คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1115 ข้าจะช่วยพวกท่านฝ่ากฎสวรรค์เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตเอง
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 1115 ข้าจะช่วยพวกท่านฝ่ากฎสวรรค์เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตเอง
ตอนที่ 1115 ข้าจะช่วยพวกท่านฝ่ากฎสวรรค์เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตเอง
นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่ามองฉินหลิวซีด้วยความสับสนเล็กน้อย จากนั้นก็มองไปยังสุสานบรรพบุรุษของตัวเอง ขุดสุสาน ใช่อย่างที่นางคิดหรือไม่
“ท่าน อยากจะขุดสุสานบรรพบุรุษของตระกูลข้า เขาหรือ” นางชี้ไปที่สุสานใหญ่ด้วยนิ้วที่สั่นเทา
เมื่อเห็นฉินหลิวซีพยักหน้าอย่างจริงจัง นางก็กลืนน้ำลายถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “หากต้องการแก้ไขโชคลาภของตระกูลเซี่ย ก็จำเป็นจะต้องขุดสุสานหรือ”
ฉินหลิวซีพยักหน้า “ข้าต้องการตรวจสอบโลงศพในห้องสุสานของเซี่ยกง รวมถึงศพด้วย”
นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าอ่อนแรงไปทั้งตัว ล้มลงในอ้อมแขนของซุ่นฟัง นี่มันส่งผลกระทบต่อจิตใจมากเกินไปแล้ว
คนที่เหลือก็ล้วนมีสีหน้าซีดเซียวเช่นกัน แตะต้องสุสานบรรพบุรุษ ซ้ำยังเป็นสุสานบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งตระกูล ใครจะไปกล้า หากแตะต้องตามอำเภอใจ ฝาโลงศพของบรรพบุรุษก็คงปิดไว้ไม่อยู่แล้วกระมัง
ฉินหลิวซีกล่าวว่า “แต่สิ่งนี้ก็เพื่อตระกูลเซี่ย กล่าวตามตรง หากไม่ขุด โชคลาภนี้ก็ยังคงถูกขโมยไป ตระกูลเซี่ยจะจบลงในไม่ช้าก็เร็ว เมื่อถึงเวลานั้นก็ไม่ต้องเอ่ยถึงสิ่งอื่นแล้ว แม้แต่ผู้สืบทอดก็ไม่มี แล้วในภายภาคหน้าใครจะเซ่นไหว้สุสานเหล่านี้”
มีลมกระโชกพัดผ่านใบหน้าของฉินหลิวซี ราวกับไม่พอใจคำพูดนี้ของนางเป็นอย่างมาก
แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่การขุดสุสานนั้นถือเป็นการอกตัญญูอย่างแท้จริง
นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่ายิ้มอย่างข่มขืน “ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือ”
“จำเป็นต้องขุด” เมื่อฉินหลิวซีเห็นว่าพวกเขาท่าทางอยากจะร้องไห้ จึงกล่าวว่า “หรือว่าพวกท่านอยากจะลองขอคำแนะนำสักหน่อย เพื่อความสงบสุขของคนในตระกูลจะสามารถขุดได้หรือไม่”
“สามารถขอคำแนะนำได้ด้วยหรือ” สะใภ้โจวประหลาดใจ
“ได้สิ”
ฉินหลิวซีมองไปรอบๆ หยิบท่อนไม้มาจากในป่า เอากริชออกมา ฝานออกเป็นรูปจันทร์เสี้ยวหนึ่งคู่ มีด้านที่พื้นผิวนูนและพื้นผิวเรียบ ซ้ำยังวาดอักขระที่สวยงาม ทันทีที่จับไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง ไม้ที่ถูกฝาน ก็มีผิวมันลื่นในทันที
“เอาไป นี่คือไม้ปวย[1] สามารถสื่อสารขอคำแนะนำกับเทพเจ้าได้ คุกเข่าลงตรงนี้ ขอคำแนะนำที่พวกท่านต้องการอย่างจริงใจ จากนั้นก็โยนออกไป หากเป็นเซิ่งปวย แสดงว่าได้” ซ้ำฉินหลิวซียังได้แสดงให้ดูว่าอะไรคือเซิ่งปวย หนึ่งหยินหนึ่งหยาง แล้วถ้าหากเป็นหยินปวยล่ะจะหมายความว่าอย่างไร
นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าสับสนเล็กน้อย นางคิดว่าฉินหลิวซีจะเป็นคนถาม
นางคุกเข่าลงมือทั้งสองข้างถือไม้ปวยไว้ หลับตาลงแล้วอธิษฐานสิ่งที่ต้องการในใจหนึ่งรอบ จากนั้นก็โยนมันออกไป
หยินปวย
ทุกคนล้วนสีหน้าดูแย่
ปรากฏว่าไม่สำเร็จ
นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่ามองไปยังฉินหลิวซี ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ฉินหลิวซีก็หยิบมันขึ้นมาอีกครั้ง “ยังจริงใจไม่พอ ลองอีกครั้ง”
นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากโยนมันอีกครั้ง
ยังคงเป็นหยินปวย
สะใภ้โจวกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “เกรงว่าวันนี้บรรพบุรุษจะไม่อยู่เรือน”
ซุ่นฟังกล่าวว่า “หรือว่าจะไปเกิดใหม่แล้วเจ้าคะ”
ฉินหลิวซีเดินเข้าไปหา ใช้นิ้วเขี่ย หยินกลายเป็นหยาง เซิ่งปวยปรากฎ จากนั้นก็กล่าวกับทุกคนว่า “สำเร็จแล้ว อย่างไรเสียก็ต้องฝ่าฝืนกฎสวรรค์เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต หนึ่งเรื่องไม่ควรมีผู้ช่วยสองคน ข้าจะช่วยพวกท่านเอง ท่านว่านี่หมายความว่าตกลงแล้วหรือไม่ วันนี้เป็นฤกษ์มงคลพอดี เรียกคนมาขุดหลุมศพ เปิดห้องสุสานเถิด”
ทุกคน “…”
ดีจริงๆ ‘ฝ่าฝืนกฎสวรรค์เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต’ ที่แท้ก็ลงมือด้วยตัวเอง!
นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าโขกศีรษะคำนับสามครั้งอยู่หน้าสุสาน ซึ่งไม่มีอะไรมากไปกว่าการบ่งชี้ถึงสถานการณ์ปัจจุบันของตระกูลเซี่ย จากนั้นก็กล่าวขออภัย ไปเรียกคนจากทางด้านของหัวหน้าหมู่บ้านตระกูลเซี่ย และจัดเตรียมสิ่งของบางอย่าง
ฉินหลิวซีก็ไม่ได้อยู่อย่างว่างๆ นางเดินไปรอบๆ กลุ่มสุสานแห่งนี้จนครบหนึ่งรอบ เอาบางสิ่งออกมา จากนั้นก็เปลี่ยนทิศทาง เอายันต์ออกมาวาดใหม่แล้วฝังไว้ สุดท้ายก็กลับมาอยู่ตรงหน้าสุสานใหญ่
การเปิดห้องสุสานถือเป็นการไม่เคารพต่อบรรพบุรุษ ดังนั้นนายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าจึงจุดธูปถวายเครื่องบูชาด้วยตนเอง แล้วเผาคำอธิษฐานที่เขียนอย่างจริงใจ จากนั้นก็ให้คนเปิดห้องสุสาน
แม้ว่าสุสานใหญ่แห่งนี้จะเป็นของบรรพบุรุษตระกูลเซี่ย ซึ่งไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร แต่อย่างไรเสียการเปิดห้องสุสานก็ถือเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามของคนตาย ดังนั้นฉินหลิวซีจึงมอบยันต์แคล้วคลาดให้กับทุกคนที่อยู่ที่นี่ โดยเฉพาะผู้ที่ขุดหลุมศพ เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกพลังหยินชั่วร้ายโจมตี
ทันทีที่เปิดห้องสุสาน ลมเย็นกระโชกแรงก็พัดออกมาพร้อมกับกลิ่นเหม็นอับ ซ้ำยังมีพลังชั่วร้าย
ผู้ที่เปิดสุสานล้วนมีสีหน้าซีดขาว ขาทั้งสองข้างสั่นระริก เนื่องจากถูกลมเย็นกระโชกแรงเมื่อครู่โจมตี พวกเขาต่างรู้สึกขนลุกเล็กน้อย โชคดีที่มียันต์แคล้วคลาดคุ้มภัยจึงไม่ได้รู้สึกหนาวจนตัวแข็งทื่อ
ฉินหลิวซีเสกยันต์ปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายสองแผ่นเข้าไปในทางเดินสุสาน หลังจากที่ลมเย็นหายไป จึงได้ถือคบเพลิงแล้วเดินเข้าไป
ห้องสุสานของเทพสงครามก็ไม่ได้ต่างจากคนธรรมดาทั่วไป แม้ว่าตอนนั้นเขาจะไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นท่านอ๋องหรือท่านโหว แต่ก็เป็นที่รู้จักในนามเทพสงคราม ห้องสุสานของเขาไม่ได้งดงามนัก แต่ผนังทางเดินในสุสานก็ถูกวาดด้วยจิตรกรรมฝาผนังอันวิจิตรงดงาม นอกจากนี้ยังมีเชิงเทียน เป็นเวลากว่าร้อยปีแล้ว เชิงเทียนยังคงมีเทียนขาวที่ยังไม่ละลาย หลังจากจุดไฟ ทางเดินในสุสานทั้งหมดก็สว่างไสว
หลังจากเดินไปได้ครึ่งทางเดินสุสาน ใกล้จะถึงสุสานหลัก ฉินหลิวซีกลับชะงักฝีเท้า
“มีอะไรหรือ” สะใภ้โจวพยุงนายหญิงเซี่ยผู้เฒ่า เมื่อเห็นว่านางไม่เดินต่อก็อดถามไม่ได้
ฉินหลิวซีกล่าวว่า “ไม่ได้บอกว่าสุสานใหญ่แห่งนี้มีค่ายกลลับหรอกหรือ”
“อืม”
“ที่นี่มีการวางค่ายกลไว้ หากเดินผิดทาง ไปกระตุ้นกลไกเข้าก็จะต้องอยู่เป็นเพื่อนบรรพบุรุษของพวกท่านที่นี่แล้ว” ฉินหลิวซีกล่าวว่า “พวกท่านรออยู่ที่นี่ก่อน”
นางกล่าวพลางก้าวไปทางด้านซ้ายสองก้าว จากนั้นก็ถอยหลังไปทางด้านขวาหนึ่งก้าว แล้วก้าวไปข้างหน้าสามก้าว แล้วเดินไปจนสุดทาง
ก็แค่ค่ายกลเขาวงกตเก้าโค้ง ไม่ได้ยากอะไร
ในไม่ช้าฉินหลิวซีก็เดินไปอยู่ตรงหน้าสุสานหลัก ข้างในนั้นมืดมิด นางเงยหน้าขึ้น เหนือศีรษะมีแม่ทัพในชุดเกราะ ในมือถือหอก ราวกับกำลังจ้องมองนางด้วยดวงตาเสือคู่หนึ่ง สายตาคมกริบราวกับนกอินทรี เหมือนกับคนจริงๆ ราวกับมีชีวิต
นางมองอย่างละเอียด มุมปากกระตุก เขย่งปลายเท้าเล็กน้อยก็กระโดดขึ้นไปได้แล้ว นิ้วจิ้มเข้าไปในดวงตาเสือคู่นั้น เมื่อลูกตาสีดำสองข้างถูกกด ก็ได้ยินเสียงกลไกเคลื่อนไหวเบาๆ
นี่เป็นความชอบแปลกๆ แบบใดกันจึงได้ใส่ตัวเปิดกลไกไว้ที่ลูกตา ให้คนจิ้มตา เหอะๆ ผู้ที่ออกแบบกลไกคงจะมีความแค้นกับเซี่ยกงกระมัง
หลังจากได้ยินเสียงกลไกเงียบลง ฉินหลิวซีจึงได้ให้นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่ากับคนอื่นๆตามมา นางเดินนำเข้าไปในสุสานหลักก่อน นี่เป็นห้องสุสานสี่เหลี่ยม มีเชิงเทียนอยู่บนผนัง นางจุดเทียนทั้งหมดทีละเล่ม จึงได้เห็นว่าห้องสุสานมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่งดงามกว่าทางเดินในสุสาน
และด้านบนของถ้ำสุสาน กลับเป็นพระพุทธรูปขี่เสือขาว พระพุทธรูปองค์นั้นนั่งห้อยขาฝั่งเดียวกัน มีใบหน้าเพียงครึ่งเดียว มองขึ้นไปบนฟ้า ดวงตาเรียวยาวนั้นเหมือนกับดวงตาพระพุทธรูปที่นางเห็นเมื่อคืนนี้มาก
ฉินหลิวซีสายตาเย็นชา
เสือขาวยินดีทำหน้าที่เป็นพาหนะของพระพุทธเจ้า นี่เป็นการยอมสยบ และเป็นการกดทับ
และหากเปรียบเทียบเสือขาวเป็นเทพสงครามเซี่ยกง เช่นนั้นเขาก็เป็นคนที่ถูกกดทับและทำให้เชื่อง
ฉินหลิวซีมองลงไปข้างล่าง เห็นโลงศพไม้ตะโกวางอยู่ใต้รูปปั้นเสือขาว โลงศพถูกแกะสลักด้วยลวยลายเสือขาวราวกับมีชีวิต หัวโลงศพแกะสลักด้วยคำว่า ‘อายุยืน’ สีเขียวหยก
โลงศพไม้ตะโกถูกวางอย่างสงบบนพื้นโดยไม่มีพลังชั่วร้ายรั่วไหลออกมาแม้แต่นิดเดียว แต่ฉินหลิวซีกลับรู้สึกแปลกๆ
โลงศพไม้ตะโกนี้ทำให้นางไม่สบายใจ
นางเดินรอบโลงศพไม้ตะโกหนึ่งรอบ ความแปลกประหลาดเริ่มเกี่ยวรัดหัวใจนางมากขึ้นเรื่อยๆ เงียบสงบเกินไปแล้ว นางไม่เห็นร่องรอยของคาถาอาคมใดๆ แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้นางก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ
เทียนที่มุมตะวันออกเฉียงใต้ของสุสานสั่นไหวเล็กน้อย
ฉินหลิวซีจ้องมองโลงศพไม้ตะโก ทันใดนั้นก็กล่าวกับสะใภ้โจวและคนอื่นๆว่า “พวกท่านรีบออกไปจากสุสานแห่งนี้เดี๋ยวนี้”
[1] ไม้ปวย เป็นอุปกรณ์ที่เอาไว้ใช้ติดต่อระหว่างผู้ศรัทธา (ผู้เสี่ยงทาย) กับเทพเจ้า