คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1126 อารามเต๋าเกิดเรื่องใหญ่แล้ว
ตอนที่ 1126 อารามเต๋าเกิดเรื่องใหญ่แล้ว
………………..
อารามชิงผิงได้เปิดประตูต้อนรับผู้ศรัทธาอีกครั้งมาเป็นเวลาสิบกว่าปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เตรียมการเช่นนี้ ที่ประตูถูกปิดไม่ใช่เพราะการมาถึงของผู้สูงศักดิ์ แต่เป็นเพราะโรคระบาด
แต่ตอนนี้ผู้ศรัทธาที่มาพักในอารามเต๋าไม่ได้มีเพียงแต่สองแม่ลูกแซ่หลี่เท่านั้น ยังมีคนอื่นอีก ซ้ำยังมีสมาชิกตระกูลขุนนาง เมื่อเห็นว่าอารามชิงผิงปิดประตูเขา ก็ทยอยส่งคนมาสืบถามข่าว แม้ว่าชิงหย่วนจะไม่กล้าบอกคนนอก แต่การกระทำเช่นนี้ ใครบ้างจะไม่สามารถเดาออกได้ พากันตื่นตระหนกในทันที โวยวายจะไปจากอารามชิงผิง
ชิงหย่วนรู้สึกหนังศีรษะชา
ใครจะกล้าปล่อยให้คนเหล่านี้ออกไป สองแม่ลูกคู่นี้มาถึงเมื่อสองวันที่แล้ว แม้ว่าจะไม่ได้เดินเตร็ดเตร่ไปทั่ว แต่ก็ใช่ว่าไม่ได้ออกไปไหนเลย โดยเฉพาะสตรีผู้นั้น นางได้ไปกราบไหว้ที่วิหารใหญ่ ซ้ำยังเคยได้พูดคุยกับนักพรตและผู้ศรัทธาในอารามหลายคน จะแน่ใจได้อย่างไรว่าไม่ได้แพร่กระจายโรค เมื่อแพร่กระจายออกไป คนเหล่านี้ไปทุกที่ เมืองหลีจะตกอยู่ในอันตราย กระทั่งแพร่กระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลานั้นใครจะเป็นบาปมากที่สุดก็ยากที่จะบอกได้
ฉินหลิวซีวินิจฉัยโรคให้แม่นางหลี่ผู้นั้น ชิงหย่วนได้สั่งให้คนไปเอาหญ้าไอ้เฉ่าไปจุดรมควันให้ทั่วอารามเต๋า แล้วใช้น้ำส้มสายชูราด พลางพานักพรตเต๋าในอารามไปหยุดผู้คนและกล่าวเกลี่ยกล่อม จนแทบจะคอแห้งเป็นผงอยู่แล้ว
ทุกคนล้วนเข้าใจดีว่าหากจัดการได้ไม่ดี อารามชิงผิงอาจจะกลับสู่สถานการณ์ย่ำแย่ที่เกิดขึ้นเมื่อสิบกว่าปีก่อน กระทั่งแย่กว่านั้น ไม่แน่อาจจะถูกขุนนางเผาทำลาย ดังนั้นไม่ว่าใครก็ไม่กล้าละเลย
ที่ประตูภูเขา ชิงหย่วนได้ส่งคนไปเฝ้าไว้ แต่กำลังคนในอารามนั้นมีจำกัด ไม่สามารถป้องกันได้ทุกทาง เกือบจะทำให้คนหนีออกไปได้
ฉินหลิวซีกลับมาพร้อมกับหิ้วคนที่แต่งตัวเป็นบ่าวรับใช้ ทำเอาชิงหย่วนตกใจจนเหงื่อเย็นไหลลงหลัง
“ให้ทุกคนแยกย้ายกันกลับไปเถิด ไม่จำเป็นต้องเฝ้าประตูเขาแล้ว ข้าได้วางค่ายอาคมเขาวงกตแล้ว พวกเขาออกไปไม่ได้ ทุกคนแยกย้ายกันไปทำอย่างอื่นเถิด”
ทุกคน “…”
นักพรตหลินและคนอื่นๆ มองไปที่เรือนรับแขกตามสัญชาตญาณ จากนั้นก็มองไปยังบ่าวรับใช้ที่อยู่บนพื้น แล้วมองไปยังฉินหลิวซี สายตาทั้งชื่นชมและประหลาดใจ
ทั้งๆ ที่นางตรวจอาการคนป่วยอยู่ข้างใน แต่กลับยังรู้ว่ามีคนต้องการจะหนีออกจากประตูภูเขา ซ้ำยังวางค่ายอาคมอย่างมั่นใจ เป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับข้าจริงๆ
ดวงตาของนักพรตเหอเป็นประกาย ก้าวไปข้างหน้า กล่าวว่า “เจ้าอาวาส ข้าน้อยรู้วิชาแพทย์ ยินดีที่จะทำเท่าที่ทำได้”
ฉินหลิวซีมองมา กล่าวว่า “เช่นนั้นก็ดี เจ้าตามซานหยวนไปจัดเตรียมวัตถุดิบยาเหล่านี้ เคี่ยวยาต้มก่อน ให้ทุกคนในอารามดื่มคนละชามเพื่อป้องกันไว้”
นางยื่นใบสั่งยาให้ นักพรตเหอรับมา กวาดสายตามอง ดวงตาเป็นประกาย กล่าวว่า “ข้าจะไม่ผิดต่อความไว้วางใจของเจ้าอาวาสอย่างแน่นอน”
ซานหยวนพาเขาจากไป
ฉินหลิวซีได้ยื่นใบสั่งยาอีกแผ่นให้ชิงหย่วน “ยาของแม่ลูกคู่นั้น เอาไปต้มแล้วลองให้พวกนางดื่มดู”
ชิงหย่วนพยักหน้า
นักพรตหลินกล่าวว่า “ไม่ทราบว่าพวกเราพอจะทำอะไรได้บ้าง”
ฉินหลิวซีกล่าวว่า “ตามที่สะใภ้หลี่ผู้นั้นกล่าว โรคระบาดหนูได้ปะทุขึ้นที่หลี่เจียถุนในมณฑลอันหนาน นอกจากพวกนางที่หนีออกมา ก็ไม่รู้ว่ายังมีผู้อื่นหนีออกมาอีกหรือไม่ และตลอดทางที่สองแม่ลูกเดินทางมาก็ไม่รู้ว่าได้ติดต่อกับใครบ้าง หากมีคนติดโรคระบาดก็จะต้องมีหลี่เจียถุนสองกับหลี่เจียถุนสามปรากฏขึ้น”
ทุกคนต่างมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
พวกเขาทุกคนรู้ดีว่าโรคระบาดนั้นน่ากลัวเพียงใด มีครั้งไหนบ้างที่ค้นพบโรคระบาดแล้วไม่ได้จับรวมกลุ่มกัน รักษาได้ก็รักษา หากรักษาไม่ได้ก็ฆ่าแล้วเผา เมื่อถึงเวลานั้นไม่ว่าจะป่วยหรือไม่ ก็จะต้องกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนในสถานการณ์โรคระบาด
“ขอสวรรค์จงประทานพรไม่มีที่สิ้นสุด” นักพรตหลินท่องพระสูตรอย่างเงียบๆ กล่าวว่า “ปีนี้โลกช่างยากลำบากจริงๆ”
“ดังนั้นสถานการณ์จึงร้ายแรง เพียงเพราะผู้ป่วยสองคน อารามชิงผิงของพวกเราก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร หากสหายเต๋าทั้งสองรู้สึกว่าไม่สะดวก ก็สามารถ…”
นักพรตจางรีบกล่าวทันที “ท่านเจ้าอาวาสไม่จำเป็นต้องมากความ ในเมื่อข้าประจำอยู่ที่อารามแห่งนี้ และได้ลงมาจากภูเขาเพื่อช่วยเหลือผู้คน ย่อมไม่มีทางจากไปเพราะประสบความยากลำบาก ท่านกำชับมาได้เลย”
“ที่สหายเต๋าจางกล่าวนั้นไม่ผิด ก็แค่โรคระบาดเท่านั้น” นักพรตหลินยิ้มอย่างร่าเริง “ผู้ที่ฝึกบำเพ็ญเต๋า อยู่ที่ไหนก็ฝึกได้เหมือนกันไม่ใช่หรือ วิถีแห่งโลกมนุษย์ก็เป็นวิถีเต๋าเช่นกัน”
ฉินหลิวซีได้ฟังดังนั้นก็โค้งคำนับทั้งสองคน “เป็นข้าที่ดูถูกพวกท่านแล้ว”
“ตอนนี้ในอารามมีคนไข้สองราย เรือนรับแขกแห่งนี้ข้าได้วางค่ายอาคมแยกออกจากภายนอกแล้ว แต่โรคระบาดหนูเป็นโรคที่กระจายได้รวดเร็วและยุ่งยากมากที่สุด ก็ไม่รู้ว่าผู้ศรัทธาคนอื่นๆ ได้ติดโรคระบาดไปแล้วหรือไม่ จำเป็นต้องจับชีพจรดูอาการ ไม่ทราบว่าพวกท่านจับชีพจรเป็นหรือไม่”
“วิชาแพทย์ แม้ว่าจะไม่ได้เชี่ยวชาญ แต่ก็พอเข้าใจอยู่บ้าง”
“ตกลง พวกเรามาคัดกรองตรวจสอบทีละคนก่อน” ฉินหลิวซีเหลือบมอง ชี้ไปที่อู๋เหวย กล่าวกำชับว่า “ไม่จำเป็นต้องเฝ้าประตูภูเขา แต่ก็ต้องระมัดระวังสถานการณ์ที่เชิงเขา หวังว่าจะไม่เป็นอย่างที่พวกเราคิดไว้”
อู๋เหวยพยักหน้า “แล้วการกุศลในอารามล่ะ”
“คงต้องหยุดก่อนชั่วคราวแล้ว”
มีคนเร่งฝีเท้ามา เป็นสาวใช้ร่างกายกำยำ เมื่อเห็นบ่าวรับใช้บนพื้นก็สีหน้าเปลี่ยนไป กล่าวว่า “พวกเราเป็นคนของผู้ว่าการเจิ้ง ตอนนี้ในอารามของพวกท่านมีผู้ป่วยโรคระบาด ยังกล้ากักขังฮูหยินผู้เฒ่ากับคุณหนูของพวกเรา ซ้ำยังไม่อนุญาตให้พวกเราส่งคนนำจดหมายไปส่ง หากฮูหยินผู้เฒ่าของพวกเราเป็นอะไรขึ้นมา พวกเจ้าจะรับผิดชอบไหวหรือ”
“ก็เป็นเพราะในอารามมีผู้ศรัทธาติดโรคระบาด ก็ไม่รู้ว่ามีใครเคยสัมผัสกับพวกนางบ้าง จึงไม่กล้าให้ผู้อื่นออกจากที่นี่ หากติดเชื้อขึ้นมา เพียงแต่ยังไม่แสดงอาการ เมื่อออกไปแสดงอาการข้างนอก แพร่ระบาดไปยังผู้คนมากมาย เช่นนั้นจะไม่เป็นคนบาปหรือ” ฉินหลิวซีมองนาง เอ่ยเสียงเรียบว่า “หากนางติดโรคระบาดแล้ว กลับไปแพร่กระจายให้คนในจวนของพวกเจ้า แล้วจะทำอย่างไร”
สาวใช้ใบหน้าซีด เม้มริมฝีปากแล้วด่าอีกครั้งว่า “ล้วนเป็นความผิดของพวกเจ้า ปล่อยให้ใครก็ไม่รู้เข้ามาพักค้างคืนในอาราม แล้วก็ไม่เคยตรวจสอบอย่างเข้มงวดว่าพวกนางได้เอาโรคระบาดมาด้วยหรือไม่ ตอนนี้ก็มาทำให้ผู้ศรัทธาบริสุทธิ์อย่างพวกเราต้องเดือดร้อนไปด้วย ความผิดนี้ ใต้เท้าของพวกเราจะต้องสอบสวนพวกเจ้าในภายหลังอย่างแน่นอน”
ฉินหลิวซีสีหน้าเย็นชายิ่งกว่านาง กล่าวว่า “อารามเต๋าไม่ใช่พื้นที่ส่วนตัวของใคร และยิ่งไม่ใช่พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของขุนนางผู้สูงศักดิ์คนใดคนหนึ่ง ไม่อนุญาตให้ราษฎรทั่วไปเข้าออก ตราบใดที่ไม่ได้มาก่อความวุ่นวาย ก็ล้วนมาสักการะบูชาได้ อีกอย่าง แม้ว่าจะเป็นนักพรต ก็ใช่ว่าทุกคนจะมีดวงตาที่เฉียบคม สามารถมองออกได้ในพริบตาเดียวว่าผู้ที่มาป่วยหรือไม่ เช่นเดียวกันกับเจ้า นักพรตในอารามชิงผิงมีใครบ้างที่มองออกว่าเจ้าเป็นโรคพิษเหมย”
นางเหลือบมองข้อมือของสาวใช้คนนั้นอย่างมีนัยยะ และท่าทางที่ไม่เป็นตัวของตัวเองของนาง
อะไรกัน พิษเหมย?
นักพรตจางรูม่านตาสั่นสะท้าน มองไปยังสาวใช้ผู้นั้น แล้วมองฉินหลิวซี นี่มัน น่ากลัวเกินไปแล้ว!
“โรคอะไร”
“โรคที่พบได้บ่อยในสถานที่อย่างหอคณิกาเหล่านั้น”
นักพรตหลินตกตะลึง ตาโตพลางร้องอุทานขึ้นมา “เจ้าหมายถึงกามโรคหรือ”
นักพรตจางปิดปากเขาไว้ ถอยหลังสองก้าว สวรรค์ สหายเต๋าหลินพูดตรงเกินไปแล้ว
บ่าวรับใช้ตกใจ มองไปยังสาวใช้ผู้นั้นด้วยสายตาหวาดกลัว และสีหน้าของสาวใช้ผู้นั้นก็เปลี่ยนไปอย่างมาก กรีดร้อง “เจ้า เจ้ากล่าวเหลวไหล!”
“ข้ากล่าวเหลวไหลหรือไม่ ในใจเจ้ารู้ดี ร่างกายของเจ้าเป็นอย่างไร ไม่มีใครรู้ดีไปยิ่งกว่าตัวเจ้าเอง และช่างบังเอิญ ดวงตาของข้าเป็นดวงตาทิพย์!” ฉินหลิวซีกล่าวว่า “เจ้าไม่ได้เพียงแต่มีโรคซ่อนเร้น ซ้ำยังมีบุตรชายสามบุตรสาวหนึ่ง อ้อ ไม่ได้เป็นของเจ้าทั้งหมด แต่ในฐานะที่เป็นภรรยาคนแรก บุตรของบุรุษของเจ้าก็เป็นของเจ้าเช่นกัน ข้าไม่นับว่าพูดผิด!”
สาวใช้ร้องอุทานพลางถอยหลัง
ฉินหลิวซีมองไปยังบ่าวรับใช้ที่อยู่บนพื้น ฉีกยิ้ม ทั้งๆ ที่ริมฝีปากไม่ได้ขยับ แต่เสียงของนางทะลุเข้าไปในหูของเขา
ขอให้เจ้าโชคดี!
บ่าวรับใช้สีหน้าซีด ร่างกายเริ่มสั่นเทา
“เจ้าพูดจริงหรือ” มีเด็กสาวอายุสิบกว่าปีพยุงหญิงชรายืนอยู่ที่เรือนอีกด้านหนึ่ง สีหน้าซีดเผือด
ฉินหลิวซีกล่าวว่า “ข้าไม่ชอบกล่าวความเท็จ สตรีขาวบริสุทธิ์อย่างเจ้าเปลี่ยนคนปรนนิบัติจะดีกว่า”
สาวใช้ผู้นั้นไม่เพียงแต่มีโรคซ่อนเร้น ซ้ำยังมีโหงวเฮ้งเป็นคนร้าย ไม่ใช่คนดีอะไร
สาวใช้รีบวิ่งไปคุกเข่าลงบนพื้น “ฮูหยินผู้เฒ่า คุณหนู บ่าวเปล่านะเจ้าคะ นางใส่ร้ายบ่าว”
นายหญิงเจิ้งผู้เฒ่าหันไปหาแม่นมที่อยู่ข้างๆ ส่งสายตา ตะโกนว่า “เอาตัวไป”
สาวใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายรีบเอาตัวคนไปตรวจสอบ
นายหญิงเจิ้งผู้เฒ่าไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า เพียงแต่เอ่ยถามว่า “ไม่ทราบว่าพวกเราจะต้องถูกกักขังอยู่ในอารามเต๋านานเท่าไหร่”
ฉินหลิวซีกล่าวว่า “ขอให้ท่านผู้เฒ่าอย่าได้เป็นกังวลไป พวกเราจะจับชีพจรให้พวกท่าน หากแน่ใจแล้วว่าไม่เป็นอะไร ย่อมสามารถไปจากที่นี่ได้ แต่ก่อนถึงเวลานั้น อารามเต๋าของพวกเราก็ได้เคี่ยวยาต้มให้พวกท่านได้ดื่ม หากไม่ได้ป่วยก็จะช่วยเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง ส่วนคนไข้ในเรือนรับแขกแห่งนี้ ข้าได้วางค่ายอาคมไว้แล้ว พวกนางไม่สามารถออกไปไหนได้ โรคระบาดก็ไม่แพร่กระจายออกมาเช่นกัน ท่านวางใจได้ อีกอย่างที่ประตูภูเขาก็ได้วางค่ายอาคมไว้แล้ว พวกท่านก็ไม่จำเป็นต้องแอบส่งคนออกไป เนื่องจากอย่างไรก็ไม่สามารถออกไปได้”
นายหญิงเจิ้งผู้เฒ่าสีหน้าสดใสขึ้นมาเล็กน้อย
คุณหนูเจิ้งผู้นั้นมองนางอย่างพิจารณาพลางถามว่า “พวกท่านจะปล่อยพวกเราออกไปจริงๆ หรือ”
“พวกเราไม่ใช่คนของทางการ ย่อมไม่มีอำนาจไปกักขังพวกท่านไว้ได้ ตอนนี้การป้องกันอย่างเข้มงวด ก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ อย่างไรเสียก็มีโรคระบาดปะทุขึ้นที่หลี่เจียถุนที่แล้ว พวกท่านเป็นสมาชิกตระกูลขุนนาง ควรจะรู้ดีว่าหากจัดการโรคระบาดหนูนี้ได้ไม่ดี เมื่อถูกเปิดเผย จะมีการเปลี่ยนแปลงมากน้อยเพียงใดในกลุ่มขุนนางในหนิงโจวนี้ หากพวกท่านก็ติดโรคระบาดนี้ไปด้วย แล้วออกไปแพร่กระจายสู่คนภายนอก เช่นนั้นหมวกสีดำบนศีรษะของบิดาก็จะ…”
ในที่สุดสีหน้าของคนตระกูลเจิ้งก็เปลี่ยนไป
หากโรคระบาดหนูปะทุขึ้นในเมืองหลี ผลที่ตามมานั้นไม่อาจจินตนาการได้ ขุนนางที่อยู่ที่นี่ก็จะต้องได้รับความลำบากด้วยเช่นกัน
“ได้ยินมาตลอดว่าเจ้าอาวาสอารามชิงผิงเป็นทั้งนักพรตและแพทย์ที่มีวิชาสูงส่ง หวังว่าเจ้าอาวาสจะสามารถพัฒนายาวิเศษได้ ช่วยเหลือราษฎรที่ได้รับโรคระบาดนี้” นายหญิงเจิ้งผู้เฒ่าคำนับนาง กล่าวกับคนข้างกายว่า “พวกเรากลับกันเถอะ”
พวกนางหันหลังกลับไปที่เรือนรับแขก ปิดประตู
นักพรตจางถอนหายใจด้วยความโล่งอกพลางกล่าวว่า “นับว่าเป็นคนที่มีเหตุผล”
ฉินหลิวซีกล่าวว่า “เพราะมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ของตัวเอง จึงจำเป็นต้องอดทนก็เท่านั้น ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว รบกวนสหายเต๋าทั้งสองท่านไปที่วิหารด้านหลังก่อน จับชีพจรให้กับลูกศิษย์ในอารามและแขกที่ช่วยเหลือทำงานในครัว”
นักพรตทั้งสองยกมือขึ้นคำนับแล้วจากไป
ฉินหลิวซีคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหลังแล้วกลับไปที่เรือนรับแขกของสตรีผู้นั้น เอาเข็มเงินออกจากบนตัวของแม่นางหลี่ จากนั้นก็จับชีพจรนาง แล้ววางแขนลง
แม่นางผู้นี้นอกจากจะเป็นโรคระบาดหนูแล้ว นางยังมีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด และยังเคยได้แท้งบุตรหนึ่งครั้งแต่ไม่ได้รับการรักษาให้ดี เดิมทีร่างกายก็อ่อนแออยู่แล้ว ยุ่งยากเป็นอย่างมาก
“เจ้ารู้หรือไม่ว่านางเคยแท้งบุตร” ฉินหลิวซีมองไปยังสะใภ้หลี่
สะใภ้หลี่ตัวสั่น หลบสายตา กล่าวว่า “นางถูกรังแก”
ฉินหลิวซีมองดูใบหน้าของหญิงสาว แฝงไว้ด้วยพลังแห่งความตายจางๆ จึงกล่าวว่า “นางไม่เพียงแต่ติดโรคระบาดหนู ซ้ำยังมีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด ร่างกายอ่อนแอ อาจจะไม่สามารถรอดไปได้ หากนางไม่สามารถรอดไปได้ เมื่อถึงเวลานั้นก็จะต้องเผา”
“ท่านคงจะไม่ทิ้งพวกเราไปหรอกกระมัง” สะใภ้หลี่ถามด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยจากด้านหลังนาง “ที่นี่เป็นอารามเต๋า เทพเจ้าอยู่เบื้องบน ท่านคงไม่ไล่พวกเราออกไปรอความตายหรอกกระมัง”
ฉินหลิวซีหันกลับมา “เพราะเหตุนี้เจ้าจึงได้พานางมาหลบอยู่ที่นี่งั้นหรือ เนื่องจากว่าอารามเต๋าละจากทางโลก ไม่มีทางที่จะไม่ช่วยเหลือผู้ที่กำลังจะตาย?”
สะใภ้หลี่ไม่กล่าวอะไร ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
“พวกเจ้าได้ติดโรคแล้ว ข้าไม่มีทางไล่พวกเจ้าออกไป เพราะกลัวว่าพวกเจ้าจะไปแพร่ระบาดให้กับคนมากมาย แล้วก็จะพยายามรักษา แต่หากช่วยพวกเจ้าไม่ได้จริงๆ ข้าก็จะเผาทิ้ง นี่เป็นวิธีเดียวที่จะหยุดการแพร่กระจายของโรคสู่คนได้ ดังนั้น ชะตาชีวิตพวกเจ้าจะเป็นอย่างไร ทำให้เต็มที่ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับโชคชะตา”
สะใภ้หลี่ทรุดตัวลงกับพื้น ประโยคสุดท้ายดังก้องอยู่ในหู เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง คนได้จากไปแล้ว
ฉินหลิวซีไปจากเรือรนี้ ทำการร่ายคาถาชำระสิ่งสกปรกบนร่างกายทันที ทำให้บนตัวสะอาดสะอ้าน เมื่อเห็นว่านักพรตหลินและคนอื่นๆ กำลังช่วยจับชีพจรให้คนในอาราม นางก็ไปที่เรือนที่คนตระกูลเจิ้งพักอยู่
ในห้องมีเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น หลังจากมีคนไปแจ้ง นางก็เดินเข้าไป เห็นว่าปากของสาวใช้ถูกยัดผ้าเช็ดหน้ามัดมือมัดเท้าอยู่บนพื้น ส่วนนายหญิงเจิ้งผู้เฒ่าและคนอื่นๆ ก็สีหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชา
ฉินหลิวซีกล่าวว่า “ข้ามาจับชีพจรให้ฮูหยินผู้เฒ่าและพวกท่าน”
สีหน้าของฮูหยินเจิ้งผู้เฒ่าเป็นกันเองมากขึ้น “รบกวนด้วย”
ฉินหลิวซีจับชีพจรให้นางก่อน มอง ดม ถาม สัมผัส จากนั้นก็คนถัดไป
คนตระกูลเจิ้งพึ่งมาเมื่อวานนี้ เตรียมจะทำพิธีเต๋าให้กับนายท่านผู้เฒ่าตระกูลเจิ้งและพักผ่อนอยู่ที่นี่ต่อสักหน่อย ก่อนออกจากจวนเกรงว่าจะไม่ได้ดูฤกษ์มงคลจึงต้องมาพบเจอเรื่องเช่นนี้ นับว่าโชคร้ายพอสมควร
พวกเขามาถึงช้า จึงไม่ได้พบกับสะใภ้หลี่และบุตรสาว มีเพียงสาวใช้สองคนที่เคยได้พบกับสะใภ้หลี่ และพูดคุยกันสองประโยค ตอนแรกพวกนางไม่กล้าบอก แต่ฉินหลิวซีเป็นใครกัน เพียงพริบตาเดียวก็รู้ว่าพวกนางกำลังพูดโกหกจึงเปิดเผยอย่างไร้ความปรานี โชคดีที่พวกนางสาบานกับสวรรค์บอกว่าพูดคุยกันเพียงแค่สองประโยค ไม่ได้มีการสัมผัสแต่อย่างใด มิเช่นนั้นเกรงว่าจะถูกลากออกไปโบยแล้ว
“ในตอนนี้บอกได้ว่าพวกท่านไม่ได้มีปัญหาอะไร พรุ่งนี้ค่อยจับชีพจรอีกครั้ง หากยังไม่มีอะไรก็สามารถลงจากภูเขาได้แล้ว”
แม้ฉินหลิวซีจะเห็นว่าโหงวเฮ้งของพวกนางนั้นโชคร้าย แต่ตอนนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะป่วย
ฮือๆๆ
สาวใช้ขยับเข่า เป็นกังวลจนเหงื่อออก
ฮูหยินเจิ้งผู้เฒ่าจ้องมองนางอย่างเย็นชา กล่าวว่า “เจ้าอาวาส โรคของสาวใช้ข้าผู้นี้สามารถรักษาได้หรือไม่”
“หากพบเร็ว ก็ไม่ถึงขั้นไม่สามารถรักษาได้” ฉินหลิวซีเดินไปหา ไม่ได้มีความรังเกียจ จับชีพจร กล่าวว่า “ไว้ข้าจะเขียนใบสั่งยาในภายหลัง จัดยามาดื่ม หลังจากลงจากภูเขาก็ดื่มยาอีกสองสามถ้วยก็พอแล้ว”
สาวใช้ได้ฟังดังนั้นก็ซึ้งใจจนน้ำตาไหลออกมา มองฉินหลิวซีด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้ง
ฉินหลิวซีไปจากเรือนแห่งนี้ และได้ร่ายคาถาชำระสิ่งสกปรกอีกครั้ง เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็ไม่รู้ว่ามองเห็นอะไร เขย่งปลายเท้าเล็กน้อย ขึ้นไปยังที่สูง มองดูเชิงเขาอย่างละเอียด มีพลังงานไม่ดีของโรคระบาดกำลังลอยอยู่ข้างบน นางขมวดคิ้วแล้วกระโดดลงมาในทันที
ชิงหย่วนวิ่งมาอย่างโซเซ ฉินหลิวซีกระโดดลงมาแล้วถามว่า “ตื่นตระหนกอะไร”
ชิงหย่วนบาดเหงื่อบนหน้าผาก กล่าวว่า “เมื่อครู่ที่ประตูภูเขามีผู้ศรัทธามาตะโกนเรียก บอกว่าที่เชิงเขามีคนตายแล้วสองคน สภาพการตายน่าสยดสยอง ศพทั้งหมดล้วนเป็นสีม่วงดำ ท่านว่านี่…”
ฉินหลิวซีสีหน้ามืดครึ้ม คราวนี้อารามเต๋าของพวกเขาประสบปัญหาใหญ่แล้ว