คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1122 เช่นนั้นพวกเราก็มาต่อสู้กับเขากันเถอะ
ตอนที่ 1122 เช่นนั้นพวกเราก็มาต่อสู้กับเขากันเถอะ
………………..
เฟิงซิวรีบกลืนยาลูกกลอนลงไปสองสามเม็ด ปรับลมหายใจ จากนั้นจึงได้มองไปยังฉินหลิวซี ขมวดคิ้วเรียวยาวพลางกล่าวว่า “เขาเคยเห็นซื่อหลัวหรือ ท่านเห็นรูปร่างของซื่อหลัวแล้วหรือไม่”
ฉินหลิวซีส่ายหน้า “มันพร่ามัวราวกับม่านหมอกที่ปกคลุมภูเขาอันห่างไกล”
เฟิงซิวท่าทางฉุนเฉียว เอ่ยด้วยใบหน้ามืดครึ้มว่า “ในเมื่อมีความสามารถมากขนาดนี้ เหตุใดจึงซ่อนหัวโผล่หาง เห็นได้ชัดว่าเขาก็มีความกังวลในใจ กลัวว่าใบหน้าที่แท้จริงจะถูกเปิดเผย ทำให้แผนการของเขาถูกทำลาย”
ความจริงไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น เขาหนีออกมาจากมหาอเวจีนรก การกระทำของเขาในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้เผยให้เห็นถึงความทะเยอทะยาน แผนการที่เขาวางไว้ไม่อาจซ่อนเร้นได้แล้ว เหตุใดยังจะต้องกลัวคนเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา
ฉินหลิวซีกล่าวว่า “พระพุทธเจ้ามีพันหน้า หากเขาต้องการจะเลียนแบบ ก็ไม่ได้ยาก”
เฟิงซิวหัวเราะในลำคอ “น่าขัน พระพุทธเจ้ามีพันหน้า และกล้าแสดงให้คนเห็น เขาอยากจะเลียนแบบแต่กลับซ่อนหัวโผล่หาง ไม่กล้าให้ใครเห็น ยังกล้าเรียกตัวเองว่าพระพุทธเจ้า หากสวรรค์ยอมรับพระพุทธเจ้าองค์นี้ เช่นนั้นจิ้งจอกอย่างข้าก็สามารถสอยพระพุทธเจ้าลงมาแล้วนั่งบนแท่นอันสูงส่งให้ใต้หล้าบูชาแล้ว”
เสียงฟ้าร้องดังอยู่เหนือศีรษะทั้งสองคน มีสายฟ้าสว่างวาบอยู่ในก้อนเมฆ
ทั้งสองคนเงยหน้าขึ้นมอง จากนั้นก็มองหน้ากัน ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ
เฟิงซิวไม่ได้พูดจาผิดศีลธรรมอีก กล่าวว่า “หรือว่าเจ้านี่ก็เป็นผู้ศรัทธาของเขาด้วยเช่นกัน”
ฉินหลิวซีมองไปตามนิ้วของเขา เซวียนอี่ที่ถูกค้นวิญญาณท่าทางเหม่อลอย น้ำลายไหลหยดลงมา กล่าวว่า “เดิมทีคนผู้นี้เป็นลูกศิษย์ของวังอวี้เฉวียน อดีตฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ด้วยพิษไฟเนื่องจากบรรพบุรุษใช้ยาลูกกลอนในปีนั้น ตอนที่ชำระบัญชีกับอารามเต๋าเสวียนเหมิน วังอวี้เฉวียนก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน เขาเป็นลูกศิษย์น้อยของเจ้าอาวาสวังอวี้เฉวียน แต่เป็นเพราะเลี้ยงไม่เชื่องจึงถูกเจ้าอาวาสยึดเอกสารรับรองและไล่ออกจากอาราม ต่อมาได้กลายเป็นนักพรตพเนจร”
เซวียนอี่มีพรสวรรค์ฉลาดหลักแหลม แต่มีนิสัยขี้หงุดหงิดเนื่องจากความพิการทางร่างกาย ในช่วงที่เสวียนเหมินถูกชำระบัญชี เขาได้รวบรวมสมบัติบางส่วนที่สืบทอดต่อกันมาของวังอวี้เฉวียนได้ก่อนที่วังจะถูกทำลายลง ธงปีศาจกับตาข่ายเชียนจีนี้เป็นสมบัติอันล้ำค่าของวังอวี้เฉวียน นอกจากนี้ยังมียาลูกกลอนและกลยุทธ์สยบสัตว์ร้ายต่างๆ
มีข่าวลือว่าผู้ก่อตั้งวังอวี้เฉวียนได้รับการสืบทอดมาจากนิกายของพระแม่หนี่ว์วา เรียกตนว่าเป็นลูกหลานของสาวกพระแม่หนี่ว์วา และได้เลียนแบบเครื่องรางวิเศษของพระแม่หนี่ว์วาอย่างธงเรียกปีศาจ หล่อหลอมเครื่องรางธงปีศาจห้าสีนี้ออกมา ส่วนเป็นเรื่องจริงหรือไม่นั้น ก็ไม่สามารถย้อนกลับไปสืบต้นทางได้
แต่ไม่ว่าการสืบทอดของวังอวี้เฉวียนจะเป็นอย่างไร เป็นเรื่องจริงที่มันมีชื่อเสียงในการสังหารปีศาจกำจัดมาร เป็นเรื่องจริงที่มีกลยุทธ์ในการสยบสัตว์ร้าย และก็เป็นเรื่องจริงที่มีเครื่องรางวิเศษอย่างธงปีศาจกับตาข่ายเชียนจี
และตอนที่เฉวียนอี่เป็นนักพรตพเนจร เขาได้รับ ‘เทพสถิตย์’ เมื่อตระหนักได้ถึงเต๋า และสืบทอดวิชาหล่อหลอมปีศาจ
สิ่งที่เรียกว่าเทพนั้นก็คือซื่อหลัว
เมื่อเฟิงซิวฟังถึงตรงนี้ก็ขมวดคิ้วแน่น จนแทบจะบีบยุงตายได้อยู่แล้ว “หล่อหลอมปีศาจ เขาต้องการจะทำอะไร นี่มันเกี่ยวอะไรกับสิ่งที่เขากำลังวางแผนอยู่
“หากข้ารู้ก็ดีน่ะสิ” ฉินหลิวซีก็ขมวดคิ้วแน่นเช่นกัน ในใจมีความรู้สึกแปลกๆ ไม่สบายใจเล็กน้อย
เฟิงซิวเงียบไปพักใหญ่ กล่าวว่า “ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ยิ่งมีนักพรตมารปรากฏตัวก่อความวุ่นวายมากขึ้นเรื่อยๆ ทำเอาโลกมนุษย์โกลาหลไม่น้อย สิ่งนี้จะเกี่ยวข้องกับเขาหรือไม่ เขากลัวว่าใต้หล้าจะสงบสุข?”
กลัวว่าใต้หล้าจะสงบสุข คำนี้ใช้ได้ดี ก็คือรังเกียจที่ใต้หล้านี้ยังวุ่นวายไม่พอไม่ใช่หรือ
ใต้หล้าเกิดความวุ่นวาย โชคลาภของอาณาจักรก็จะถูกขโมยไปอย่างง่ายดาย
ฉินหลิวซีเป็นกังวลใจ
ใช่แล้ว แม้แต่โชคลาภตระกูลใหญ่อย่างตระกูลเซี่ยกับตระกูลอวี้เขาก็ล้วนต้องการ นับประสาอะไรกับโชคลาภของอาณาจักรที่สำคัญที่สุด
“คิดอะไรอยู่หรือ” เฟิงซิวเห็นว่านางลดสายตาลงไม่กล่าวอะไร ก็อดยื่นมือไปโบกข้างหน้านางไม่ได้
ฉินหลิวซีจึงได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่พึ่งไปแก้ไขที่ตระกูลเซี่ยมาและโชคลาภที่ถูกขโมยไปของตระกูลอวี้ให้เขาฟัง เอ่ย “เพียงแค่ตระกูลเซี่ย เขาก็ได้วางแผนมานับร้อยปี เห็นได้ชัดว่าเขาได้เตรียมที่จะหลบหนีออกจากมหาอเวจีนรกตั้งนานแล้ว”
เฟิงซิวประหลาดใจเล็กน้อย กล่าวว่า “เขาหนีออกมาได้ไม่เกินสิบปี หากเขาเริ่มวางแผนไว้ตั้งแต่ร้อยปีก่อน เช่นนั้นเขามีคนสมรู้ร่วมคิดในยมโลกงั้นหรือ”
ฉินหลิวซีสีหน้ามืดครึ้ม ก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ มิเช่นนั้นเขาจะหนีออกมาได้อย่างไร ได้แอบรู้ความลับของสวรรค์แล้ววางแผนไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ หรือ
“ตระกูลเซี่ย ตระกูลอวี้ เป็นเพียงแค่ตระกูลใหญ่ โชคลาภนี้เขาก็ได้เอาไปแล้ว เช่นนั้นโชคลาภของอาณาจักรย่อมไม่มีทางปล่อยไปแน่นอน หากใต้หล้าอยู่ในความโกลาหล…”
เฟิงซิวกล่าวว่า “ว่ากันว่าคนเราฉลาดราวกับปีศาจ ข้าคิดว่าเจ้านี่ก็เหมือนกัน ในตำนานบอกว่าเขาเคยเป็นพระพุทธเจ้ากลับชาติมาเกิด หากตำนานเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นในหัวของเขาเกรงว่าจะมีรอยหยักร้อยแปดพันเก้า”
ฉินหลิวซีรู้สึกหงุดหงิดใจ กล่าวว่า “เมื่อเผชิญกับความแข็งแกร่ง ไม่มีแผนการหรือกลอุบายใดๆ ที่สามารถหลบหนีได้ หากไม่อยากตายก็ต้องแข็งแกร่งขึ้น”
เฟิงซิวกล่าวพึมพำ หากเจ้าใจเย็นเช่นนี้ ก็คงไม่ขมวดคิ้วแน่นขนาดนี้หรอกกระมัง
แต่ที่นางกล่าวมาก็ถูก หากต้องการปกป้องตัวเอง ก็ต้องทำตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น
เฟิงซิวมองไปยังปราณปีศาจที่เซวียนอี่เก็บสะสม กล่าวว่า “ข้าอยากกลืนปราณปีศาจเหล่านี้กับวิญญาณปีศาจในแผนภาพร้อยปีศาจนี้ ท่านช่วยข้าเถิด”
วิญญาณปีศาจในแผนภาพร้อยปีศาจ ไม่เพียงแต่ถูกรวบรวมเอาไว้ในนั้นอย่างง่ายๆ แต่ถูกกักขังแล้วให้ฆ่ากันเอง ทำให้พลังปีศาจแข็งแกร่งขึ้น พลังความแค้นก็รุนแรง ดังนั้นพวกมันได้สูญเสียสติไปนานแล้ว เป็นปีศาจที่ดุร้ายอย่างยิ่ง
เฟิงซิวอยากจะเอาวิญญาณปีศาจกับปราณปีศาจเหล่านี้หล่อหลอมไว้ใช้เอง เขาไม่ได้คิดอะไรซับซ้อน เดิมทีปีศาจอยู่บนพื้นฐานของกฎแห่งการอยู่รอดของผู้อ่อนแอจะเป็นอาหารของผู้ที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว ไม่ได้พูดถึงความเมตตากรุณาและความยุติธรรม และยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าวิญญาณปีศาจเหล่านี้ล้วนถูกหล่อหลอมจนไร้สติสัมปชัญญะไปแล้ว เขาต้องการใช้ทุกสิ่งให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยไม่มีความผิดใดๆ
ฉินหลิวซีกล่าวว่า “วิญญาณปีศาจกับปราณปีศาจเหล่านี้มีความรุนแรงปะปนกัน หากเจ้าต้องการหล่อหลอมอย่างสมบูรณ์ ไม่กลัวว่าจะเกิดจิตมารร่างระเบิดหรือ”
“ดังนั้นข้าจึงอยากให้ท่านช่วยคุ้มกัน” เฟิงซิวกล่าวว่า “เมื่อครู่ท่านบอกเองว่าหากไม่อยากตายก็ต้องแข็งแกร่งขึ้น วันนี้ข้าถูกปราบปรามด้วยตาข่ายเชียนจีจนไม่สามารถต้านทานได้ วันหน้าข้าก็สามารถถูกกระบี่สังหารปีศาจฟันเป็นสองท่อนได้ กลายเป็นปราณวิญญาณที่ช่วยให้ผู้อื่นก้าวหน้า คงจะไม่สามารถเรียกให้ท่านมาช่วยได้ทุกครั้งหรอกกระมัง หากท่านติดขัดอยู่ล่ะ”
ฉินหลิวซียังคงลังเลเล็กน้อย ไม่ได้กลัวว่าเฟิงซิวจะแข็งแกร่งขึ้น แต่ในใจรู้สึกไม่สบายเล็กน้อย โดยเฉพาะหลังจากที่รู้ว่าซื่อหลัวได้สอนวิธีการหล่อหลอมปีศาจให้กับเซวียนอี่
ทุกสิ่งที่เขาทำ ก็เพื่อให้ใต้หล้าเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ ยังจะมีสิ่งอื่นใดอีก
“คิดอะไรอยู่หรือ” เฟิงซิวเคาะหน้าผากของนางเบาๆ
ฉินหลิวซีลูบหน้าผาก กล่าวอย่างหมดปัญญาว่า “หากไม่ใช่เพราะรู้ว่าเขาเคยได้รับคำแนะนำจากซื่อหลัว เจ้าต้องการหล่อหลอมปราณปีศาจเหล่านี้ ข้าก็จะไม่ว่าอะไรสักคำ แต่จิ้งจอกเฒ่า หากระหว่างดำเนินการเกิดสิ่งผิดพลาดขึ้นมา ข้ากลัวว่าจะเป็นการทำร้ายเจ้า!”
เฟิงซิวตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะดังลั่น กล่าวว่า “ท่านกลัวว่าข้าจะตายหรือ”
ฉินหลิวซีจ้องเขา ลองหัวเราะอีกครั้งสิ
เฟิงซิวยิ่งเหิมเกริมมากขึ้น ยื่นมือออกไปหยิกแก้มนาง กล่าวว่า “สิ่งที่คนเราได้เจอ ล้วนถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว คำพูดนี้ท่านน่าจะเข้าใจดียิ่งกว่าข้า เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว อาจจะเป็นโชคชะตากำหนดไว้ เช่นนี้พวกเรายังจะต้องกลัวอะไรอีก หากสวรรค์ไม่เข้าข้างพวกเรา เช่นนั้นพวกเราก็ต่อต้านมัน เหตุใดท่านจึงได้ถูกความเป็นตายของชีวิตบดบังจิตใจจนสูญเสียความเด็ดขาดไปได้ แม้ว่าจะเป็นวันที่ต้องสูญเสียชีวิตจริงๆ เช่นนั้นก็นับว่าได้ต่อสู้แล้ว แพ้เป็นโจรชนะเป็นราชา ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว ซีซีน้อย ท่านไม่สามารถตายโดยปราศจากความกลัวได้ และจิ้งจอกเฒ่าอย่างข้าก็ไม่มีวันตาย! ต่อสู้กับสวรรค์นั้นมีความสนุกไม่รู้จบ ท่านอย่าเอาแต่สนุกคนเดียว!”
ฉินหลิวซีจ้องมองเขาอย่างตั้งใจ “ต่อให้ต้องตาย เจ้าก็ไม่กลัวหรือ”
“ข้าไม่เสียใจเลยที่ได้มาท่องโลกมนุษย์”
ฉินหลิวซีสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กล่าวว่า “ตกลง เช่นนั้นพวกเรามาต่อสู้กับเขากันเถิด!”