คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1127 ท่านมียาหรือไม่
ตอนที่ 1127 ท่านมียาหรือไม่
………………..
อารามชิงผิงได้เจอกับปัญหาใหญ่เข้าแล้วจริงๆ เนื่องจากเรื่องโรคระบาดหนูในหลี่เจียถุน เพื่อที่จะตรวจสอบรายชื่อชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านในช่วงที่พบผู้ป่วยคนแรก เผื่อมีคนหลบหนีออกจากหมู่บ้านไปซ่อนตัวอยู่ข้างนอกจนทำให้เกิดปัญหาใหญ่ ไปๆ มาๆ ก็ได้ตรวจสอบพบสองแม่ลูกตระกูลหลี่ และได้พบว่าทั้งสองคนหลบซ่อนตัวอยู่ในอารามชิงผิง
ปรากฏว่ายังไม่ทันรอให้เจ้าหน้าที่มาจับกุม ก็มีคนเสียชีวิตที่เชิงเขาอารามชิงผิง อาการของผู้เสียชีวิตคล้ายกับผู้ที่เสียชีวิตในหลี่เจียถุน คนของทางการได้ส่งทหารเข้าปิดล้อมพื้นที่แห่งนี้ในทันที
ไม่ว่าจะเป็นโรคระบาดหนูหรือไม่ ป้องกันไว้ก่อนค่อยว่ากัน!
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เกิดภัยพิบัติธรรมชาติติดต่อกัน ราษฎรจำนวนมากต้องพลัดถิ่น ผู้คนส่วนใหญ่ที่อยู่เชิงเขาอารามชิงผิงล้วนเป็นผู้ลี้ภัยและขอทาน ได้ตั้งเพิงหลบลมบังฝนอยู่ที่นั่น จึงได้มีที่ให้อยู่อาศัย
เมื่อทหารปิดล้อมพื้นที่ขนาดใหญ่ ทุกคนต่างพากันตื่นตระหนก ประกอบกับการเสียชีวิตอันน่าสยดสยองของสองคนนั้น พวกเขาก็นึกถึงอะไรบางอย่าง
โรคระบาด
มีคนที่มีไหวพริบ นึกถึงความน่ากลัวที่เกิดจากโรคระบาดและการรับมือที่เป็นไปได้ของทางการในทันที ไม่รู้ว่าเสียงใครกรีดร้องขึ้นมา คนจำนวนมากตื่นตระหนกและพยายามหลบหนี
อย่างไรก็ตาม ถูกล้อมไว้แล้ว ไหนเลยจะหนีออกไปอย่างง่ายๆ เช่นนั้น
ผู้ที่ใช้กำลังพยายามหลบหนีล้วนถูกสังหารด้วยกระบี่และหอก ทำเอาผู้ลี้ภัยตื่นตระหนกและหวาดกลัวยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ภายใต้การปราบปรามอย่างเคร่งครัด ทำให้ผู้คนสงบเสงี่ยมลง ไม่กล้าที่จะพยายามหลบหนีอีก เพียงแต่อยู่ให้ไกลจากผู้ตายเท่านั้น
และมีผู้ที่ฉลาดกว่า วิ่งไปที่อารามเต๋า อย่างไรเสียก็ได้เกิดโรคระบาดที่เชิงเขา หากไม่มีที่หลบซ่อน ก็ทำได้เพียงไปขอความคุ้มครองในอารามเต๋า อย่างน้อยก็มีที่อยู่อาศัยมีกิน กระทั่งมีเทพคอยคุ้มครอง
น่าเสียดายที่อารามเต๋าก็ไม่เปิดประตูต้อนรับเช่นกัน
มีบางคนรู้สึกหงุดหงิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชีวิตถูกคุกคาม เมื่อเห็นว่าประตูอารามเต๋าปิดสนิท ไม่สามารถเข้าไปได้ก็พูดจาไม่เลือกหน้า สาปแช่งทุกอย่าง ทำอะไรตามอำเภอใจ อย่างเช่นทุบตี ปล้น เผา
ตรงกับคำที่ชิงหย่วนกล่าวไว้ ในเมื่อจะไม่มีชีวิตรอดแล้ว ไหนเลยจะสนใจว่าตัวเองอยู่ในเขตแดนของเทพเจ้าหรือไม่
อย่างไรก็ตาม บางครั้งการเผา ทุบตี ปล้นก็ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าสามารถทำได้เมื่อรู้สึกหงุดหงิด โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของอารามเต๋า
เมื่อพวกเขาอยากจะทุบข้าวของก็ยกก้อนหินขึ้นมาโยนไปที่เท้าของตัวเอง เมื่ออยากจะเผา ก็เอาคบเพลิงจุดไปที่เสื้อผ้าของตัวเอง เมื่ออยากจะฉี่ที่ประตูอารามเต๋า ก้อนเนื้อที่อยู่ใต้เป้ากางเกงของเขาก็ปวดราวกับถูกมีดกรีด เจ็บปวดแสนสาหัส ปัสสาวะไม่ออกแม้แต่หยดเดียว เมื่ออยากจะด่าก็ไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้
ความประหลาดที่ไม่สามารถอธิบายได้แต่ละอย่าง ทำให้พวกเขาไม่กล้าทำตัวจองหองอีกต่อไป ทำได้เพียงคุกเข่าอยู่หน้าประตูภูเขา ขอร้องให้อารามเต๋าช่วยพวกเขาให้พ้นจากความทุกข์ทรมานอย่างน่าสังเวช
แน่นอนว่าฉินหลิวซีไม่ยอมให้ใครเข้ามา อย่างไรเสียในอารามเต๋าได้ถูกคัดกรองแล้ว ตอนนี้มีเพียงสองแม่ลูกตระกูลหลี่ที่ติดโรคระบาด หากปล่อยให้ผู้อื่นเข้ามา จะยิ่งลำบากหากนำโรคระบาดเข้ามาด้วย
อ้อ หากจะบอกกับนางว่าผู้ที่ออกบวชจะต้องมีความเห็นอกเห็นใจ ขออภัย นางไม่ใช่นักบวชที่ไม่มีอะไรเลย และยิ่งไม่ใช่พระภิกษุผู้สูงส่ง นางจะปกป้องผู้ที่อยู่ในอารามเต๋าก่อนเท่านั้น
แน่นอนว่านางจะไม่มีทางละเลยปัญหาที่เชิงเขา อย่างไรเสียหากโรคระบาดหนูยังไม่ได้รับการแก้ไข ผู้คนก็จะยิ่งตายกันมากขึ้น โรคระบาดนี้ก็จะยิ่งยุ่งยาก เมื่อถึงเวลาโรคนี้ก็จะปนเปื้อนในแหล่งน้ำหรือแม้แต่พืชผล นั่นจึงจะเป็นนรกที่แท้จริง
ดังนั้นฉินหลิวซีจึงเรียกรวมตัวผู้คนอีกครั้ง ปรับสถานการณ์ เตรียมยาต้มและกำลังคนให้พร้อม วางแผนจะออกจากประตูภูเขาไปช่วยคน ก่อนที่จะถึงเวลานั้น นางได้วาดยันต์ยาชำระสิ่งสกปรกให้ทุกคนพกติดตัวหนึ่งแผ่น เพื่อป้องกันสิ่งสกปรก
นักพรตหลินและคนอื่นๆ ราวกับได้รับสมบัติล้ำค่า คิดไม่ถึงว่าอารามชิงผิงจะมีของดีเช่นนี้
ฉินหลิวซีรู้สึกสงสัยเล็กน้อยเกี่ยวกับผู้คนที่เชิงเขาซึ่งได้ติดเชื้อและเสียชีวิตอย่างรวดเร็วขนาดนี้ จึงไปถามสะใภ้หลี่ว่าตอนเดินทางมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ ได้ไปติดต่อกับใครที่เชิงเขาบ้าง
สะใภ้หลี่มีไข้ขึ้นสูง แม้ว่าจะดื่มยาต้มแล้วแต่ก็ยังคงไร้เรี่ยวแรง มีความมึนงงเล็กน้อย เมื่อไม่ได้สติ ก็ถูกฉินหลิวซีใช้เข็มเงินแทงจนได้สติ กล่าวว่า “ไม่มี…”
“ที่เชิงเขาได้มีผู้เสียชีวิตแล้ว และทางการก็ได้ส่งคนมาล้อมไว้ไม่ให้เข้าออก เจ้าว่าข้าจะโยนเจ้าออกไปดีหรือไม่”
“ไม่เอา” สะใภ้หลี่ตัวสั่น นางส่ายหน้า กัดปลายลิ้น ความเจ็บปวดทำให้นางมีสติขึ้นเล็กน้อย กล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าพวกเราอยากจะไปยุ่ง ตอนที่พวกเราขึ้นภูเขามา มีคนจรจัดกระโจนเข้ามาอยากจะหยอกล้ออิงเอ๋อร์ ดูเหมือนว่าอิงเอ๋อร์จะคว้าตัวเขาด้วย”
ฉินหลิวซีสบถ
นี่มันจริงๆ เลย เวรกรรมแท้ๆ
เมื่อฉินหลิวซีเห็นว่านางหายใจเร็ว หัวใจก็เต้นแรงเช่นนี้จึงฝังเข็มให้นางสองสามเข็ม หลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบ ก็ได้เพิ่มสมุนไพรอีกสองชนิดลงในใบสั่งยาเดิม โดยเพิ่มใบอูปั๋วกับเปลือกไม้กวนอิมลงไปในยาต้ม
แต่เมื่อนางออกมาจากที่เรือน ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงบางอย่าง หันกลับไป วิญญาณสองดวงลอยออกมาจากสถานที่ที่ให้แม่นางหลี่ผู้นั้นอาศัยอยู่เพียงลำพัง ตนหนึ่งคือยมทูตสวมหมวกยาวที่เขียนว่า ‘ไหนๆ ก็มาแล้ว’ ในมือถือโซ่ตรวนวิญญาณ อีกตนหนึ่งคือแม่นางหลี่
เร็วขนาดนี้เชียวหรือ
ฉินหลิวซีประหลาดใจเล็กน้อย แม้จะเห็นว่ามีพลังแห่งความตายปกคลุมใบหน้าของนาง แต่ก็คิดไม่ถึงว่านางจะอยู่ได้ไม่ถึงหนึ่งวัน ซ้ำยังเป็นสถานการณ์ที่นางได้ดื่มยาและฝังเข็มแล้ว แต่ก็ไม่สามารถทนต่อไปได้
ยมทูต ‘ไหนๆ ก็มาแล้ว’ เห็นว่านางสีหน้าดูไม่ดี จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเทาว่า “นาย นายท่าน ข้าน้อยเพียงแค่ดำเนินการตามใบเป็นตาย”
“อืม ไปเถิด”
“ขอรับ” ‘ไหนๆ ก็มาแล้ว’ ดีใจจนลืมตัว เมื่อได้สติกลับมา ก็กล่าวว่า “ท่านไม่สนใจแล้วหรือ”
ตอนที่เขามานั้นได้รู้สึกหวาดหวั่นเป็นอย่างมาก กลัวว่าฉินหลิวซีจะขัดขวางไม่ให้เอาไป อย่างไรเสียก็เป็นเขตแดนของนาง มาเอาดวงวิญญาณที่นี่ จะต่างอะไรกับการตบหน้านาง
กลับนึกไม่ถึงว่าเจ้าอาวาสท่านนี้จะคุยง่ายขนาดนี้
“จะเป็นหรือตายก็เป็นชะตากรรมของนาง ข้าก็ไม่ได้ละเลย เจ้าไปเถิด” ฉินหลิวซีโบกมือ
‘ไหนๆ ก็มาแล้ว’ ถอนหายใจด้วยความโล่งอก กล่าวว่า “ท่านทำเต็มที่ก็นับว่าดีแล้ว ข้าน้อยขอตัวก่อน ยังต้องเก็บดวงวิญญาณอีกสองสามดวง”
ฉินหลิวซีสีหน้ามืดครึ้ม ถามว่า “อยู่ในเขตแดนกว้างใหญ่ของข้านี้หรือ เป็นเพราะโรคระบาดหนูด้วยเช่นกันหรือ”
‘ไหนๆ ก็มาแล้ว’ แอบเปิดเผยหนึ่งประโยค “ใช่แล้ว ท่านต้องเตรียมการให้พร้อม”
เมื่อฉินหลิวซีได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกปวดหัว ซึ่งหมายความว่าจะมีคนตายหลายคน
‘ไหนๆ ก็มาแล้ว’ กล่าวทักทายสองสามประโยค จากนั้นก็รีบพาดวงวิญญาณใหม่ของแม่นางหลี่ออกไป
ฉินหลิวซียืนอยู่นอกเรือนสักพักหนึ่ง แล้วหันมาเดินกลับเข้าไปกล่าวกับสะใภ้หลี่สองประโยค ไม่นานในห้องก็มีเสียงร้องไห้คร่ำครวญดังขึ้น เสียงนั้นได้ดังไปยังเรือนเต๋าอื่นๆ ทำให้ผู้คนรู้สึกตกใจกลัว
ไม่ว่าสะใภ้หลี่จะทำใจไม่ได้มากแค่ไหน ฉินหลิวซีก็ยังคงทำตามที่กล่าวไว้เมื่อก่อนหน้านี้ ใช้ไฟเผาศพ แล้วเอาโกศเล็กมาใส่เถ้ากระดูก แต่ในอารามเต๋า นางก็ได้จุดตะเกียงนิรันดร์ให้
นางไม่มีเวลามากพอที่จะปลอบโยนสะใภ้หลี่ ให้ชิงหย่วนคอยติดตามอาการนางอย่างใกล้ชิด แล้วจึงได้พานักพรตคนอื่นๆ ออกจากประตูเขา และสิ่งที่นำลงเขาไปด้วยยังมียาต้มที่เคี่ยวเรียบร้อยแล้วไปด้วยเพื่อป้องกัน และลูกเหมยกับน้ำถั่วสามชนิด
เมื่อเห็นว่าประตูเขาอารามเต๋าเปิด ก็มีคนอยากจะบุกเข้าไป ฉินหลิวซีสะบัดแขนเสื้อ คนเหล่านั้นก็ถูกพายุขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นพัดออกไป อดมองนางด้วยความหวาดกลัวไม่ได้
“ไม่ได้รับอนุญาต ใครกล้าบังอาจบุกเข้ามา” ฉินหลิวซีมองคนเหล่านั้นด้วยสายตาเย็นชา กล่าวว่า “อารามชิงผิงไม่ได้มีเมตตาเหมือนศาสนาพุทธ ปล่อยให้พวกเจ้าทำตัวป่าเถื่อนโดยที่ไม่ลงมือต่อต้าน เพียงแต่กล่าวว่าอมิตาภพุทธ ลัทธิเต๋าของพวกเรา ใครกล้าทำตัวป่าเถื่อนและจองหอง ก็อย่าโทษที่ข้าเอาเขาสังเวยสวรรค์!”
“เจ้า เจ้ากล้าหรือ เจ้าเป็นนักบวช!” มีคนตะโกน “เจ้ากำลังขู่พวกเรา”
“เหตุใดข้าจะไม่กล้า ตอนนี้มีโรคระบาดก็ไม่รู้ว่าติดเชื้อไปแล้วกี่คน จะมีคนตายกี่คน การที่เอาคนมาสังเวยสวรรค์เพื่อสวดภาวนาขอให้สวรรค์ประทานยาศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้รอดพ้นจากภัยพิบัติครั้งนี้ ก็ใช่ว่าจะไม่มีผู้มีวิชาทำ อย่างไรเสียหากไม่มียาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคระบาดนี้ก็ล้วนจะต้องตายไม่ช้าก็เร็ว ไม่สู้เสียสละเล็กน้อยเพื่อคนอื่น สังเวยสวรรค์ขอพรให้เทพเจ้าคุ้มครอง ไม่แน่เทพเจ้าอาจจะได้ยิน แสดงความเมตตา ประทานยาลงมาให้จริงๆ เช่นนั้นทุกคนก็จะมีทางรอด ใครกันที่หัวล้านผู้นั้น ไม่ต้องหลบ เจ้านั่นแหละ เจ้ามาเสียสละเพื่อทุกคนสักหน่อย ให้ข้าสังเวยเจ้าแก่สวรรค์ดีหรือไม่”
ทันทีที่กล่าวจบ ทุกคนล้วนมีสีหน้าเปลี่ยนไป ไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่นิดเดียว คนที่ถูกเรียกผู้นั้นก็ยิ่งซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มคน หวังว่าตัวเองจะไม่เคยเอ่ยปากพูดเมื่อครู่นี้
“สงบลงกันแล้วหรือไม่ หากสงบแล้วก็ถอยออกไป ไปเอาชามของพวกเจ้ามาตักยาต้มไปดื่ม จากนั้นก็รอข้าจับชีพจร ผู้ที่ยังไม่ได้ติดโรคระบาด ให้แยกไปอยู่คนละที่กับผู้ที่ติดโรคระบาดแล้ว และเช่นเดียวกัน ข้าขอแนะนำให้พวกเจ้ามารายงานในทันทีเมื่อสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติกับคนรอบข้าง อย่างเช่นมีไข้ อาเจียน หนาวสั่น และหายใจลำบาก เนื่องจากโรคนี้พัฒนาและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ดังนั้นใครยังไม่อยากตาย ทางที่ดีควรจะระมัดระวังให้มากขึ้น ส่วนผู้ที่มีอาการป่วยแล้ว ก็ขอแนะนำให้เจ้าแยกออกไปเอง พวกเราจะทำการรักษาอย่างเต็มที่ อย่าทำร้ายผู้อื่นและตัวเอง”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นอาการเช่นนี้”
“เพราะข้าพึ่งจะเผาไปหนึ่งศพ ก็เป็นอาการเช่นนี้ รู้อย่างนี้แล้ว พวกเจ้ายังจะอยากเข้าไปในอารามหรือไม่” ฉินหลิวซีแสยะยิ้ม
ทุกคนพากันตกตะลึง “ในอารามเต๋าก็มีหรือ เดี๋ยวนะ นี่มันเป็นโรคระบาดอะไรกันแน่ หากเจ้ารู้ก็บอกพวกเราด้วย”
“เป็นโรคระบาดหนูที่เกิดขึ้นในหลี่เจียถุนมณฑลอันหนาน ผู้ที่ตายไปเหล่านี้ ส่วนใหญ่ล้วนไปติดมาจากผู้ที่มาจากทางด้านนั้นจึงได้เป็นเช่นนี้” ฉินหลิวซีไม่ได้ปิดบัง
มีคนที่ได้ฟังดังนั้นก็สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจกลัว “โรคระบาด เป็นโรคระบาดจริงๆ ฮือๆ พวกเราจะตายกันหมดหรือ พวกเขาเฝ้าอยู่ที่เชิงเขาไม่ยอมให้ไป พวกเราจะตายกันในไม่ช้าใช่หรือไม่ เหมือนกับโรคระบาดที่เคยปะทุเมื่อก่อนหน้านี้ ต่อให้ไม่ได้ป่วยก็จะถูกเผาจนตาย! ข้าไม่อยากตาย ฮือๆ”
ความกลัวแพร่กระจายอย่างรวดเร็วราวกับโรคระบาด ความตื่นตระหนกก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงร้องไห้ก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ความโกลาหลก็ยากที่จะสงบลงยิ่งกว่าเดิม
กริ๊งๆ
เสียงกระดิ่งดังขึ้น เสียงกริ๊งดังเบาๆ ราวกับสายน้ำอันแสนหวานไหลผ่าน ราวกับได้ดูดซับความวิตกกังวลทั้งหมด ทำให้จิตใจของผู้คนค่อยๆ สงบลง
นักพรตหลินและคนอื่นๆ จ้องมองไปยังกระดิ่งสามบริสุทธิ์ในมือของฉินหลิวซี ดวงตาเป็นประกาย เป็นกระดิ่งสามบริสุทธิ์ และเมื่อเสียงกระดิ่งดังขึ้นได้แฝงไว้ด้วยจิตวิญญาณของเต๋า หากไม่ใช่เพราะอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสม พวกเขาก็คงอยากจะนั่งลงทำสมาธิแล้ว
ฉินหลิวซีสั่นกระดิ่งสองสามครั้ง เมื่อเห็นว่าความวุ่นวายสงบลงก็รีบส่งสายตาให้นักพรตหลิน
ทุกอย่างดำเนินการไปอย่างเป็นระเบียบ
ผู้ลี้ภัยบางคนเห็นฉินหลิวซีและคนอื่นๆ ใช้ผ้าปิดปากปิดจมูกจึงปฏิบัติตาม ฉีกเสื้อผ้ามาปิดไว้ และมีบางคนที่เห็นว่าทางด้านนักพรตยุ่งเป็นอย่างมาก หลังจากจับชีพจรและได้รับการยืนยันแล้วว่าไม่ได้ป่วย ก็อาสาช่วยตักยาต้มส่งออกไป และมีบางคนที่ร่างกายแข็งแรงกำยำก็ได้อาสาช่วยรักษาความสงบ แบ่งแยกผู้ที่ป่วยกับผู้ที่ไม่ได้ป่วยออกเป็นสองเขตแดน
ในอารามเต๋าก็ได้มีการเคี่ยวยาต้มออกมาส่งอย่างต่อเนื่อง
ฉินหลิวซีได้ไปดูผู้เสียชีวิตด้วยตัวเอง ยืนยันว่าเป็นโรคระบาดหนูจึงได้เผาเช่นกัน ส่วนคนที่ไม่อยากเห็นคนรักของตัวเองถูกเผาหลังจากตายไปและได้ทำการขัดขวาง นางก็ไม่พูดให้เปลืองน้ำลาย ให้เขาเฝ้าศพนั้นไว้ ในเมื่ออยากตายก็กอดกันตายไปเลย
การกระทำอันแข็งกระด้างนี้ทำให้ผู้คนหวาดกลัวจนสำลัก และยังเป็นการข่มขู่ผู้ที่ไม่เชื่อฟังอย่างโหดเหี้ยมอีกด้วย
ให้ตายเถอะ เกรงว่าเจ้าอาวาสอารามชิงผิงผู้นี้จะเป็นอันธพาลที่เข้าสู่ลัทธิเต๋า โหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!
ในขณะที่ฉินหลิวซีได้นำกำลังคนทำให้พื้นที่แห่งนี้สงบลง ก็ได้มีขุนนางในเมืองหลีมาหา บังเอิญเสียจริง ซ้ำยังเป็นคนคุ้นเคย
ฉินหลิวซีมองไปยังหวังเจิ้งที่ไว้หนวดเคราแล้ว รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
หวังเจิ้งสีหน้าซีดเซียว ขอบตาดำคล้ำ ก็ไม่รู้ว่าไม่ได้นอนมากี่คืนแล้ว เมื่อเห็นนางราวกับได้เห็นผู้ช่วยให้รอดชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ เข้าไปดึงมือนาง กล่าวด้วยความตื่นเต้นว่า “สวรรค์ไม่ทอดทิ้งข้า เจ้าอยู่ที่อารามเต๋าจริงๆ ด้วย ลูกศิษย์ของเจ้าไม่ได้ทำนายผิดไปจริงๆ ท่านเจ้าอาวาส ท่านต้องช่วยให้ศีรษะยังอยู่บนคอข้ากับราษฎรเหล่านี้ด้วย”
ฉินหลิวซีสะบัดมือเขาออกด้วยความรังเกียจ “จะพูดก็พูดไป เหตุใดต้องมือไม้ถึงด้วย เจ้ายังไม่ได้บอกเลยว่าเหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่ เจ้าเป็นขุนนางในเมืองหลีหรือ”
“หลี่เจียถุนดูเหมือนจะเป็นหมู่บ้านที่อยู่ภายใต้การปกครองของเมืองอวี๋ เมื่อครู่เจ้าบอกว่าลูกศิษย์ข้าไม่ได้ทำนายผิดไป เจ้าได้พบเขาแล้วหรือ” ฉินหลิวซีถามพลางหรี่ตาลง
ในหนิงโจวมีสี่มณฑล มณฑลอันหนานมีสี่เมือง เมืองอวี๋เป็นหนึ่งในนั้น และแม้ว่าหลี่เจียถุนจะอยู่ในเขตเมืองอวี๋ แต่เนื่องจากอยู่ห่างจากมณฑลอันหนานไม่เกินห้าสิบลี้ ผู้คนส่วนใหญ่จึงชอบเรียกหมู่บ้านหลี่เจียถุนในอันหนาน
หวังเจิ้งกล่าวว่า “หากไม่ใช่เพราะได้พบ และได้ยินว่าทางด้านนี้ก็มีโรคระบาดหนูเกิดขึ้น ข้าไหนเลยจะกล้าละทิ้งด้านนั้นมาที่นี่ เป็นลูกศิษย์ของท่านที่บอกว่าตอนนี้ท่านอยู่ในอาราม ข้าจึงได้รีบเร่งมาที่นี่โดยไม่หยุดพัก ในเมื่อท่านพูดถึงหลี่เจียถุน เช่นนั้นท่านก็รู้เกี่ยวกับสถานการณ์อันน่าสลดใจทั้งหมดของหลี่เจียถุนแล้ว?”
“มีสองแม่ลูกหนีออกมาจากหลี่เจียถุน อยู่ในอารามเต๋าของข้า ไม่สิ ตอนนี้เหลือเพียงหนึ่งคนแล้ว” ฉินหลิวซีกล่าวว่า “ข้าก็เดาได้ตั้งนานแล้วว่าหลี่เจียถุนได้ถูกปิด หากที่นี่มีโรคระบาดแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง ก็จะต้องถูกปิดเช่นกัน เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะเร็วขนาดนี้ เป็นความคิดของเจ้าหรือ”
“ใช่ แต่ก็ไม่ใช่ หากมีโรคระบาดเกิดขึ้นในสถานที่ใด ก็ควรจะปิดและแยกตัวออกมาจึงจะถูก นี่ก็เพื่อป้องกันการระบาดเป็นวงกว้าง” หวังเจิ้งกล่าวว่า “แม้ว่าข้าจะพูดถึงการปิดหมู่บ้านและกักกัน แต่มาตราการจะต้องอ่อนโยน มิเช่นนั้นจะทำให้เกิดความไม่สงบและเป็นปัญหามากขึ้น แต่โรคระบาดหนูนี้แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ทางด้านนั้นได้มีคนตายไปจำนวนไม่น้อยแล้ว ผู้ว่าการคิดว่า…”
เขามองไปรอบๆ กระซิบว่า “ไม่ว่าคนจะตายหรือไม่ เขาอยากจะเผาคนที่ติดโรคระบาดแล้วทั้งหมด”
ฉินหลิวซีรูม่านตาหดลง “เขากล้าหรือ นี่เป็นบาปจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต!”
หวังเจิ้งสีหน้าขมขื่น กล่าวว่า “เป็นบาปก็จริง แต่เมื่อเทียบกับการแพร่กระจายในวงกว้าง แม้ว่าเขาจะใช้วิธีนี้ ก็สามารถหาเหตุผลที่สมควรได้”
คนตายหมดทั้งหมู่บ้าน เพื่อแลกกับการอยู่รอดของคนทั้งมณฑล นับว่าคุ้มค่าเป็นอย่างมาก
แม้ว่าการกระทำนี้จะทำให้ถูกคนวิพากษ์วิจารณ์ แต่เมื่อยื่นฎีกาไป ย่อมมีคนให้อภัยได้อย่างแน่นอน
ชีวิตคนในสถานการณ์โรคระบาดนั้นไร้ค่าที่สุด!
ฉินหลิวซีพูดไม่ออก กล่าวว่า “ยังไม่ถึงขั้นนั้น ผู้ที่ตายแล้วจะต้องเผาทำลาย แต่ผู้ที่หายใจอยู่นั้นยังมีความหวังอันริบหรี่”
“ท่านเจ้าอาวาส ท่านมีความสามารถทั้งทางด้านวิชาเต๋าและวิชาแพทย์ อาคมแข็งแกร่ง วิชาแพทย์ไม่ธรรมดา จะช่วยพวกเขาได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับท่านแล้ว!” หวังเจิ้งมองอย่างมีความหวังพลางกล่าวว่า “ดังนั้นครั้งนี้ข้ามาเพื่อถามโดยเฉพาะว่าท่านมียาหรือไม่”
ฉินหลิวซี “…”