คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1117 ตัดสัมพันธ์ ฟาดบรรพบุรุษ
ตอนที่ 1117 ตัดสัมพันธ์ ฟาดบรรพบุรุษ
………………..
เทพเฟิงตูเป็นใครกัน ผู้นำอันดับหนึ่งแห่งยมโลก เป็นหัวหน้าใหญ่ เดิมทีนั้นเขาได้สวมใส่หินเก้าตาไว้ตลอดเวลา มันจึงได้รับพลังของเขา ย่อมเป็นอาวุธพิฆาตผีร้ายนับไม่ถ้วน
ตอนนี้อาวุธพิฆาตนี้ได้ผูกมัดกระดูกของเซี่ยกงหมิง ความกดดันมหาศาลบดขยี้เขาราวกับภูเขาขนาดยักษ์
น่ากลัวเป็นอย่างมาก
เซี่ยกงหมิงส่งเสียงกรีดร้องอย่างอนาถ รู้สึกสิ้นหวังกว่าตอนที่เขาตายเสียอีก เนื่องจากเขารู้สึกราวกับว่าดวงวิญญาณถูกเฉือนเป็นชิ้นๆ ด้วยมีดอย่างชัดเจน
โครงกระดูกที่แฝงไว้ด้วยความชั่วร้ายของเขาเกิดเสียงดังกร๊อบ กระดูกขาแตกหัก คุกเข่าลง ทันทีที่คุกเข่า ดูเหมือนว่าโครงกระดูกจะสูญเสียโครงร่างและเริ่มแตกสลาย กระดูกหลุดออกทีละชิ้น
พลังหยินชั่วร้ายกระจายไปทั่วทุกทิศ
ทั่วทั้งสุสานเย็นเยียบจนทะลุเข้าไปถึงกระดูก พลังหยินชั่วร้ายแพร่กระจายไปทั่วทุกอณู
ฉินหลิวซีนึกบางอย่างขึ้นมา จิตวิญญาณเต๋าแพร่กระจายออกจากร่างกาย ปิดกั้นพลังหยินชั่วร้ายเหล่านั้นไว้ข้างนอก ราวกับเพิ่มเกาะป้องกันให้กับร่างกายอีกหนึ่งชั้น ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ
เซี่ยกงหมิงไม่ได้โชคดีนัก ความกดดันอันน่าสะพรึงกลัวของมหาเทพได้เฉือนดวงวิญญาณของเขาเป็นชิ้นๆ จากนั้นก็สลายกลายเป็นผงไป
ความสิ้นหวังและความหวาดกลัวที่ไม่เคยมีมาก่อนได้เกิดขึ้นทั่วร่างของดวงวิญญาณเขา
เซี่ยกงหมิงไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กเช่นนี้มาก่อน ราวกับมด ไม่สามารถต้านทานได้แม้แต่นิดเดียว รู้สึกว่าดวงวิญญาณกำลังสลายไป เขาร้องตะโกน “เจ้าฆ่าข้าไม่ได้ ข้าได้ใช้ทั้งตระกูลเซี่ยเป็นเครื่องสังเวยบูชาเจ้านายของข้า รวมถึงข้าด้วย หากข้าตายไป พวกเขาก็ไม่สามารถมีชีวิตรอดได้ มีข้าจึงจะมีพวกเขา หากไม่มีข้า พวกเขาก็จะไม่เหลืออะไรเลย!”
“เจ้าตายไปแล้ว!”
เซี่ยกงหมิงโกรธจัด “ดวงวิญญาณของข้ายังอยู่ โครงกระดูกของข้าก็ยังอยู่ หากไม่ใช่เพราะเจ้า ข้ายังสามารถมีชีวิตได้อีกครั้ง!”
“บ้าไปแล้ว!” ฉินหลิวซีแสยะยิ้ม เอ่ย “เจ้าได้เตือนข้าว่าคนอย่างเจ้าไม่คู่ควรจะเป็นบรรพบุรุษของใคร ในโลกนี้มีบุตรที่ไม่กตัญญู ก็ย่อมมีผู้อาวุโสที่ไร้ความเมตตา บิดามารดาสามารถตัดความสัมพันธ์กับบุตรของตนได้ ในทางกลับกันบุตรก็สามารถทำได้เช่นกัน”
“ตราบใดที่ตัดความสัมพันธ์กับเจ้า บอกกล่าวต่อศาลแห่งสวรรค์ เจ้าก็จะไม่ใช่บรรพบุรุษตระกูลเซี่ยอีกต่อไป สุสานนี้ก็จะเป็นเพียงสุสานไร้ญาติที่ไม่มีเจ้าของ จะถูกฝังกลบ และกลับคืนสู่เถ้าธุลีในที่สุด!”
สุสานไร้ญาติไม่มีเจ้าของ ตายไปก็ไม่มีที่พึ่งพิง
“เจ้าบังอาจ!” โครงกระดูกของเซี่ยกงหมิงแตกกระจาย กะโหลกศีรษะหล่นลง กลิ้งออกไปด้านข้าง กรามล่างอ้าปากพะงาบๆ ดูน่าสงสารเป็นอย่างมาก
ฉินหลิวซีใช้หินเก้าตาผูกกะโหลกศีรษะของเขาไว้แล้วใช้นิ้วเกี่ยวไว้ จากนั้นดึงขึ้นมาสูงพอๆ กับตำแหน่งของตัวเอง กล่าวว่า “ขุดสุสานของเจ้าข้าก็กล้าทำมาแล้ว ยังจะมีอะไรที่ข้าไม่กล้าอีก”
กะโหลกศีรษะของเซี่ยกงหมิงที่ถูกหินเก้าตามัดแกว่งไปแกว่งมา ยิ่งรู้สึกว่าดวงวิญญาณไม่สมประกอบมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งรู้สึกโกรธและเศร้าใจเล็กน้อย
เขาเป็นถึงเทพสงครามผู้ยิ่งใหญ่ ได้รับความอับอายเช่นนี้ย่อมโกรธมาก!
เทพเฟิงตู ‘หินเก้าตาของมหาเทพอย่างข้าถูกใช้ทำเป็นเชือก ซ้ำยังเอามามัดกะโหลกศีรษะคนตาย ยังจะมีใครน่าเศร้าใจไปกว่าข้าอีก’
เซี่ยกงหมิงเห็นว่าฉินหลิวซีไม่ได้เพียงแค่กล่าวข่มขู่ แต่ลงมือทำอย่างจริงจัง จึงเอ่ย “เจ้าอย่าได้ทำอะไรไร้สาระ เจ้านายข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่ ยังไม่ปล่อยข้าอีก”
“เจ้าเป็นถึงขนาดนี้แล้ว เจ้านายเจ้าเคยโผล่หัวมาหรือไม่ ก็เพียงแค่สุนัขเฝ้าประตู เขาจะสนใจเจ้าทำไม” ฉินหลิวซีส่งข้อความไปถึงนายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าให้เอาเถ้ากระดูกของเซี่ยหว่านมาด้วยการวาดยันต์ จากนั้นก็ร่ายคาถาถ่ายทอดข้อความลงไปอีกครั้งแล้วเผามัน เหลือบมองเขา “ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าเขาล้างสมองเจ้าอย่างไร เจ้าจึงได้โง่เขลาเช่นนี้ ยินดีที่จะยอมสละโชคลาภของตระกูลที่อยู่ข้างหลังตัวเองมาเป็นเวลาร้อยปีประเคนให้กับเขา”
“เจ้าจะไปเข้าใจอะไร การมีอยู่ของเขาเป็นดั่งเทพเจ้า ไม่สิ เขาก็คือเทพเจ้า เป็นเขาที่คุ้มครองข้าครั้งแล้วครั้งเล่าให้ปีนขึ้นมาจากภูเขาซากศพ กลายเป็นเทพสงครามที่ทุกคนเคารพนับถือ และเป็นเขาที่แนะนำให้ข้าก่อตั้งนิกายที่นี่ เลือกตำแหน่งถ้ำอันเป็นมงคลทำเป็นสุสาน เช่นนี้ตระกูลเซี่ยจึงอยู่รอดมานับร้อยปี” เซี่ยกงหมิงกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก กล่าวว่า “หากไม่มีเขา ไหนเลยจะมีตระกูลเซี่ย ทุกอย่างของตระกูลเซี่ยนั้นมีได้ก็เพราะเขา ย่อมเป็นของเขา!”
“เจ้าเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ! เขาเป็นเทพแบบใดกัน ก็เพียงแค่ปีศาจร้ายที่หลอกล่อให้คนลุ่มหลงก็เท่านั้น”
ดวงตาที่ว่างเปล่าของเซี่ยกงหมิงระเบิดพลังหยินชั่วร้ายอันเย็นยะเยือกออกมา กล่าวด้วยความโกรธว่า “เจ้าไม่มีสิทธิ์มาดูหมิ่นเจ้านายข้า เขาเป็นเทพ ในที่สุดเขาก็จะกลายเป็นเทพ!”
เซี่ยกงหมิงตกตะลึง โต้เถียงเสียงแข็งว่า “เทพเจ้าไหนเลยจะเป็นสิ่งที่คนธรรมดาอย่างพวกเราสามารถมองโดยตรงได้ เขาสถิตย์อยู่ในใจของข้า!”
ให้ตายเถอะ นี่เป็นคนโง่ที่โตแต่ตัวไม่มีสมองจริงๆ!
สิ่งที่ฉินหลิวซีมั่นใจได้ก็คือ เมื่อร้อยปีก่อน ซื่อหลัวได้เริ่มวางหมากนี้แล้ว แค่ตระกูลเซี่ยตระกูลเดียวก็คุ้มค่าให้เขาเตรียมการเช่นนี้แล้วหรือ จะยังมีตระกูลที่เป็นอย่างตระกูลเซี่ยอีกกี่ตระกูล
แค่คิดก็รู้สึกกลัว
อีกอย่างเทพเฟิงตูก็เป็นคนที่เอาแต่กินดื่มไม่สนใจเรื่องต่างๆ คนถูกขังอยู่ใต้จมูกของตัวเองแท้ๆ ก็ยังปล่อยให้เขาวางแผนการได้สำเร็จ เกรงว่าวันๆ คงจะเอาแต่เล่นหมากรุกอยู่กับราชาในยมโลก จนละเลยไปกระมัง
ประโยคเดียวด่าผู้ยิ่งใหญ่ถึงสองท่าน
ด่าก็ส่วนด่า แต่ความยุ่งเหยิงนี้ก็ต้องได้รับการจัดการ
พลังหยินชั่วร้ายในห้องสุสานถูกฉินหลิวซีใช้หอกวิญญาณร้ายนั้นทำเป็นภาชนะใส่ไว้ ทำเอาหอกนั้นยิ่งมีความเป็นหยินอันเยือกเย็น อาวุธชั่วร้ายเช่นนี้ หากจัดการไม่ดีก็จะกลายเป็นอาวุธที่ดื่มเลือดคนเป็น หากจัดการได้ดีก็จะเป็นอาวุธในการไล่วิญญาณปราบสิ่งชั่วร้ายอันยอดเยี่ยม
ดังนั้น ตอนที่นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าถูกสะใภ้โจวพยุงเข้ามา พลังหยินชั่วร้ายในนี้ได้ถูกรวบรวมไว้ในหอกด้ามนั้นหมดแล้ว เว้นเสียแต่กองกระดูกที่อยู่บนพื้นกับกะโหลกศีรษะที่ถูกห้อยอยู่
ทันทีที่นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าและคนอื่นๆ เข้ามา ตอนแรกก็รู้สึกตัวสั่นเพราะความหนาวเย็นในห้องสุสาน จากนั้นเมื่อเห็นกะโหลกศีรษะที่แกว่งไปมาอยู่ในมือของฉินหลิวซี ก็อดหน้ามืดไม่ได้
คงไม่ใช่หรอกกระมัง คงไม่ใช่อย่างที่พวกนางคิดหรอกกระมัง
หากพวกนางโวยวายให้ปล่อยบรรพบุรุษของตัวเอง จะถูกไต้ซือตีตายหรือไม่
“ในเมื่อพวกท่านมากันแล้ว มีบางเรื่องที่ต้องให้คนรุ่นหลังอย่างพวกท่านมาจัดการ นายหญิงผู้เฒ่าตอนนี้เป็นผู้ดูแลตระกูลเซี่ยมาไม่รู้กี่รุ่นแล้ว ลงสนามรบฆ่าศัตรู ให้กำเนิดบุตร ไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นผู้ดูแลอยู่เบื้องหลัง ท่านเป็นผู้ดูแลตระกูลที่ได้รับการยอมรับจากบรรพบุรุษทั้งหมดของตระกูลเซี่ย เรื่องนี้สามารถรับรองได้อย่างแน่นอน” ฉินหลิวซีแกว่งกะโหลกศีรษะไปมา กล่าวต่ออีกหนึ่งประโยคว่า “แน่นอนว่าไม่นับรวมเจ้านี่”
“เหลวไหล ข้าต่างหากที่เป็นบรรพบุรุษเก่าแก่ของพวกเขาอย่างแท้จริงๆ หากไม่มีข้า ไหนเลยจะมีพวกเขา อือๆๆ…”
ช่างเป็นหัวกะโหลกที่น่าสังเวชจริง!
ฉินหลิวซีหันกลับไปมองพวกนางอีกครั้ง กล่าวว่า “ใช่แล้ว เป็นอย่างที่พวกท่านคิด นี่ก็คือเซี่ยกงหมิง บรรพบุรุษเก่าแก่ตระกูลเซี่ยของพวกท่าน”
นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าแทบจะคุกเข่าลงในทันที
“อย่าคุกเข่า เขาไม่คู่ควร” ทันทีที่ฉินหลิวซียกไม้จินกังขึ้น นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าก็ไม่สามารถคุกเข่าลงไปได้ กล่าวว่า “แม้ว่าเขาจะเป็นบรรพบุรุษเก่าแก่ของพวกท่าน แต่เขาก็ยังเป็นต้นเหตุของหายนะแก่ลูกหลานตระกูลเซี่ย สุสานในบริเวณนี้หนาแน่น พวกเขาตายไปมากมายขนาดนี้ กระทั่งคนที่อายุยังน้อย ก็เป็นเพราะสิ่งนี้ เป็นเขาที่เต็มใจสละโชคลาภนับร้อยปีของตระกูลเซี่ยให้กับมารร้ายที่เขาบูชา ไม่มีโชคลาภคอยคุ้มครอง ไม่ว่าพวกท่านจะมีบุญกุศลมากมายแค่ไหน ก็ไม่ตกอยู่ที่ตัวของพวกท่านอยู่ดี”
“ไม่…” เซี่ยกงหมิงยังอยากจะโต้เถียง แต่ทันทีที่อ้าปากกะโหลกศีรษะที่แตกหักก็หลุดร่วง
ทุกคนพากันมอง รู้สึกตกใจกลัวเป็นอย่างมาก แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกใจยิ่งกว่ากลับเป็นคำพูดของฉินหลิวซี หมายความว่าอย่างไร เสียสละด้วยความเต็มใจ
นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าออกแรงบีบไม้เท้าหัวมังกรในมือแน่น กล่าวด้วยสีหน้าซีดเซียวว่า “ท่านบอกว่าที่ตระกูลเซี่ยของข้ามาถึงจุดที่ตอนนี้มีผู้สืบทอดต่อเพียงหนึ่งเดียว เป็นเพราะบรรพบุรุษเต็มใจที่จะสละโชคลาภให้แก่ผู้อื่นอย่างนั้นหรือ”
ฉินหลิวซีพยักหน้า
นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าสายตาเฉียบคม จ้องมองไปที่กะโหลกศีรษะ ทันใดนั้นความเกลียดชังก็เติมเต็มในหัวใจ กล่าวว่า “ท่านอาจารย์ ท่านไม่ได้หลอกข้าใช่หรือไม่”
“ตอนนี้ตระกูลเซี่ยมีอะไรคุ้มค่าที่จะให้ข้าหลอกท่านด้วยหรือ”
“เข้าใจแล้ว” ทันทีที่นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่ากล่าวจบ นางก็เหวี่ยงไม้เท้าหัวมังกรในมือขึ้นมา ฟาดเข้าไปที่กะโหลกศีรษะนั้นอย่างสุดกำลัง
ว่ากันว่ากะโหลกศีรษะนั้นแข็ง แต่ก็ไม่แข็งไปกว่าไม้เท้าหัวมังกรนี้หรอกกระมัง
กะโหลกศีรษะถูกตีเข้าไปเต็มๆ แตกเป็นเสี่ยงๆ ในทันที ซากดวงวิญญาณที่เหลืออยู่ของเซี่ยกงหมิงถูกบดขยี้ด้วยแรงกดดันของหินเก้าตาอยู่แล้ว ตอนนี้เมื่อถูกทุบ จึงรู้สึกจริงๆ ว่าศีรษะของตัวเองถูกคนทุบทีละคนจนแตกละเอียด ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วดวงวิญญาณ
ฉินหลิวซีเก็บหินเก้าตากลับคืน และไม่ได้ห้ามนายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าระบายความโกรธ
นางฟาดไปร้องไห้ไป กล่าวว่า “หญิงชราอย่างข้ามีบุตรชายห้าคน บุตรสาวหนึ่งคน พร้อมกับหลานสุดที่รักอีกหกคน รวมถึงบรรดาบุรุษของสตรีทั้งหลาย หากไม่ตายในสนามรบก็ตายอยู่ใต้กีบม้า กระทั่งสำลักเม็ดถั่วลิสงจนถึงแก่ชีวิต ข้าคิดว่าเป็นเพราะตระกูลเซี่ยของข้าสังหารคนไปนับไม่ถ้วนจึงได้รับผลกรรมตามสนอง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะเป็นฝีมือของคนพวกเดียวกันเอง เป็นตาเฒ่าไร้ความเมตตาอย่างท่านที่ทำเรื่องโง่เขลาโหดเหี้ยมเช่นนี้ จึงทำให้พวกเขาไม่มีใครมีอายุถึงหกสิบปีเลยสักคน ล้วนเสียชีวิตในวัยหนุ่มทั้งหมด”
นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าฟาดจนเหนื่อย ด่าด้วยความโกรธด้วยอาการหอบ “ในโลกนี้เหตุใดจึงได้มีบรรพบุรุษที่ไร้ความเมตตาปรานีอย่างท่านเช่นนี้ คนอย่างท่านจะคู่ควรมีลูกหลานสืบทอดได้อย่างไร”
หินเก้าตาถูกเก็บกลับคืนมาแล้ว เศษซากดวงวิญญาณของเซี่ยกงหมิงลอยออกมา พุ่งเข้าหานายหญิงเซี่ยผู้เฒ่า “สตรีต่ำช้าอย่างเจ้า บังอาจกล้ามาตีบรรพบุรุษ ตระกูลเซี่ยของข้าไปสู่ขอสตรีต่ำช้าอย่างเจ้า นับว่าเป็นความโชคร้ายไปอีกหลายชั่วอายุคน”
“หากบุรุษตระกูลเซี่ยรู้ว่าท่านต่ำช้าเช่นนี้ พวกเขาไม่มีทางเต็มใจที่จะเป็นลูกหลานสืบทอดให้ท่าน” นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าถ่มน้ำลายใส่ “ท่านนับว่าเป็นบรรพบุรุษประสาอะไรกัน คนชั่วร้ายอย่างท่านควรจะถูกสัตว์ป่าขย้ำเนื้อจนเละไปเสียแต่แรกแล้ว ท่านไม่คู่ควรเป็นเทพสงคราม ท่านไม่คู่ควรเป็นบรรพบุรุษตระกูลเซี่ยของพวกเรา!”
“บังอาจ หากไม่มีข้า ไหนเลยจะมีตระกูลเซี่ย ไหนเลยจะมีสิ่งที่เรียกว่าคนตระกูลเซี่ย!”
“ท่านพูดถูก เช่นนั้นพวกเราจะคืนให้กับท่าน ท่านอาจารย์ ท่านว่าจำเป็นต้องทำอย่างไร ไม่ว่าจะเลาะกระดูกขูดเลือด หรือต้องทำอย่างไรพวกเราก็จะทำทั้งนั้น” นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่ากัดฟันพลางกล่าวว่า “ต่อให้หญิงแก่อย่างข้าต้องเอาหัวโขกตายในห้องสุสานนี้ ข้าก็กล้าทำ”
ฉินหลิวซีรวบรวมเศษดวงวิญญาณที่เหลือของเซี่ยกงหมิง กล่าวว่า “อย่างที่ท่านกล่าว เลาะกระดูกขูดเลือด เขียนจดหมายตัดสัมพันธ์หนึ่งฉบับ แล้วเผาส่งขึ้นไปบนสวรรค์” จากนั้นก็บดขยี้สุนัขโง่เขลาตัวนี้ให้ตาย
สะใภ้โจวที่โกรธจนเกลียดที่ไม่อาจทำลายเศษดวงวิญญาณของเซี่ยกงหมิงได้นานแล้ว ก็ได้สติกลับคืนมา กล่าวว่า “แม้ว่าพวกเราจะเป็นคนตระกูลเซี่ย แต่ก็เป็นเพียงลูกสะใภ้ เลือดที่ไหลอยู่ก็ไม่ใช่เลือดตระกูลเซี่ย จะสามารถทำได้หรือ สายเลือดเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลเซี่ยอยู่ที่เมืองหลวง”
ฉินหลิวซีกล่าวว่า “นายหญิงผู้เฒ่าคนเดียวก็พอแล้ว ใช้กระดูกของเซี่ยหว่าน ส่วนเลือดกับเส้นผมอะไรเหล่านั้น ย่อมมีคนนำมาให้ข้าในภายหลัง”
ทุกคนไม่เข้าใจ แต่ก็รู้ดีว่าไม่ควรถาม
มีเพียงเซี่ยกงหมิงเท่านั้นที่ตื่นตระหนก นักพรตกระจอกผู้นี้ลงมือทำอย่างจริงจัง หากทำตามที่นางกล่าวมา สายสัมพันธ์นี้ก็จะสามารถถูกตัดขาดได้แล้วหรือ
เมื่อถูกตัดขาด การเสียสละของเขาก็จะถูกล้มเลิก แล้วเขาจะมีจุดจบอย่างไร
เซี่ยกงหมิงร้องเรียกเทพเจ้าของเขาไม่หยุด ขอร้องให้อีกฝ่ายลงมา เขาเป็นผู้ศรัทธาอย่างจริงใจที่ถวายโชคลาภให้เป็นเวลาร้อยปีเชียวนะ ท่านจะเพิกเฉยเช่นนี้ไม่ได้
อย่างไรก็ตาม เทพที่เขาศรัทธากลับไม่ได้ยินเสียงเรียกของเขา ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ
จู่ๆ คำพูดดังกล่าวก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขา
“เลิกคิดได้แล้ว โชคลาภนับร้อยปีได้ถูกเอาไปจนเกือบหมดแล้ว ใครจะยังคุ้มครองคนถูกทิ้งอย่างเจ้าอีก หากข้าเป็นเขา ก็ไม่มีทางสนใจว่าเจ้าจะเป็นหรือตาย!” ฉินหลิวซีเอ่ยเหน็บแนม
เศษซากวิญญาณของเซี่ยกงหมิงสั่นสะท้านเล็กน้อย “เจ้าหุบปาก เจ้านายข้าเพียงแค่ เพียงแค่ติดธุระทำให้มาไม่ได้ นักพรตกระจอกอย่างเจ้า เด็กเมื่อวานซืนอย่าได้คิดว่าจะทำร้ายเขาได้…”
“ข้าไว้หน้าเจ้ามากเกินไปแล้วกระมัง!” ฉินหลิวซีบีบดวงวิญญาณของเขา ลงมือตามที่ใจสั่ง พลังอันเยือกเย็นของไฟนรกนั้นทำให้เศษซากวิญญาณของเขาถูกแผดเผาเจ็บปวดจนทนไม่ได้ ส่งเสียงกรีดร้องอย่างน่าสังเวช
นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าและคนอื่นๆ ตกใจกับเสียงกรีดร้องนี้จนหัวใจเต้นเร็ว เจ็บแก้วหู เมื่อมองดูเศษซากดวงวิญญาณของเซี่ยกงหมิงที่เดิมทีก็อนาถเต็มที ตอนนี้แทบจะมองเห็นไม่ชัดเจนแล้ว ต่างก็กลืนน้ำลาย สายตาที่มองฉินหลิวซีมีความหวาดกลัวเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย
ฉินหลิวซียิ้มให้พวกนาง กล่าวว่า “ปกติข้าไม่เป็นเช่นนี้ เป็นเพราะถูกบังคับ ขายหน้าพวกท่านแล้ว”
ไม่ต้องอธิบาย พวกเราเข้าใจ
ฉินหลิวซีหยิบกระดาษสีเหลืองแผ่นหนึ่งยื่นให้นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่า สอนนางเขียนจดหมายตัดความสัมพันธ์
นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่ารับมาอย่างคุ้นเคย จากนั้นก็กรีดปลายนิ้ว เริ่มเขียนด้วยเลือด
“เอ่อ…” ฉินหลิวซียกมือขึ้น อยากบอกว่าความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องใช้เลือดนางเขียน แต่นางได้เริ่มเขียนแล้ว จึงปล่อยไป
ใช้ผู้นำตระกูลเซี่ยคนปัจจุบันมาประนามความผิดของเซี่ยกงหมิงเพื่อยุติความสัมพันธ์ เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาดของนาง
ทันใดนั้นก็มีลมกระโชกแรงพัดมาจากทางเดินสุสาน
“เป็นที่นี่ไม่ผิดแน่กระมัง”
มีเสียงที่ไม่คุ้นเคยดังมาจากในห้องสุสาน จากนั้นสะใภ้โจวและคนอื่นๆ ก็เห็นเงาปรากฏขึ้นในสายตาของพวกนาง
“อ๊ากกก มีผี” สะใภ้โจวกอดซุ่นฟังแน่น กรีดร้องด้วยความหวาดกลัว
“ตื่นตระหนกทำไม ไม่สมกับที่ท่านเป็นบุตรสาวของแม่ทัพ ไม่ได้ยินที่ท่านอาจารย์บอกหรือว่าคนอย่างพวกเราล้วนมีพลังแห่งคุณธรรมอยู่แล้วเจ้าค่ะ” ซุ่นฟังตบแขนนางเบาๆ อย่างไม่สบอารมณ์ แต่นางก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้เช่นกัน
“ไม่ต้องกลัว เป็นผีของข้า” ฉินหลิวซีมองเว่ยเสียพลางกล่าวว่า “เอาของมาครบแล้วใช่หรือไม่”
เว่ยเสียยื่นถุงสัมภาระใบเล็กไปให้ เอ่ย “ข้าจะกล้ามามือเปล่าหรือ เกิดอะไรขึ้นจึงได้เร่งเร้าให้ข้าไปครอบงำเด็ก เจ้ารู้หรือไม่ว่าเด็กคนนั้นกรีดเลือดแล้วก็ตัดผมตัวเอง มีคนมาเห็นเข้าพอดี ทำเอาพวกเขาตกใจแทบแย่”
ฉินหลิวซีอธิบายให้ฟังอย่างคร่าวๆ
เว่ยเสียขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “โชคลาภร้อยปีคงจะถูกเอาไปจนเกือบหมดแล้วกระมัง”
“แม้ว่าจะเป็นเชื้อสายเพียงหนึ่งเดียว ก็ต้องรักษาไว้ให้ได้” ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “อีกอย่างหากไม่เจอก็แล้วไป เรื่องเกี่ยวกับซื่อหลัว ไม่ว่าอย่างไรก็ล้วนต้องต่อกรกับเขา”
เว่ยเสียถอนหายใจ
ก็เป็นจริงเช่นนั้น ทำลายแผนการของฝ่ายตรงข้าม ไม่ต้องพูดถึงว่ามีประโยชน์หรือไม่ ทำลายไว้ก่อน
ในเวลานี้นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าได้เขียนจดหมายตัดความสัมพันธ์เรียบร้อยแล้ว มองเว่ยเสียอย่างสงสัย นี่เป็นบุรุษหรือ เหตุใดจึงได้ทัดดอกไม้
ฉินหลิวซีเปิดถุงสัมภาระใบเล็กที่ส่งข้อความให้เว่ยเสียนำมาด้วย ข้างในมีเส้นผมที่พันด้วยผ้าเช็ดหน้า ซ้ำยังมีเศษเล็บสองเสี้ยวกับขวดหยกใส่เลือดใบเล็กหนึ่งใบ
สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดล้วนเป็นของเซี่ยซื่ออันทายาทเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลเซี่ย แม้ว่าจะถูกครอบงำให้ทำ แต่ก็เป็นสายเลือดของคนตระกูลเซี่ย แค่ใช้ได้ก็พอแล้ว
หลังจากที่นายหญิงเซี่ยผู้เฒ่าและคนอื่นๆ ได้ฟังคำอธิบายแล้วมองไปยังเว่ยเสียด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อย สมแล้วที่เป็นผีของฉินหลิวซี หากเป็นคนไม่ดี ทายาทเพียงหนึ่งเดียวคงจะได้จากโลกนี้ไปแล้ว
เศษซากดวงวิญญาณของเซี่ยกงหมิงสั่นเทา “ไม่ ไม่ได้ ข้าเป็นบรรพบุรุษของตระกูลเซี่ย ไม่มีข้า ก็จะไม่มีการมีอยู่ของพวกเจ้า”
แต่ใครล่ะจะสนใจเขา
ฉินหลิวซีวาดค่ายอาคม ตั้งแท่นบูชาเล็กๆ อย่างง่ายๆ จากนั้นก็ม้วนหนังสือตัดความสัมพันธ์และของของเซี่ยซื่ออันเข้าด้วยกัน มือถือไม้จินกังแทนแส้หางม้า ก้าวเดินตามตำแหน่งดวงดาว ปากท่องพึมพำคาถา ยันต์หนึ่งแผ่นตกลงบนกองสิ่งของ ไฟก็ลุกไหม้ขึ้นมาเอง
เสียงดังกระหึ่ม
สายฟ้าฟาดทะลุห้องสุสานลงมา
เซี่ยกงหมิงหัวเราะลั่น “ฮ่าๆๆ สมน้ำหน้า ลูกหลานอกตัญญู กล้าทรยศบรรพบุรุษ สวรรค์ไม่รับไม่ได้ สมควรถูกฟ้าผ่า…เอื้อ!”
ผ่าแล้ว
สายฟ้าผ่าลงที่เศษซากวิญญาณของเขา