาผู้เฒ่าแล้วออกไป
ฉีเชียนเห็นกล่องในมือของอีกฝ่ายก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อย ท่านย่าของเขาให้สิ่งใดเป็นการส่วนตัวอีกหรือ
“ข้าจะไปส่งท่านหมอฉินสักระยะ”
ฉินหลิวซีส่งกล่องให้เฉินผี “จวิ้นอ๋องไม่จำเป็นต้องเกรงใจหรอก ท่านจัดเตรียมองครักษ์ไว้ให้แล้ว ส่งแค่นี้ก็พอ อีกอย่าง ก่อนเดินทางข้าได้ทำนายไว้แล้วว่าการเดินทางจะราบรื่น ทุกอย่างจะเรียบร้อยดี”
คิ้วของฉีเชียนกระตุกทันที เหตุใดเขาจึงรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังแซะเขาว่าขามาไม่ราบรื่น?
ขณะที่เขากำลังอยากจะเอ่ยบางอย่าง ฉินหลิวซีก็ยื่นแผ่นป้ายไม้แผ่นหนึ่งให้เขา “นี่เป็นของที่แกะสลักจากไม้ฟ้าผ่า เครื่องรางที่รับปากจวิ้นอ๋องไว้ เช่นนี้ก็ถือว่าเราสองคนไม่มีสิ่งใดติดค้างกันแล้วนะ”
ฉีเชียนก้มหน้าลงรับแผ่นป้ายไม้มา มันมีขนาดเล็กจนน่าประหลาดใจ เล็กกว่าฝ่ามือเสียอีก
“เชียนจำได้ว่าไม้ฟ้าผ่าชิ้นนั้นค่อนข้างใหญ่มิใช่หรือ” ฉีเชียนมองนางด้วยความสงสัย ใบหน้าเหมือนจะยิ้มก็ไม่เชิง ขาดเพียงเอ่ยออกมาว่างกเท่านั้น
ฉินหลิวซีเอ่ยโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยน “เครื่องรางคุ้มครองให้ปลอดภัยอยู่ที่ความประณีต หาใช่ที่ขนาดไม่ นี่เป็นเครื่องรางคุ้มกายชั้นยอด สามารถปกป้องท่านจากวิญญาณชั่วร้ายได้ หากมีอันตรายใดๆ ก็สามารถขวางไว้ให้ท่านได้สามครั้ง”
ฉีเชียนประหลาดใจเล็กน้อย ปกป้องคุ้มกายได้สามครั้ง ร้ายกาจขนาดนั้นเชียว?
เขามองแผ่นไม้เครื่องรางที่ได้รับการขัดจนขึ้นเงาในมือ ด้านบนแกะสลักอักษรยันต์ซับซ้อนไว้อย่างละเอียด เป็นงานฝีมือที่ยอดเยี่ยมมาก
อย่างไรก็ตาม นับจากที่ได้ไม้ฟ้าผ่าชิ้นนี้มาจนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาแค่ไม่กี่วันเท่านั้น อีกฝ่ายก็ทำเสร็จแล้ว นี่แสดงว่าตั้งใจรีบทำออกมาใช่หรือไม่
หัวใจของฉีเชียนอ่อนยวบลงทันทีด้วยความซาบซึ้งใจ แววตาของเขาก็อบอุ่นอ่อนโยนขึ้นด้วย
เฉินผีเหลือบมองไปพอดี แวบเดียวนั้นเขาก็รู้แล้วว่าฉีเชียนกำลังคิดอะไรอยู่ เฮ้อ จะซาบซึ้งใจไปไย ป้ายเครื่องรางนี้น่าจะเป็นชิ้นที่ง่ายที่สุดที่คุณชายเคยแกะสลักมาแล้วกระมัง
ลองดูแผ่นป้ายเครื่องรางนั่นสิ แม้แต่รูปลักษณ์ภายนอกยังดูไม่ดีเลย ก็แค่แกะสลักอย่างง่ายๆ จากเศษไม้เท่านั้น แน่นอนว่าแค่ให้มันใช้ได้ผลก็พอ ถึงอย่างไรมันก็เป็นอาวุธวิเศษที่คุณชายลงมือแกะสลักทำขึ้นด้วยตนเอง
แต่แผ่นป้ายเครื่องรางชิ้นนี้ก็ไม่ได้ดูสวยงามจริงๆ เป็นชิ้นไม้ที่ดูไม่ค่อยสม่ำเสมอ มีการเจาะรูเพื่อแขวนเชือกให้สะดวกแก่การพกพา และแกะสลักอักษรยันต์ลงไปก็เสร็จแล้ว เมื่อเทียบกับพวกที่คุณชายเคยทำก่อนหน้านี้ มันแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
เฉินผีคิดว่าหากนักพรตคนอื่นๆ รู้เข้าว่านางทำแผ่นป้ายเครื่องรางได้ง่ายๆ อย่างนี้ พวกเขาคงจะน้ำลายไหลด้วยความอิจฉา ใช่ว่านักพรตคนไหนก็สามารถวาดยันตร์ที่ศักดิ์สิทธิ์ได้ หากต้องการวาดยันต์ให้สำเร็จจะต้องบำเพ็ญตบะฝึกจิตให้ได้ก่อน มิเช่นนั้นแล้ว การวาดยันต์ออกมาโดยไม่มีพื้นฐานใดๆ เลยก็กลายเป็นยันต์ลวงโลกที่ไม่ให้ผลใดทั้งสิ้น
เช่นนั้นแล้ว หากต้องการจะวาดยันต์ที่ใช้การได้ออกมาจริงๆ คนบางคนถึงกับต้องใช้เวลาบำเพ็ญตนอยู่นานและวาดไม่หยุด วาดได้แล้วก็ต้องใช้เวลาปรับลมหายใจอยู่นาน
ทันทีที่หยางเริ่มเคลื่อนไหว สรรพสิ่งก่อเกิด จากหนึ่งกลายเป็นหมื่น ยันต์จึงจะศักดิ์สิทธิ์ได้ผล ไม่เช่นนั้นก็อย่าทำให้เปลืองกระดาษเหลืองและชาด อย่าให้เปลืองวัสดุดีๆ ในการทำของวิเศษจะดีกว่า
คนอย่างฉินหลิวซีที่อายุยังน้อยแต่สามารถวาดยันต์โดยใช้พลังวิญญาณน้อยเช่นนี้ได้ถือเป็นพรสวรรค์ เป็นคนของเต๋าตั้งแต่กำเนิด
เฉินผีมองฉีเชียนด้วยสีหน้าแววตาเห็นอกเห็นใจอยู่บ้าง เขาถูกเจ้านายไล่แล้วยังซาบซึ้งใจมากอยู่อีก หวังว่าเมื่อเขารู้ความจริงแล้วจะทนรับได้นะ!
ฉีเชียนไม่รู้ว่าเฉินผีคิดอะไรอยู่ในใจ เขารับแผ่นป้ายเครื่องรางนั้นมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แล้วประสานมือให้ “เชียนต้องขอบคุณท่านหมอฉินแล้ว”
“ไม่ต้องเกรงใจ” ฉินหลิวซีโบกมือ “เช่นนั้นก็ลากันตรงนี้ล่ะ เฉินผีกลับบ้านกัน”
“ขอรับ”
ฉินหลิวซีกระโดดขึ้นรถม้า โบกมือให้ฉีเชียน
ฉีเชียนกำลังคิดจะโบกมือกลับ แต่อีกฝ่ายก็ลากประตูปิดดังปังเสียก่อน
ไม่มีความผูกพันใดๆ ทั้งสิ้น
ฉีเชียนเอามือไพล่หลัง หันหน้าไปมองหั่วหลาง “ไปส่งปรมาจารย์ให้ถึงอารามอย่างปลอดภัย ไม่เช่นนั้นก็ใช้ชีวิตเจ้าไถ่โทษ”
“น้อมรับคำสั่ง”
ฉินหลิวซีที่อยู่บนรถม้าได้ยินเช่นนั้นก็เลิกคิ้วเล็กน้อย พลางเปิดกล่องที่พระชายาผู้เฒ่ามอบให้ดู ปิ่นปักผมทับทิมคู่หนึ่งปรากฏแก่สายตา นางมองปิ่นปักผมทับทิมอันประณีตงดงามนั้นแล้วถอนหายใจเบาๆ คงต้องให้ของขวัญตอบแทนอีก
ตอนที่ 112 ขอถามยันต์คุ้มครองที่ไหนศักดิ์สิทธิ์บ้าง
ตามที่ฉินหลิวซีคาด การเดินทางกลับราบรื่นมาก นางเพียงได้ยินแขกที่มาพักที่โรงพักม้าเอ่ยถึงเรื่องแปลกๆ สองเรื่อง
มีคนในอำเภอชิงตายอย่างประหลาด เลือดแห้งหมดตัว เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกเท่านั้น ตามหลักแล้วการเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกนั้นต้องใช้เวลานาน แต่คนผู้นั้นเพิ่งจะตายเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น ก็ไม่ได้มีเพียงคนเดียว แต่ยังเป็นเช่นนี้อีกสองสามคน และไม่ได้เกิดขึ้นในพื้นที่เดียวกันด้วย สถานที่เกิดเหตุทั้งสองอยู่ห่างกันหลายร้อยลี้
“…ว่ากันว่าคดีฆาตกรรมนี้ไม่ใช่ฝีมือมนุษย์ แต่เป็นมารร้ายผีชั่ว มีนักพรตบางคนบอกว่าเป็นปีศาจภัยแล้งที่หลอกหลอน บัดนี้มาทำร้ายโลกมนุษย์ ปีหน้าอาจเกิดภัยแล้ง!”
ปีศาจภัยแล้งปรากฏ เกิดความแห้งแล้ง เป็นตำนานที่มีมาแต่สมัยโบราณ
“ข้าได้ยินมาด้วยว่า มีสำนักเต๋าบางสำนักส่งศิษย์ออกไปตรวจสอบแล้ว”
“หากเป็นฝีมือมารปีศาจผีร้ายจริงๆ เช่นนั้นก็น่ากลัวมาก คนเป็นจะสู้กับมันได้อย่างไร”
“ก็นั่นน่ะสิ เฮ้อ เราไปหาซื้อยันต์คุ้มครองมาพกไว้กันดีกว่า ศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ค่อยว่ากันอีกที ซื้อมาให้อุ่นใจก่อน”
“ใช่ๆ จริงสิ ข้าได้ยินมาว่าที่ชิงโจวมีอารามชิงหลานที่มีชื่อเสียงมาก ยันต์คุ้มครองก็ศักดิ์สิทธิ์ ข้าได้ยินว่าคราวนี้อารามชิงหลานก็ส่งคนออกมปราบผีร้ายกำจัดปีศาจแล้วด้วย เราทำการค้าคราวนี้เสร็จแล้ว แวะไปสักการะสักหน่อยดีหรือไม่”
“ตกลง”
คนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะถัดไปไม่ได้เอ่ยเสียงดังมาก แต่คนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ต่างก็ฟังเข้าใจได้ ไม่เว้นแม้แต่หั่วหลางและเหล่าองครักษ์
ขอถามว่ายันต์คุ้มครองของที่ไหนดีที่สุด
ต้องเป็นยันต์ที่ปรมาจารย์ปู้ฉิววาดสิ ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแล้ว!
พวกหั่วหลางหันไปมองฉินหลิวซีด้วยดวงตาที่ลุกเป็นไฟ ปรมาจารย์ พวกเราก็อยากซื้อเพื่อความอุ่นใจด้วย
ฉินหลิวซี “…”
นางวางตะเกียบลง ขมวดคิ้วเล็กน้อย
นางนึกถึงเรื่องที่ผู้ส่งสารเอ่ยว่ามีผีร้ายหลุดออกมาก่อนหน้านี้ได้ เหตุการณ์แปลกๆ เหล่านี้จะเกี่ยวข้องกับผีร้ายตนนั้นหรือไม่
“คุณชาย?” เฉินผีเห็นว่านางไม่ขยับตะเกียบจึงเอ่ยถาม “อยากให้ในครัวทำบะหมี่น้ำให้สักชามหรือไม่ขอรับ”
“ไม่เป็นไร” ฉินหลิวซีชายตามองโต๊ะข้างๆ ที่เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พี่ชาย หากท่านต้องการยันต์คุ้มครอง ข้ามีอยู่ชิ้นหนึ่ง หนึ่งร้อยตำลึงเงิน ท่านต้องการหรือไม่”
ชายอกสามศอกผู้นั้นเพิ่งจะยกชาขึ้นจิบ เขาแทบจะสำลักตายเมื่อได้ยินที่ฉินหลิวซีพูด
“ล้อเล่นอันใด ยันต์ชิ้นหนึ่งจะเอาร้อยตำลึงเงินเชียวหรือ ทำไมท่านไม่ปล้นเงินข้าไปเลยเล่า” ชายฉกรรจ์จ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง “ยันต์คุ้มครองของอารามชิงหลาน ใช้แค่หนึ่งตำลึงก็สามารถขอให้เจ้าอาวาสวาดให้ได้แล้ว ของท่านนี่มีเทพเซียนประทับร่าง ศักดิ์สิทธิ์เป็นพิเศษหรืออย่างไร”
ฉินหลิวซีไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจกับคำพูดเสียดสีของเขา เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เงินตำลึงเดียวขอให้เจ้าอาวาสอารามชิงหลานวาดยันต์ให้ได้ก็จริง แต่นั้นหมายถึงท่านต้องมีชีวิตไปขอด้วย”
“เจ้าเด็กนี่หมายความว่าอย่างไร แช่งพี่หนิวของข้าหรือ” ชายอีกคนที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกลับตบโต๊ะแล้วยืนขึ้นทันที ทั้งยังจ้องมองนางด้วยสายตาโกรธเคือง
พวกหั่วหลางลุกขึ้นยืนแล้วออกมายืนหน้าโต๊ะของฉินหลิวซีด้วยท่าทางน่าเกรงขามทันที
ชายคนนั้นเห็นท่าทางของพวกเขาก็ต้องกลืนน้ำลายด้วยความขลาดกลัวเล็กน้อย
ฉินหลิวซียืนขึ้นและเดินไปยืนข้างหน้าชายที่ชื่อว่าพี่หนิวคนนั้น ก่อนจะหยิบยันต์คุ้มครองออกมา “หนึ่งร้อยตำลึงช่วยชีวิตเจ้าได้ คุ้มแล้ว เช่นนี้แล้วพี่ชายถึงจะได้กลับบ้านไปหาลูกสองคนได้มิใช่หรือ”
ชายคนนั้นและเพื่อนร่วมโต๊ะต่างตกตะลึงไปในทันที สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขา เขารู้ได้อย่างไร
พี่หนิวรีบคลำเอาตั๋วเงินแผ่นหนึ่งในอกเสื้อออกมา หนึ่งร้อยตำลึงพอดี “น้องชายท่านนี้เอ่ยเช่นนั้น หนึ่งร้อยตำลึงแลกกับชีวิตของข้าถือว่าไม่แพงเลย ข้าซื้อก็แล้วกัน”
ฉินหลิวซียื่นยันต์คุ้มครองที่พับเป็นรูปสามเหลี่ยมให้เขา ก่อนจะให้คำแนะนำเล็กน้อย “พี่ชายไปทางน้ำ ต้องระมัดระวังหน่อย”
หากไม่ใช่เพราะโหงวเฮ้งบอกว่าบรรพบุรุษของชายผู้นี้สะสมบุญกุศลไว้มาก นางก็คงไม่เอ่ยอะไร
ลมหายใจพี่หนิวสะดุด เขายังมีคำถามที่อยากถาม แต่ฉินหลิวซีก็เดินออกไปแล้ว เขาถูกหั่วหลางขวางไว้ “สหายท่านนี้โชคดีแล้ว หากท่านพ้นเคราะห์ภัยคราวนี้ไปได้ อย่าลืมไปจุดธูปเทียนเติมน้ำมันตะเกียงทำบุญให้อาจารย์ปู่ที่อารามชิงผิงในเมืองหลีด้วย”
หากผ่านพ้นเคราะห์ภัยถึงตายไปได้ ยังจะไม่เรียกว่าโชคดีมากอีกหรือ