คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1128 อยากเชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็ไสหัวไป!
ตอนที่ 1128 อยากเชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็ไสหัวไป!
แน่นอนว่าฉินหลิวซีมียา แต่จะถูกกับโรคหรือไม่นั้นยังต้องทดสอบก่อน เช่นเดียวกันกับแม่นางหลี่เมื่อก่อนหน้านี้ ใบสั่งยาที่นางเขียนนั้นไม่ตรงกับโรคทั้งหมด สิ่งที่สำคัญก็คือโรครระบาดหนูมาพร้อมกับภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดอย่างรุนแรง ทำให้อาการกำเริบอย่างรวดเร็ว ดื่มยายังไม่ทันไร คนก็จากไปเสียแล้ว
ตอนนี้ฉินหลิวซีได้ใช้สะใภ้หลี่เป็นผู้ทดลองยาและเปลี่ยนใบสั่งยาใหม่ ดูว่าผลจะเป็นอย่างไร หลังจากที่ได้เห็นอาการของคนตายที่เชิงเขาแล้ว ก็แอบคิดว่าหลังจากกลับไปที่อารามค่อยให้ยาแรงกับสะใภ้หลี่
ส่วนจะรู้สึกผิดหรือไม่นั้น ไม่มีทาง นี่เป็นบาปกรรมที่พวกนางสร้างขึ้นมาก่อน ตอนนี้เป็นผู้ทดลองยา สามารถปรุงยาที่มีประสิทธิภาพออกมาได้โดยเร็วที่สุด ก็นับว่าสามารถชดใช้บาปได้
สิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ในตอนนี้คือต้องเอาชนะด้วยความเร็ว แข่งขันเวลากับสวรรค์ แย่งคนกลับคืนมาจากยมบาล
โดยเฉพาะเมื่อหวังเจิ้งบอกว่าหมู่บ้านหลี่เจียถุนกำลังจะถูกเผาก็ยิ่งปล่อยให้ล่าช้าไม่ได้แล้ว จะต้องรีบเร่งให้เร็วขึ้น
หลังจากหวังเจิ้งได้ฟังคำพูดของนาง ก็กล่าวว่า “เช่นนั้นท่านว่า ทำพิธีเต๋า อันเชิญเทพเจ้าลงมา ให้โรคระบาดเวรนี่หายไปโดยเร็วดีหรือไม่”
ฉินหลิวซีมองเคราใต้คางของเขา กล่าวว่า “ล้วนเป็นพ่อคนกันแล้ว ถึงเวลาทิ้งความไร้เดียงสาของเจ้าแล้วกลับไปทำงานซะ หากมีคนก็ให้ส่งคนมาช่วยงาน ซ้ำยังมีหมออีก พวกเราล้วนต้องการทั้งนั้น นอกจากนี้ไปคุยกับผู้บังคับบัญชาของเจ้าสักหน่อย จะกักกันก็กักกันไป แต่คนยังไม่ตายก็ยังมีความหวัง อย่าทำบาปเผาคนเป็น”
ทุกคนมีอุดมคติของตัวเอง ในตอนแรกเถิงเจาและคนอื่นได้ไปไล่วิญญาณร้ายให้คุณหนูผู้นั้นที่จวนผู้ว่าการ ปรากฏว่าพวกเขากลับไปอยู่ในสถานที่โรคระบาดอย่างหลี่เจียถุน ฉินหลิวซีก็รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย และเมื่อได้ยินจากหวังเจิ้งเอ่ยถึงนโยบายของผู้ว่าการท่านนี้ ความไม่พอใจของนางได้เปลี่ยนเป็นความโมโหแล้ว
เมื่อหวางเจิ้งเห็นท่าทางมุ่งมั่นของฉินหลิวซี ก็กล่าวว่า “เช่นนั้นก็ฝากท่านด้วย บุคคลที่ประจำการอยู่ทางด้านนั้นเป็นถึงหม่าเชียนเว่ย ผู้ใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพซ่งในค่ายใหญ่ตะวันตก ข้าจะกำชับให้เขาให้ความร่วมมือกับท่าน ส่วนทางด้านลูกศิษย์ท่านก็วางใจได้ ข้าจะดูแลเขาอย่างดี หากไปถึงขั้นนั้นจริงๆ ต่อให้ข้าต้องทิ้งหมวกขุนนางนี้ ก็จะเอาพวกเขาออกมาให้ได้”
เขาไม่ได้ลืมว่าคนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้เป็นคนที่ปกป้องพวกพ้องของตนเองเป็นอันดับแรก หากลูกศิษย์ผู้นั้นของนางเกิดอะไรขึ้นมา เกรงว่านางจะบ้าคลั่งยิ่งกว่าผู้ว่าการหลิวเสียอีก
ฉินหลิวซีไม่ได้กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเด็กสองคนนั้น เข้าสู่ลัทธิเต๋ามานานขนาดนี้ ได้เรียนรู้วิชาเต๋าแล้ว ตบะก็มีแล้ว หากแม้แต่หมู่บ้านแค่นี้ก็ยังหนีออกมาไม่ได้ เช่นนั้นก็ไล่ออกจากสำนักดีกว่า!
คำทำนายถูกกักขังนี้ เกรงว่าจะเป็นตัวเองที่อาสาไปถูกกักขังเอง!
มีคนเดินมาอย่างเร่งรีบ เป็นบุรุษสวมชุดหรูหรา ฉินหลิวซีเหลือบมอง กล่าวกับหวังเจิ้งว่า “ปัญหามาแล้ว บังเอิญฮูหยินผู้เฒ่ากับคุณหนูในตระกูลของผู้ว่าการเจิ้งได้มาจุดธูปบูชาและพักอาศัยอยู่ในอารามของข้ามาสองวันแล้ว สาวใช้ในตระกูลของนางมีคนได้สัมผัสกับผู้ป่วย ตอนนี้แม้ว่าจะไม่เป็นอะไร แต่โรคนี้กลับกำลังแฝงตัวอยู่ ข้าจึงกักตัวคนไว้ในอาราม ตอนนี้เกรงว่าจะมาตามหาคนกับข้าแล้ว”
หวังเจิ้งขมวดคิ้ว ใบหน้าที่เดิมทีก็ซีดเซียวอยู่แล้วก็ยิ่งซีดเซียวมากขึ้น แม้ว่าเขาก็เกิดในตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้ยังคงเป็นเพียงนายอำเภอระดับเจ็ดที่กำลังเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ไม่อาจไปเทียบกับผู้ว่าการระดับสูงได้ ไปทักทายกับบุคคลเช่นนี้ นับว่าเป็นปัญหาจริงๆ
เป็นอย่างที่คิดไว้ บุรุษผู้นั้นเป็นนายท่านสองตระกูลเจิ้ง มารับตัวคนโดยเฉพาะ แต่ไม่สามารถเข้าประตูภูเขาได้ เมื่อรู้ว่าฉินหลิวซีอยู่ที่นี่ จึงมาตามหานาง ให้นางรีบปล่อยตัวคน
ฉินหลิวซีกล่าวว่า “ตอนนี้เรือนที่ฮูหยินผู้เฒ่าอาศัยอยู่เป็นเรือนเดี่ยว ไม่สามารถเข้าออกตามต้องการได้ ทุกวันจะมียาต้มให้ดื่ม หากติดโรคขึ้นมาจริงๆ ก็จะค้นพบได้ในทันทีและสามารถรับมือได้ แต่เมื่อคนกลับไปแล้ว หาก…แล้วจะเป็นความรับผิดชอบของใคร อย่างไรเสียบ่าวรับใช้ตระกูลท่านก็ได้เคยสัมผัสกับผู้ป่วย”
นายท่านรองเจิ้งหน้าเขียว กล่าวว่า “หากไม่ใช่เพราะพวกเจ้าละเลยหน้าที่ ปล่อยให้คนป่วยเข้ามา…”
“หากไม่ใช่เพราะผู้ที่เป็นขุนนางไม่สามารถควบคุมผู้ใต้บังคับบัญชาได้ ปล่อยให้คนในหลี่เจียถุนหนีออกมา พื้นที่แห่งนี้ก็ไม่ถึงขั้นต้องถูกปิดล้อม รวมถึงฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลพวกท่านด้วย!” ฉินหลิวซีตอบกลับด้วยคำพูดที่เย็นชา กล่าวว่า “หากพูดถึงการละเลยหน้าที่จริงๆ ไม่สู้ให้ราษฎรวิจารณ์สักหน่อย เป็นปัญหาอารามเต๋าของข้าหรือว่าเป็นปัญหาของขุนนางกันแน่น”
“เจ้า!” นายท่านรองเจิ้งโกรธจนสั่นไปทั้งตัว นี่กำลังพาดพิงถึงพี่ใหญ่ของเขาไม่ใช่หรือ อย่างไรเสียเขาก็เป็นขุนนาง เป็นผู้ว่าการ
ฉินหลิวซีกล่าวอย่างเย็นชาอีกว่า “จะปล่อยตัวคนออกไปหรือไม่ ข้าไม่มีปัญหา เพียงแต่โรคระบาดนี้มีระยะฟักตัว ไม่รู้ว่าจะกำเริบขึ้นมาเมื่อไหร่ เมื่อถึงเวลานั้นไปแพร่กระจายสู่ผู้อื่น จะมาโทษข้าไม่ได้ แน่นอนว่าต่อให้ท่านมาโทษข้า ข้าก็จะไม่ยอมรับ อย่างไรเสียก็เป็นพวกท่านที่ต้องการเอาตัวคนกลับไป เช่นนี้ก็ไปรออยู่ที่ประตูเขาด้านหลังเถิด ข้าจะให้คนพาคนตระกูลท่านออกไปส่ง”
นายท่านสองเจิ้งลังเลเล็กน้อย หากท่านแม่และคนอื่นๆ ไปถึงจวนแล้วป่วยขึ้นมาอย่างกะทันหัน จะไม่เกิดหายนะกันทั้งครอบครัวเลยหรือ
เขามองไปยังฉินหลิวซี อีกฝ่ายยิ้มให้เขาอย่างสดใส แต่เมื่อเขาเห็นรอยยิ้มนั้น กลับรู้สึกน่ากลัวเป็นอย่างมาก แฝงไว้ด้วยเจตนาร้าย
ใบหน้าของนายท่านรองเจิ้งบูดเบี้ยวและเกรี้ยวกราดเล็กน้อย หลังจากเงียบไปพักใหญ่จึงได้เค้นคำพูดออกมาหนึ่งประโยค “เนื่องจากตอนนี้อารามชิงผิงถูกปิดล้อม ในฐานะที่ข้าเป็นสมาชิกในตระกูลของผู้ว่าการ ย่อมต้องทำตัวเป็นแบบอย่าง ฮูหยินผู้เฒ่าของตระกูลข้าปฏิบัติอยู่ในอารามเต๋า คิดว่าท่านเจ้าอาวาสจะต้องดูแลอย่างใสใจ ไม่ปล่อยให้ผู้ศรัทธาต้องผิดหวัง”
“ท่านไม่รู้อะไรเสียแล้ว สำหรับผู้ศรัทธา ลัทธิเต๋าของข้ามีเพียงประโยคเดียวเท่านั้น อยากเชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็ไสหัวไป! ผิดหวังหรือไม่นั้นไม่ได้อยู่ในขอบเขตการพิจารณาของพวกเรา” ฉินหลิวซีกล่าวว่า “ดังนั้น ท่านรับตัวคนกลับไปเถิด อารามชิงผิงของข้ายังต้องรักษาการกุศลอยู่ที่นี่ ดูแลผู้ที่ป่วยอย่างแท้จริง เกรงว่าจะไม่สามารถปลีกตัวออกไปได้ ท่านไปรอที่ประตูภูเขา ข้าจะเอาตัวคนออกมา”
หึๆ
หวังเจิ้งอดกลั้นหัวเราะออกมาไม่ได้ เมื่อเห็นว่าสีหน้าของนายท่านรองเจิ้งดูไม่ดี จึงรีบทำสีหน้านิ่งกล่าวว่า “นายท่านรองเจิ้ง โรคระบาดหนูจะสามารถสงบลงได้ในเร็วๆ นี้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับการศึกษาสูตรยาของเจ้าอาวาส ท่านไปบอกกับใต้เท้าผู้ว่าการสักหน่อยเถิด คาดว่าใต้เท้าก็รักราษฎรดั่งลูกหลาน แม้ว่าครอบครัวจะอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายก็จะให้อภัยได้”
เขาได้หาทางออกให้ แต่ทางออกนี้กลับปูไปด้วยมีดอ่อนนุ่น และนายท่านรองเจิ้งก็จำเป็นต้องคล้อยตาม กลัวว่าฉินหลิวซีจะส่งตัวคนออกมาจริงๆ จึงกล่าวด้วยความเคารพสองสามประโยคด้วยน้ำเสียงแข็ง แล้วรีบเผ่นไป
ฉินหลิวซีหัวเราะ
หวังเจิ้งก็ส่ายหน้าพลางถอนหายใจ นี่เป็นนิสัยของคน เมื่อเอ่ยถึงผลประโยชน์ของตัวเอง บางคนก็สามารถเพิกเฉยต่อความปลอดภัยแม้กระทั่งคนที่เป็นมารดาของเขาได้
ฉินหลิวซีเห็นว่าที่เชิงเขาได้แบ่งพื้นที่ออกเป็นสองเขต เขตหนึ่งเป็นผู้ที่ติดโรคแล้ว อีกเขตหนึ่งเป็นผู้ที่ยังไม่ติดโรคชั่วคราว จึงได้วางค่ายอาคมในเขตของผู้ที่ติดโรค สามารถป้องกันการแพร่กระจายออกไปของโรคได้ ทำให้คนวางใจลงไม่น้อย
นางมองไปยังทุกคนที่อยู่ในเขตผู้ป่วย จัดอันดับผู้ที่มีอาการป่วยร้ายแรงที่สุด ใช้สูตรยารักษาโรคที่แตกต่างกันเพื่อปรุงยาให้มีประสิทธิภาพ ก็เท่ากับว่าเป็นคนทดลองยา
ในขณะที่ร้านยาตำหนักอายุวัฒนะในเมืองหลีมีท่านหมอมารักษาการกุศล ฉินหลิวซีจึงมอบหมายคนทดลองยาให้เขาดูแล แล้วกลับไปที่อารามเต๋าก่อน แจ้งแก่ฮูหยินเจิ้งผู้เฒ่าเรื่องที่บุตรชายของนางมาหา และได้เสนอว่าหากนางอยากจะไปก็สามารถส่งนางออกไปได้ ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฮูหยินเจิ้งผู้เฒ่ารำคาญใจหรือคิดเพื่อคนในตระกูล จึงได้เต็มใจที่จะอยู่ต่อ
ฉินหลิวซีก็ไม่ได้ไล่คนออกไป เมื่อตกกลางคืนนางไปที่หลี่เจียถุน แม้จะรู้ว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสามารถในการปกป้องตัวเอง แต่ก็ต้องไปดูว่าสถานการณ์ทางด้านนั้นเป็นอย่างไร
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเมื่อรีบตามพลังงานของลูกศิษย์ไปก็ได้พบกับใครบางคนที่จ้องจะเล่นงานเด็กน้อยทั้งสอง?