คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1124 เขาทำลายโลก พวกเรากอบกู้โลก
ตอนที่ 1124 เขาทำลายโลก พวกเรากอบกู้โลก
………………..
ในหุบเขาไม่มีกาลเวลา ฉินหลิวซีไปช่วยเฟิงซิวในเดือนสาม เมื่อกลับมาในโลกมนุษย์อีกครั้ง ก็เป็นปลายเดือนห้าแล้ว แต่ดูเหมือนต้าเฟิงจะเข้าสู่ปีแห่งหายนะ
ประการแรกเมื่อปีที่แล้วเกิดพายุหิมะซึ่งส่งผลทำให้ไม่สามารถเก็บเกี่ยวได้ ไม่เพียงแต่ความล่าช้าในการละลายของแม่น้ำ อีกทั้งหิมะยังตกหนักต่อเนื่องทำให้ช่องทางชลประทานหลายแห่งใช้การไม่ได้และถูกปิดกั้น ซึ่งทำให้ทำการเกษตรได้ยากในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ไม่ง่ายเลยกว่าจะเพาะปลูกเตรียมเสบียงอาหาร ความแห้งแล้งก็เกิดขึ้นทางตอนเหนือ และหลังจากเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง ทางตอนใต้ก็มีฝนตกลงมาติดต่อกันหลายวัน ไร่นาและบ้านเรือนจำนวนมากถูกน้ำท่วม ราษฏรไม่มีที่อยู่อาศัย ไม่มีอาหารกิน ทุกข์ยากลำบาก
และก็ยังมีบางพื้นที่ หลังจากเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง พวกเขาก็ยังคงเก็บค่าภาษีต่างๆ ต่อไป ส่งผลให้ผู้คนต้องอยู่อย่างยากลำบาก และถูกโจรปล้นสะดม ซ้ำยังมีเหตุการณ์ที่ซิ่นหยางอ๋องก่อกบฏสถาปนาตัวเองเป็นฮ่องเต้ การกบฏไม่ได้ถูกปราบปราม ชนเผ่าอื่นตามชายแดนจึงมีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ทำสงครามขนาดย่อมอยู่เรื่อยๆ กล่าวได้ว่ามีปัญหาทั้งภายในและภายนอก ความวุ่นวายเริ่มต้นขึ้น
หลังจากเกิดภัยพิบัติธรรมชาติและมนุษย์สร้างขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ละพื้นที่ก็มีผู้ปกครองที่ขาดคุณธรรม ฮ่องเต้ลงโทษตัวเองเพื่อขอความสงบสุขกลับคืนมา ในเวลาเดียวกันนิกายทางความเชื่อจำนวนมากได้ปรากฏตัวขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้คนที่อยู่ในความทุกข์ยาก เช่นการฝึกฝนทางจิตวิญญาณ หรือลัทธิสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เหล่านั้น ยิ่งทำให้ราษฎรเกิดความโง่เขลา บางคนถึงกับเชื่อเรื่องไร้สาระของผู้เผยแพร่ลัทธิ ทอดทิ้งบุตรของตัวเองหรือไม่ก็กลั้นใจจมน้ำตาย
“ได้ยินมาว่าในขณะที่ฮ่องเต้กำลังแสวงหาวิธีหล่อหลอมยาเพื่อความเป็นอมตะ ขุนนางเหล่านั้นก็พยายามอย่างหนักเพื่อขโมยความมั่งคั่งและขูดเลือดขูดเนื้อราษฎรอย่างพวกเรา ข้าเดาว่าวันนั้นจะต้องมาถึง เป็นไปตามคาด สิ่งเลวร้ายเหล่านี้ถาโถมเข้ามาไม่หยุด”
“นั่นน่ะสิ เป็นเวลาสามสิบปีแล้วนับตั้งแต่ที่เด็กหนุ่มคนนั้นขึ้นครองบัลลังก์ ก่อนหน้านี้ยังดีๆ อยู่ เรียกได้ว่าเป็นผู้ปรีชาสามารถ ส่วนตอนนี้…ดันมาผิดศีลธรรมเอาตอนแก่”
“เจ้าบ้าไปแล้ว! กลางวันแสกๆ ยังไม่ทันดื่มเจ้าก็เมาแล้ว พูดจาอะไรไร้สาระ ไปได้แล้ว”
ทั้งสองคนที่กำลังคุยกันดึงกันออกไปจากร้าน แล้วรีบเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ราวกับว่ามีวิญญาณร้ายไล่ตามอยู่ข้างหลัง
ฉินหลิวซีกับเฟิงซิวมองหน้ากัน สีหน้านิ่งขรึมเล็กน้อย
เฟิงซิวกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าจะหาสถานที่กักตัวฝึกบำเพ็ญเพื่อให้ร่างกายนี้มั่นคงไม่ได้แล้ว”
ฉินหลิวซีกล่าวว่า “ตอนที่พายุหิมะเริ่มต้นเมื่อปีที่แล้ว ก็รู้อยู่แล้วว่าสถานการณ์ในปีนี้จะไม่ดี แต่คิดไม่ถึงว่าจะเลวร้ายกว่าที่คิดไว้”
ฉินหลิวซีกล่าวว่า “พวกเขาพูดถูก ชื่อเสียงฮ่องเต้ผู้ปราดเปรื่องอาจจะสูญหายไปในวัยชราของเขา”
ครองราชย์มาหลายปีก็มีแต่ความสงบสุข ใกล้จะถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นฮ่องเต้ผู้ปราดเปรื่อง แต่เมื่อตำแหน่งกำลังจะสิ้นสุดลง จึงได้มีชื่อเสียงว่าเป็นฮ่องเต้ขาดคุณธรรมเช่นนี้ หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปจนกระทั่งสละราชบัลลังก์สิ้นพระชนม์ไป แล้วความรู้สึกของราษฎรที่มีต่อเขาก็ยังคงเป็นเช่นนี้ เขาคงจะต้องแบกรับจุดด่างพร้อยใหญ่หลวงของกษัตริย์ผู้โง่เขลา
“บ้านเมืองโกลาหลเช่นนี้ เกรงว่าโชคลาภของอาณาจักรจะค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ…” เฟิ่งซิวมองนาง นึกถึงโชคลาภของตระกูลเซี่ยกับตระกูลอวี้
ฉินหลิวซีกินซาลาเปาซิ้นสุดท้าย ดื่มน้ำเต้าหูแล้วกล่าวว่า “เขาทำลายโลก พวกเรากอบกู้โลก”
เฟิงซิวยิ้ม ใช่แล้ว อย่างไรเสียก็ต้องต่อต้านเขา!
“ผ่านไปอีกสักพัก ข้าจะไปสำรวจค่ายม่านอาคมที่ทะเลสาบของเฮยซาแห่งนั้น ก่อนที่จะถึงเวลานั้น เจ้ากับข้ามาปราบปรามลัทธิมารเหล่านั้นก่อน เจ้าไปทางเหนือ ข้าไปทางใต้” ฉินหลิวซีกล่าวว่า “ทางใต้มีน้ำท่วม อากาศก็เริ่มร้อนขึ้น แม้ว่าน้ำจะลดลงแต่คาดว่าจะมีโรคระบาดเกิดขึ้น วัตถุดิบยาที่ร้านยาตำหนักอายุวัฒนะสะสมไว้ ข้าต้องการใช้”
“ก็ใช้ไปสิ อย่างไรเสียก็ถูกเก็บไว้ในถ้ำแห่งนั้นอยู่แล้ว”
ฉินหลิวซีพยักหน้า กล่าวว่า “การฝึกฝนในโลกมนุษย์ก็เป็นการฝึกฝนเช่นกัน มีอะไรก็ส่งจดหมายมา”
ทั้งสองคนจ่ายค่าอาหาร หาสถานที่ที่ไม่มีคน แล้วหายตัวไปในอากาศ
สหายร่วมทางไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา เพียงแค่เดินไปในเป้าหมายเดียวกันก็พอแล้ว
…
ฉินหลิวซีกลับมาที่อารามชิงผิงก่อน เป็นอย่างที่นางคิดไว้ เนื่องจากเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติและภัยที่มนุษย์สร้างขึ้นไม่หยุด ทำให้มีผู้ลี้ภัยและขอทานที่เชิงเขาอารามชิงผิงมากกว่าเมื่อก่อน
นางกลับมาถึงในอาราม มีผู้ศรัทธาเพียงไม่กี่คนมาจุดธูปบูชา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ที่มาเติมน้ำมันตะเกียง แม้ว่าจะมีผู้ศรัทธาไม่มากนัก แต่กลับมีสหายเต๋าที่หน้าตาไม่คุ้นเคยเพิ่มขึ้นมาอีกสองสามคน
“ท่านเจ้าอาวาสกลับมาแล้ว” เมื่อซานหยวนเห็นนาง ดวงตาพลันเป็นประกาย รีบพาศิษย์สองสามคนมาหา
ผู้ที่ดูแปลกหน้าเหล่านั้นมีอายุตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้ใหญ่ แม้ว่าพวกเขาจะรู้นานแล้วว่าเจ้าอาวาสอารามชิงผิงเป็นนักพรตหญิงเพียงคนเดียวในอารามแห่งนี้ มีวิชาอาคมที่แก่กล้า แต่เมื่อเห็นว่าฉินหลิวซีเด็กขนาดนี้ก็ยังคงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
นางแข็งแกร่งมาก!
บรรดานักพรตเต๋าไม่กล้าล่วงเกิน ก้มโค้งเล็กน้อยตามสัญชาตญาณ ยกมือทั้งสองข้างขึ้นคำนับนาง “ท่านเจ้าอาวาสมีเมตตา”
ฉินหลิวซีคำนับกลับ กล่าวว่า “สหายเต๋าทั้งหลายมีเมตตา”
ซานหยวนกล่าวแนะนำว่า “นี่คือนักพรตหลิน นักพรตจาง แล้วก็ยังมีนักพรตเหอ ล้วนเป็นสหายเต๋าที่มาประจำอารามของพวกเราเมื่อไม่กี่วันก่อน”
ฉินหลิวซีกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “อารามชิงผิงนั้นเรียบง่าย ขายหน้าสหายเต๋าทั้งสามท่านแล้ว”
ทั้งสามคนไม่บังอาจ นักพรตหลินซึ่งอายุมากที่สุดได้กล่าวว่า “พวกเราล้วนเป็นนักพรตพเนจร ส่วนใหญ่จะฝึกบำเพ็ญอยู่ในเขาลึก เพียงแต่ได้รู้ถึงความลับของสวรรค์ เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติทำให้วุ่นวาย จึงได้ลงจากภูเขาเข้าสู่ทางโลกเผยแพร่เต๋า ใช้เต๋าทำความดี”
“สหายเต๋ามีเมตตายิ่งนัก” ฉินหลิวซีโค้งคำนับอีกครั้ง
นักพรตจางซึ่งมีใบหน้ากลมกล่าวว่า “อารามชิงผิงเป็นอารามที่งดงาม ได้รับความศรัทธาและมีเมตตามากที่สุดที่พวกเราได้พบเห็นมาตลอดทาง อารามเต๋าอื่นๆ ก็ได้มีการบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัย แต่ควันธูปก็ยังไม่เจริญรุ่งเรือง มีใจแต่ไม่มีกำลัง”
ฉินหลิวซีกล่าวว่า “ทำตามหัวใจ พยายามทำให้ดีที่สุดนั้นคือความเมตตาอันยิ่งใหญ่”
“จริงที่สุดๆ”
ฉินหลิวซีคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ช่วงนี้ข้ากักตัวฝึกบำเพ็ญมาหลายเดือน เมื่อออกมาก็ได้ยินว่ามีลัทธิมากมายเกิดขึ้นในต้าเฟิง ไม่ทราบว่าสหายเต๋าทั้งสามท่านที่เดินทางมาจะเคยได้ยินบ้างหรือไม่”
“ย่อมได้ยินมาบ้าง ทางเหนือมีลัทธิฝึกฝนจิตวิญญาณ ทางใต้มีนิกายสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ เอาความศักดิ์สิทธิ์แห่งสวรรค์มาสอน หากเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของสวรรค์ ตราบใดที่ดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ลงไป โรคภัยไข้เจ็บจะไม่เบียดเบียน ได้รับการคุ้มครองจากสวรรค์ ไม่เจ็บไม่ป่วย ด้วยเหตุนี้จึงได้มีผู้ศรัทธาเพิ่มขึ้นนับพันคน” นักพรตหลินกล่าวด้วยความโกรธว่า “จากที่ข้าดูแล้ว ก็เป็นแค่พวกอธรรมอย่างลัทธิมาร พระปลอมเหล่านั้นกำลังฉวยโอกาสที่อาณาจักรยากลำบาก ฉวยโอกาสทำเงิน”
“โอ้? อาศัยโอกาสที่อาณาจักรกำลังลำบากมาทำเงินนั้นหมายความว่าอย่างไร”
นักพรตจางสบถออย่างเย็นชาพลางกล่าวว่า “ก็แค่หลอกลวงราษฎร มีเงินก็เอาเงิน ไม่มีเงินก็เอาสิ่งของ ที่แย่กว่านั้นคือบางคนทอดทิ้งบุตร ราวกับคนบ้า”
ฉินหลิวซีขมวดคิ้ว
นักพรตเหอที่เงียบมาตลอดตอนนี้ได้เอ่ยปากกล่าวขึ้นมาว่า “น้ำศักดิ์สิทธิ์นั้น คงจะเคี่ยวด้วยงากับดอกลำโพง เมื่อดื่มมากเข้าก็จะทำให้เป็นประสาทหลอนและเสพติด”
ฉินหลิวซีหันมามอง นักพรตน้อยผู้นี้อายุประมาณยี่สิบกว่าปี รูปร่างหน้าตาละเอียดอ่อนสง่างามเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นนางมองมาก็ยิ้มอย่างเขินอาย ราวกับทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย
“เจ้ารู้วิชาแพทย์?”
นักพรตเหอพยักหน้า “ศาสตร์ทั้งห้าของลัทธิเต๋า ข้าเชี่ยวชาญในวิชาแพทย์และการดูโหงวเฮ้ง”
ฉินหลิวซีเหลือบมองเขา กล่าวว่า “เจ้าเก่งไม่เบาเลย”
นักพรตเหอตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
จากนั้นฉินหลิวซีก็มองไปยังนักพรตหลิน ถามว่า “สำนักใหญ่ของนิกายสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ใด”
“อยู่ที่หนิงโจว ได้ยินมาว่าแท่นพิธีศักดิ์สิทธิ์ได้รับการบริจาคและสร้างโดยพระสนมหรูเฟยซึ่งเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้” นักพรตจางมองนาง “ว่าแต่เจ้าอาวาสถามเรื่องนี้ทำไมหรือ”
ฉินหลิวซีเม้มริมฝีปาก “ก็เพื่อปล้นคนรวยมาให้คนจนอย่างไรล่ะ!”
ทุกคน “?”
เดี๋ยวนะ เจ้าอาวาสอารามชิงผิงตรงไปตรงมาขนาดนี้เชียวหรือ