คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1111 สัญญาณของความวุ่นวาย
ตอนที่ 1111 สัญญาณของความวุ่นวาย
………………..
ผ่านไปกว่าครึ่งเดือนสอง ใกล้จะถึงเดือนสามแล้ว ยิ่งมุ่งหน้าไปทางด้านไป่เย่ว์ซึ่งเป็นสุสานของบรรพบุรุษตระกูลเซี่ย สิ่งที่ฉินหลิวซีเห็นตลอดทางทำให้นางต้องขมวดคิ้ว เนื่องจากผลกระทบของพายุหิมะยังไม่ผ่านพ้นไป แม่น้ำที่ได้เห็นยังไม่ละลายทั้งหมด ไม่สามารถไถพรวนในฤดูใบไม้ผลิได้ และพวกเขาก็ยังเผชิญกับความไม่สงบในเมืองเล็กๆ หลายครั้ง
ผลที่ตามมาของภัยพิบัติค่อยๆ ปรากฏชัดขึ้น
นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าและคนอื่นๆ รู้สึกหนักใจเล็กน้อย พวกนางล้วนมาจากเมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรืองที่สุด แม้ว่าจะมีผู้คนไม่น้อยในเมืองหลวงที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ แต่ก็ไม่ถึงขั้นเห็นศพนอนแข็งตายอยู่เรื่อยๆ อย่างเช่นตอนนี้ ขณะที่บรรดาผู้สูงศักดิ์ล้วนคลุมเสื้อขนสัตว์และถือเตาพกพา กินอิ่มนอนหลับ ซ้ำยังเล่นไถน้ำแข็ง หากไม่ใช่เพราะเป็นช่วงไว้ทุกข์หลังจากการสิ้นพระชนม์ของไทเฮา หอคณิกาเรือสำราญคงจะคึกคักเป็นอย่างมาก
ชนชั้นสูงมีกลิ่นหอมของสุราและเนื้อสัตว์ ทว่าข้างทางกลับมีโครงกระดูกที่แข็งตาย นั่นไม่ใช่เรื่องตลก
และฉินหลิวซีก็ยิ่งยุ่งอยู่กับการฝังศพสวดส่งวิญญาณมากกว่าเดิม เป็นเรื่องไม่ยากที่นางจะฝังศพที่แข็งตายเหล่านั้น เพียงแค่ใช้คาถาระเบิดหลุมขึ้นมา จากนั้นก็ฝังกลบดิน ตั้งไม้หรือหินเป็นแผ่นป้าย อาจจะดูไม่พิถีพิถัน แต่ก็ดีกว่าถูกทิ้งไว้เปล่าๆ เช่นนี้
นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าและคนอื่นๆ เห็นดังนั้นก็พากันมึนงง ได้ยินมาว่าเป็นวิชาสายฟ้าอะไรสักอย่าง สามารถปราบผีได้ แต่คิดไม่ถึงว่ายังสามารถใช้วิชาเช่นนี้ได้ด้วย ง่ายและเร็วกว่าการขุดด้วยพลั่วเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันก็รู้สึกทอดถอนใจ ท่านอาจารย์เป็นผู้มีเมตตาอย่างยิ่ง ก็ไม่รู้ว่านักพรตท่านอื่นจะเป็นเช่นนี้เหมือนกันหรือไม่
นักพรตท่านอื่น?
เหอะๆ พวกเราไม่เปรียบเทียบกับคนนิสัยเช่นนั้นหรอก ใครบ้างที่โลกจิตเอาคาถาห้าสายฟ้าเช่นนี้มาระเบิดหลุมฝังศพ สิ้นเปลืองทรัพยากรธรรมชาติสิ้นดี
ฉินหลิวซีเองก็รำคาญ เพราะเช่นนี้จะทำให้การเดินทางช้าลง แต่เมื่อเห็นผีร้องโหยหวนด้วยความไม่พอใจ วนเวียนไม่เข้าไปในประตูวิญญาณ ถ้าปล่อยไว้เช่นนี้ หากไม่มีสติปัญญาสุดท้ายก็จะถูกผีร้ายกลืนกินวิญญาณแตกสลาย หรือไม่ก็ดูดซับพลังหยินฆ่าคนกลายเป็นผีร้าย ทำให้โลกมนุษย์วุ่นวายมากขึ้น จึงทำได้เพียงเดินทางพลางสวดส่งวิญญาณไปด้วย
แม้ว่าจะวุ่นวายแต่ก็ใช่ว่าไม่มีเรื่องดี บุญกุศลค่อยๆ เพิ่มขึ้น พลังแห่งความศรัทธาหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณ ซึ่งมาจากความเคารพและความชื่นชมของกลุ่มคนตระกูลเซี่ย
บรรเทาทุกข์คน บรรเทาทุกข์ผี และบรรเทาทุกข์ตัวเอง การเดินทางครั้งนี้ไม่เสียเปล่า
เพียงแต่ว่าหลังจากที่นางดูดาวในตอนกลางคืนก็ขมวดคิ้วมุ่นขึ้นมา จากนั้นนายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าก็พบว่านางมักจะหายตัวไปในตอนกลางคืน แม้ว่าจะอยากรู้แต่ก็ไม่กล้าถาม
มีเพียงฉินหลิวซีเท่านั้นที่รู้ ดาวอังคารเข้าแทรก ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ฮ่องเต้ แต่เกรงว่าอาจเกี่ยวข้องกับความหิวโหยและโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดจากภัยธรรมชาติหรือสงครามและความโกลาหล
เป็นอย่างที่คิดไว้ เมื่อพวกเขาเข้าสู่เขตแดนของไป่เย่ว์ก็ล่วงเข้าต้นเดือนสาม มีข่าวว่าซิ่นหยางอ๋องก่อกบฏในพื้นที่ประจำการของตัวเอง นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าวังหลังขององค์รัชทายาทวุ่นวายในช่วงไว้ทุกข์ รัชทายาทถูกปลดกลายเป็นสามัญชนธรรมดา พระสนมเสียนกุ้ยเฟยถูกลดตำแหน่งเป็นพระสนมเสียนผิน
ไทเฮาสิ้นพระชนม์ รัชทายาทถูกปลด พระสนมกุ้ยเฟยถูกลดตำแหน่ง ทำให้ตระกูลโจวได้รับการโจมตีอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ยังไม่ทันมีเวลาได้หายใจหายคอก็ถูกฟ้องร้องว่าโจวซื่อจื่อใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ระดมกำลังทหารอย่างลับๆ ปิดล้อมอารามเต๋าเพียงเพื่อขอยาลูกกลอนมาถวายแก่ไทเฮา ปลุกเร้าความไม่พอใจของราษฎร ทำให้ฮ่องเต้โมโหเป็นอย่างยิ่ง จึงลดตำแหน่งจงกั๋วกงให้เป็นเซิ่นชางปั๋ว และตัดศีรษะแม่ทัพสองนาย ไล่ขุนนางในหนิงโจวออกอีกหลายคน
“ตระกูลโจวเลอะเลือนไปแล้วจริงๆ อำนาจทางทหารเป็นสิ่งต้องห้ามของตระกูลสวรรค์ ไม่เพียงแต่ไร้เหตุผล ซ้ำยังใช้อำนาจทางทหารโดยไม่มีป้ายคำสั่ง รังเกียจที่ตัวเองตายช้าเกินไปหรือ” นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าถอนหายใจหลังจากได้ยินสิ่งนี้ กล่าวว่า “บรรพบุรุษของตระกูลโจวได้ติดตามฮ่องเต้องค์ก่อนออกรบบนหลังม้า นับว่ามีความจงรักภักดีและกล้าหาญไม่มีใครเทียบได้ น่าเสียดายที่ลูกหลานแย่ลงเรื่อยๆ ไม่มีสติปัญญารู้แจ้ง”
อำนาจทางทหารเปรียบเสมือนดาบในมือของฮ่องเต้ทุกพระองค์ เป็นดาบที่ใช้ปกป้องอาณาจักรและตัวเอง ตอนนี้ดาบเล่มนี้กลับถูกใช้ประโยชน์จากสถานะของเขาโดยไม่มีคำสั่งจากเขา วันนี้ล้อมอารามเต๋า วันหน้าจะไม่ล้อมวังหลวงหรือ
ตระกูลโจวเหยียบสายฟ้าเข้าให้แล้ว
ซุ่นฟังกล่าวว่า “ปีนี้เป็นปีที่มีปัญหามากมาย คิดไม่ถึงเลยว่าคนอย่างซิ่นหยางอ๋องที่ดูขี้ขลาดจะก่อกบฏ ราษฎรต้องทุกข์ทรมานแล้วเจ้าค่ะ”
ฉินหลิวซีแสยะยิ้ม “เขาจะต้องตกนรกชั้นที่สิบแปด”
ทุกคนมองไปที่นาง รู้สึกสงสัยเล็กน้อย สีหน้ารังเกียจของนางนี้ ดูเหมือนจะรู้อะไรบางอย่าง
เมื่อฉินหลิวซีเห็นใบหน้าอยากรู้อยากเห็นของพวกนาง จึงกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้เขามีคนที่เคารพบูชา เป็นนักพรตมาร เพื่อที่จะทำวิชามารชั่วร้าย ได้ฆ่าเด็กน้อยตายไปหลายคน”
เมื่อหลายคนได้ยินว่าเป็นวิชามารอีกแล้ว ก็พากันหน้าเปลี่ยนสี
“เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้ เหตุใดจู่ๆ จึงได้มีคนชั่วร้ายลัทธิมารปรากฏขึ้นมากมายขนาดนี้” สะใภ้โจวขมวดคิ้วพลางเอ่ย “สิ่งที่เกิดขึ้นกับน้องหญิงนั้นก็แย่มากพอแล้ว และยังยากที่จะบอกได้ว่ามีสิ่งผิดปกติกับหลุมศพบรรพบุรุษของพวกเราหรือไม่ ตอนนี้ซิ่นหยางอ๋องผู้นั้นก็ยังอาศัยสิ่งชั่วร้ายเหล่านั้นมาสร้างเรื่อง นี่มัน…”
ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะมีเรื่องเลวร้ายมากมายขนาดนี้ แม้ว่าจะเคยพบคนจากศาสนาพุทธและลัทธิเต๋า อย่างมากก็แค่ทำพิธีทางศาสนา ขอให้แคล้วคลาดปลอดภัยหรือไม่ก็ฟังเทศนาอะไรเหล่านั้น
แต่ตอนนี้มีทั้งพระสายมาร มีทั้งนักพรตมาร คนธรรมดาเผชิญหน้ากับคนเช่นนี้ไหนเลยจะมีทางรอด
ซุ่นฟังโพล่งออกมาว่า “คงไม่ใช่ว่าจะทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นหรอกกระมังเจ้าคะ”
นี่เป็นทั้งภัยพิบัติธรรมชาติและภัยพิบัติจากฝีมือมนุษย์ที่เกิดขึ้นจากสงคราม นอกจากนี้ไม่กี่ปีที่ผ่านมาในราชสำนักเสื่อมโทรม ขุนนางกินอิ่มแล้วไม่ทำงานซ้ำยังรีดไถราษฎร ราวกับใต้หล้ากำลังจะวุ่นวาย
นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าใจเต้นรัว เอ่ย “ซุ่นฟัง ระวังคำพูด!”
ตอนนี้ฮ่องเต้แสวงหาความเป็นอมตะ แต่ก็ไม่ต้องการได้ยินว่าจะเกิดความวุ่นวายขณะที่ตัวเองอยู่ในอำนาจ จะไม่เป็นการบอกว่าเขาเป็นฮ่องเต้ที่โง่เขลาหรือ
และฮ่องเต้โง่เขลาจนเกิดความวุ่นวาย จะคงความอับอายไปอีกหมื่นปี!
แม้ว่านายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าจะสั่งให้ระวังคำพูด แต่ก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่เล็กน้อย หากเป็นสัญญาณของความวุ่นวายขึ้นมาจริงๆ ราษฎรตกอยู่ในความยากลำบาก เช่นนั้นก็จะยิ่งมีคนเสียชีวิตมากขึ้น
ฉินหลิวซีคิดในใจว่าพวกนางค่อนข้างมีไหวพริบ เป็นสัญญาณของความวุ่นวายจริงๆ แต่ว่านางไม่ได้กล่าวอะไรออกไป
ก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน กลุ่มคนได้เดินทางเข้าไปในหมู่บ้านตระกูลเซี่ย
หมู่บ้านนี้สร้างติดกับภูเขา มีสายน้ำไหลลงมาจากหุบเขากลายเป็นสายน้ำที่ไหลผ่านรอบหมู่บ้าน เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะปีที่แล้วหนาวเกินไปหรือไม่ ตอนนี้แม้ว่าจะเป็นฤดูใบไม้ผลิในเดือนสามแล้ว แต่แม่น้ำและลำธารก็ยังละลายไม่หมด มีน้ำเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ไป่เย่ว์มีภูเขาและป่าไม้มากมาย ส่วนใหญ่เขียวชอุ่มสวยงาม แต่ภูเขาและป่าไม้ในหมู่บ้านตระกูลเซี่ย กลับเต็มไปด้วยต้นไม้ที่ตายแล้ว ขาดความมีชีวิตชีวา
“แม้ว่าตระกูลเซี่ยของพวกเราจะปกป้องดินแดนทางใต้มาหลายชั่วอายุคน กล่าวอย่างน่าฟังก็คือเป็นตระกูลขุนนางชั้นสูง แต่ก็เป็นเพียงตระกูลที่มีชาติกำเนิดมาจากรากหญ้า บรรพบุรุษต้นตระกูลเซี่ยของพวกเราเดิมทีเป็นนายพราน เขาติดตามกองทัพทหารต่อสู้กับศัตรู ต่อมาได้ทำผลงานทางทหารจึงได้ไปเข้าตาบรรพกษัตริย์ ติดตามบรรพกษัตริย์ตระกูลฉีทำสงครามรวบรวมอาณาจักรจนกลายเป็นขุนนางผู้ก่อตั้ง” นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่ากล่าวอย่างรู้สึกเป็นเกียรติว่า “หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านตระกูลเซี่ยของข้า แต่เชื้อสายหลักนั้นเหลือเพียงแค่สายของพวกเราเท่านั้น มีผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียว ที่เหลือเป็นสายที่แตกแขนงออกไป สายเลือดห่างกันออกไปไม่น้อย และยังมีทหารผ่านศึกของตระกูลเซี่ยอีกมากมายที่ตั้งรกรากอยู่ที่นี่”
เมื่อนางกล่าวถึงตรงนี้ก็รู้สึกเศร้าเล็กน้อย
ครั้งหนึ่งตระกูลเซี่ยเคยเป็นตระกูลที่เจริญรุ่งเรือง แต่ในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา พวกเขาต่อสู้ทำสงครามมากเกินไป มีผู้คนเสียชีวิตจำนวนมาก โดยเฉพาะเชื้อสายหลัก ในช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้ก็ทยอยเสียชีวิตทีละคน
ด้วยเหตุนี้อาจกล่าวได้ว่าตอนนี้ตระกูลเซี่ยกำลังเหี่ยวเฉา ไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่จะบอกว่าตระกูลกำลังตกต่ำ
สิ่งนี้สามารถเห็นได้จากหมู่บ้านแห่งนี้ ในหมู่บ้านขนาดใหญ่ มีหนุ่มสาวและคนวัยกลางคนเดินไปมาเพียงไม่กี่คน แต่มีคนแก่และผู้ที่อ่อนแอมากมาย
ใกล้จะสิ้นสุดสายเลือดแล้ว
ทันใดนั้นฉินหลิวซีก็นึกอยากถามขึ้นมาว่า “ทายาทเชื้อสายหลักของตระกูลเซี่ยล้วนเสียชีวิตในสนามรบหมดเลยหรือ”