คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1131 นางระดับล่าง? เป็นราชาต่างหาก
ตอนที่ 1131 นางระดับล่าง? เป็นราชาต่างหาก
ผ่านมาแล้วสองวันตั้งแต่พบโรคระบาดหนูในอารามชิงผิง แต่ยังคงสามารถควบคุมได้ ส่วนทางด้านหลี่เจียถุน แทบจะเป็นการแพร่กระจายจากคนสู่คน ทั้งหมู่บ้าน มีเพียงสองในสิบส่วนที่ยังไม่ป่วย
แต่ไม่ว่าจะเป็นคนที่อยู่ในสองในสิบส่วนหรือผู้ที่ป่วยแล้ว ฉินหลิวซีก็มองไม่เห็นความสุขหรือความหวังบนใบหน้าของพวกเขา ใบหน้าของทุกคนล้วนแสดงให้เห็นถึงความว่างเปล่า ดวงตาเต็มไปด้วยความหมดหวัง ราวกับศพเดินได้ที่ไร้วิญญาณ
ในใจของทุกคนล้วนรู้ดี เมื่อไม่มีสูตรยาวิเศษรักษาโรคระบาดหนูออกมา ทุกคนในหลี่เจียถุนจะต้องถูกเผาตายที่นี่
หากแม้แต่ผู้ที่ยังไม่ได้ติดโรคก็ล้วนมีใบหน้าเฉยชา เช่นนั้นผู้ที่ติดโรคระบาดหนูแล้วก็ยิ่งมีสีหน้าเจ็บปวดและสิ้นหวัง เสียงร้องครวญครางดังเต็มกระท่อม
และที่แห่งนี้ไม่เพียงแต่มีกลิ่นคาวสิ่งสกปรกที่อาเจียนออกมา ซ้ำยังมีกลิ่นลมควันของหญ้าไอ้เฉ่ากับน้ำส้มสายชู ส่วนหมอที่กล้ามารักษาโรคในหลี่เจียถุน นอกจากเถิงเจากับเจ้าโสมน้อยแล้วก็ยังมีอีกสี่คน ทั้งหกคนต้องเผชิญกับผู้ป่วยกว่าร้อยราย แทบจะแยกร่างทำงาน
สองคนในนั้นเป็นปู่กับหลานของโรงหมอตระกูลจาง ท่านหมอจางอายุหกสิบสองปีแล้ว กล่าวกันว่าเขาได้เรียนรู้มาจากศิษย์ของจางจ้งจิ่ง แต่เป็นศิษย์คนไหนนั้นกลับไม่ได้ลงรายละเอียด แต่โรงหมอตระกูลจางนั้นค่อนข้างมีชื่อเสียงในมณฑลอันหนาน มีทักษะวิชาแพทย์ที่ยอดเยี่ยม มีจรรยาบรรณของความเป็นหมอ บรรดาราษฎรรู้จักกันในนามพระโพธิสัตว์ที่ยังมีชีวิต
เมื่อฉินหลิวซีเห็นหมอจาง ก็ตกตะลึงเล็กน้อย คำนับเขาอย่างเรียบง่าย
เดิมทีเจ้าโสมน้อยกับเถิงเจายังอยากจะกล่าวชื่นชมท่านหมอจาง อย่างไรเสียบนตัวของคนผู้นี้ก็มีแสงสีทองแห่งบุญกุศลมากมาย เป็นผู้ที่คนฝึกบำเพ็ญอย่างพวกเขาให้ความเคารพ
แต่พฤติกรรมของฉินหลิวซีกลับไม่ได้ดูอบอุ่นอย่างที่พวกเขาคาดไว้ ไม่ถึงขั้นเย็นชาแต่ก็ไม่ได้เป็นกันเอง
นี่มันน่าแปลกเล็กน้อย
เถิงเจามองไปยังท่านหมอจางตามสัญชาตญาณ แต่นอกเหนือจากการเห็นว่าคนผู้นี้มีบุญกุศลแล้ว เขาก็มองไม่เห็นสิ่งอื่นใดอีก หากจะบอกว่าเขาไปทำร้ายใครมา รอบตัวเขาก็สะอาดสะอ้าน ไม่มีอะไรทั้งนั้น
เจ้าโสมน้อยรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก แทบจะดึงฉินหลิวซีออกไปถามให้รู้แล้วรู้รอดในทันที
เมื่อท่านหมอจางเห็นฉินหลิวซี ก็ยิ้มพลางคำนับกลับ กล่าวว่า “ได้ยินมานานแล้วว่าอารามชิงผิงในเมืองหลีนั้นเจริญรุ่งเรืองและศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมาก แต่กลับไม่มีเวลาได้ไปที่นั่นเลย ข้าเองก็เคยได้ยินศาสตร์ทั้งห้าของเสวียนเหมิน หนึ่งในนั้นเป็นวิชาแพทย์ เพียงแต่ไม่มีวาสนาได้ศึกษา คิดไม่ถึงว่าจะได้รู้จักกับนักพรตจากอารามชิงผิงที่หลี่เจียถุน”
เขามองไปยังเถิงเจา กล่าวชื่นชมว่า “นักพรตน้อยเสวียนอี อารามของท่านมีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมและวิชาแพทย์ที่ไม่ธรรมดา เห็นได้ชัดว่าอาจารย์ที่เข้มงวดจะสร้างลูกศิษย์ที่ยอดเยี่ยมออกมา ตอนนี้เมื่อได้เห็นก็เป็นอย่างที่คิดไว้ มีเพียงบุคคลที่ไม่ธรรมดาอย่างท่านเจ้าอาวาสเท่านั้นที่จะสามารถสอนลูกศิษย์ที่มีความโดดเด่นออกมาได้เช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะผิดเวลา ก็อยากจะสนทนาเต๋ากับท่านเจ้าอาวาสสักหน่อย”
ฉินหลิวซียิ้มเล็กน้อย “ท่านพูดเกินไปแล้ว หากอยากจะสนทนาเต๋ากับข้า เกรงว่าจะใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อ หมอจางก็คงไม่อยากจะเห็นข้าอีกต่อไป”
น้ำเสียงนี้ค่อนข้างมีความหมายแอบแฝง
หมอจางตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วมองมา สบตากับนาง
ดวงตาของนางฉลาดมีไหวพริบ แวววาวราวกับดวงดาว แต่ชัดเจนมากเกินไป เมื่อมองมาที่เจ้าราวกับมองทะลุไปถึงจิตวิญญาณข้างใน
ไม่มีสิ่งปกปิดใดๆ
ท่านหมอจางตัวสั่นเล็กน้อย หลบเลี่ยงสายตานี้ตามสัญชาตญาณ แต่เมื่อสังเกตถึงพฤติกรรมของตัวเอง เขาก็ตกใจ กล่าวด้วยรอยยิ้มแข็งทื่อว่า “ท่านเจ้าอาวาสล้อเล่นแล้ว การที่ได้สนทนาเต๋ากับท่านเจ้าอาวาสนั้นนับว่าเป็นเกียรติสำหรับข้า”
หลานชายนามว่าจางจัวเหลียงที่อยู่ข้างๆ เขาได้ขมวดคิ้ว เหลือบมองฉินหลิวซีอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ลดสายตาลง ปกปิดความไม่พอใจในดวงตา
ในบรรดาผู้ที่มารักษาการกุศลในหลี่เจียถุน หมอจางอายุมากที่สุด วิชาแพทย์ล้ำเลิศมากที่สุด คนที่เหลือล้วนลงมือตามคำกำชับของเขา คำพูดและการกระทำก็ให้ความเคารพเป็นอย่างมาก ตอนนี้ได้ยินน้ำเสียงของเขาแฝงไว้ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน ก็รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย สายตาที่มองฉินหลิวซีก็ยิ่งไม่ค่อยเป็นมิตรนัก
ท่านหมอจางมีวิชาแพทย์ที่ยอดเยี่ยม เป็นที่รู้จักกันดีในมณฑลอันหนาน เป็นที่ยอมรับและได้รับความเคารพจากราษฎรเป็นอย่างยิ่ง เต็มใจที่จะสอนคนที่อยู่ในสายงานเดียวกัน เรียกได้ว่าเขาเป็นผู้ที่มีศีลธรรมอันสูงส่ง ตอนนี้อายุปูนนี้แล้วก็ยังมาพื้นที่โรคระบาดนี้โดยไม่ลังเล การกระทำนี้สมควรได้รับการยกย่อง
แต่ฉินหลิวซีที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน พวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจ เห็นว่านางอายุยังน้อย ซ้ำยังเป็นนักพรตหญิงด้วยกระมัง แต่กลับมีท่าทางดูถูกท่านหมอจางที่สามารถเป็นปู่ของนางได้ ทำให้คนรู้สึกไม่พอใจจริงๆ
“เสวียนเหมินมีหมอลัทธิเต๋า ไม่ทราบว่าท่านเจ้าอาวาสมีสูตรยาวิเศษรักษาโรคระบาดหนูนี้หรือไม่” หมอวัยกลางคนแซ่เกาเอ่ยถาม
ท่านหมอหยางท่านหมออีกคนหัวเราะพลางเอ่ย “ท่านหมอเกาดูถูกเจ้าอาวาสท่านนี้แล้ว ไม่ได้บอกว่าอารามชิงผิงควันธูปเจริญรุ่งเรืองและศักดิ์สิทธิ์หรอกหรือ หมอทางโลกผู้โง่เขลาอย่างพวกเราจะไปเทียบได้อย่างไร ท่านเจ้าอาวาสมีวิชาแก่กล้า คาดว่าคงจะทำพิธีสวดภาวนาก็สามารถแก้ไขโรคระบาดหนูนี้ได้แล้วกระมัง”
เถิงเจากับเจ้าโสมน้อยสีหน้ามืดครึ้ม อยากจะก้าวไปข้างหน้า ฉินหลิวซียื่นมือมาขวางไว้ นางมองท่านหมอหยางผู้นั้น ยิ้มพลางเอ่ย “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าสามารถทำพิธีสวดขอพรเทพเทวดาเพื่อบรรเทาโรคระบาดหนูนี้ได้ การสวดภาวนานี้จำเป็นต้องมีการเสียสละ คิดว่าท่านหมอหยางคงกล้าที่จะสละชีวิตเพื่อช่วยผู้ป่วยที่สิ้นหวังเหล่านี้ ท่านช่วยเป็นเครื่องบูชาสำหรับบวงสรวงสวรรค์ให้ข้าได้หรือไม่ ทุกคนจะต้องจดจำความดีของท่านอย่างแน่นอน”
ทุกคนสีหน้าเปลี่ยนไป ก้าวถอยหลังตามสัญชาตญาณ สายตาที่มองฉินหลิวซีราวกับกำลังมองผีร้าย
ใช้คนบวงสรวงสวรรค์ นี่เป็นวิชามารไม่ใช่หรือ
“เป็นอะไรไป” ฉินหลิวซีมองท่านหมอหยางพลางกล่าวว่า “ท่านบอกเองไม่ใช่หรือว่าข้ามีวิชาแก่กล้าสามารถทำพิธีสวดภาวนาได้ ข้าก็แค่พูดถึงเครื่องบวงสรวง ดูท่านตกใจเข้าสิ”
หมอหยางรู้สึกเหมือนกลืนอึเข้าไป พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
“ท่านเจ้าอาวาสมาพื้นที่โรคระบาดเพื่อสร้างปัญหาหรือ” หมอเกากล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
ฉินหลิวซีเหลือบมองอย่างเย็นชา “มีชาวบ้านสองคนจากหลี่เจียถุนหนีไปที่อารามชิงผิง ส่งผลให้อารามชิงผิงมีผู้ป่วยหนึ่งคน ที่เชิงเขาก็มีคนเสียชีวิตไปแล้วหลายคน ถูกกักกันไม่อนุญาตให้เข้าออกเช่นกัน หากไม่ใช่เพราะลูกศิษย์ของข้าอยู่ในพื้นที่ต้นตอของการแพร่ระบาด และต้องการมาดูสถานการณ์ทางด้านนี้ ท่านว่าข้าจะว่างมากจนออกจากอารามมายังหมู่บ้านที่เกือบจะจบเห่แล้วเพื่อสร้างเรื่องวุ่นวายอย่างนั้นหรือ”
เมื่อเห็นนางมีสีหน้าไม่เป็นมิตร ท่านหมอจางก็รีบเข้าไปไกล่เกลี่ยสถานการณ์ กล่าวว่า “ท่านเจ้าอาวาสอย่าโกรธไปเลย เป็นเพราะความเหนื่อยล้าในช่วงหลายวันนี้ พวกเราจึงได้พูดจาหยาบคาย ขอโปรดอภัยด้วย ข้าขอโทษท่านแทนเพื่อนร่วมงานทั้งสองด้วย”
เขาโค้งคำนับฉินหลิวซี คนแซ่เกากับคนแซ่หยางผู้นั้นมีสีหน้าอึดอัด เมื่อเห็นหมอจางทำเช่นนี้ จึงก้าวเข้าไปกล่าวว่า “ท่านหมอจางไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ เป็นพวกเราที่พูดจาไม่ดี ขออภัย”
ฉินหลิวซีสบถ “ช่างเถิด อันหนานใหญ่โตขนาดนี้ แต่กลับมีคนโง่อย่างพวกเจ้าเพียงไม่กี่คนที่กล้ามาพื้นที่โรคระบาด ไม่อาจไปถือสาเอาความกับพวกเจ้าได้ หากทำให้พวกเจ้าโกรธแล้วจากไป แล้วใครจะทำงาน”
ท่านหมอหยางรู้สึกอัดอั้น ‘เหตุใดปากของนักพรตหญิงผู้นี้จึงไม่มีความเสียเปรียบเลยแม้แต่นิด!’
ท่านหมอจางกล่าวว่า “เมื่อครู่เจ้าอาวาสบอกว่ามีคนหนีออกไปจากหลี่เจียถุน ไม่ทราบว่าผู้ป่วยสองคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง”
“คนหนึ่งตาย อีกคนหนึ่งกำลังกินยา” ฉินหลิวซีกล่าวว่า “เมื่อครู่ข้าดูกองศพทางด้านนั้นอยู่พักหนึ่ง ผู้ที่เสียชีวิตส่วนใหญ่มีรอยแผลสีม่วง ที่ปากมีคราบอาเจียนเป็นเลือดสีดำ ทางด้านอารามชิงผิงก็มีอาการเช่นเดียวกัน ได้ยินเสวียนอีบอกว่าตั้งแต่ที่พวกเขาอาการกำเริบจนตายใช้เวลาเร็วที่สุดหนึ่งวัน”
“เป็นเช่นนั้น” ท่านหมอจางมีสีหน้าขมขื่น กล่าวว่า “โรคระบาดหนูนี้ไม่เหมือนกับโรคระบาดที่เคยเห็นมาก่อน มันมีกำหนดเวลาในการเกิดโรค ข้าเคยเห็นผู้ที่ผ่านมากว่าห้าวันกว่าจะแสดงอาการ แต่ทันทีที่แสดงอาการ อัตราการตายก็รวดเร็วเป็นอย่างมาก เดิมทีพวกเราก็คนไม่พออยู่แล้ว หากจะเปลี่ยนสูตรยา พวกเขาก็รอไม่ไหว”
ฉินหลิวซีเอ่ย “แม่นางผู้นั้นที่ตายในอารามยังมีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดอีกด้วย ดังนั้นโรคระบาดหนูนี้คงจะเป็นโรคระบาดหนูในเลือด”
“โรคระบาดหนูยังมีแบ่งประเภทด้วยหรือ” จางจัวเหลียงเอ่ยถาม
ฉินหลิวซีพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ข้าเคยดูประวัติการรักษาของคนรุ่นก่อนๆ หากในอดีตมีโรคระบาด ถ้าเกิดจากหนูก็จะมีการจำแนกประเภท เช่นโรคระบาดหนูในต่อมน้ำเหลือง โรคระบาดหนูในปอด แต่ละชนิดก็แตกต่างกันออกไป ประเภทในปัจจุบันนี้ก็คล้ายกับครั้งก่อนๆ อยู่บ้าง แต่มีการกำเริบและเสียชีวิตเร็วขึ้น อาการเป็นอย่างที่พวกเราเห็น อาเจียนออกมาเป็นเลือด อุจจาระเป็นเลือด แขนขาหนาวสั่นพร้อมกับมีไข้ขึ้นสูง ลิ้นเป็นเมือก ชีพจรอ่อนแรง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือมีอาการเลือดออกตามผิวหนัง มีอาการตัวม่วง มีเนื้อร้ายบนผิวหนัง ซึ่งล้วนแต่เป็นอาการของภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ทราบว่าท่านเจ้าอาวาสมีสูตรยาวิเศษหรือไม่” ท่านหมอจางรีบเอ่ยถามในทันที
ฉินหลิวซีกล่าวว่า “โรคระบาดหนูนี้แพร่กระจายจากคนสู่คน แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว หากไม่ควบคุมจะต้องแพร่กระจายเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็วแน่นอน เช่นเดียวกันกับในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ผู้ที่ตายแล้วก็ยังถูกเผาไม่หมด ตอนนี้อากาศร้อน มีงู แมลง หนู และมดมากมาย หากไปสัมผัสกับผู้ติดเชื้อเหล่านี้แล้วแพร่กระจายออกไป เช่นนั้นต่อให้มีหมออีกหลายคนก็ไม่พอ”
ท่านหมอจางพยักหน้า เป็นเช่นนั้น หากต้องการรักษาโรคระบาดหนู อันดับแรกต้องไม่ให้แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว มิเช่นนั้นหากโรคแพร่กระจายออกไปเรื่อยๆ แล้วการรักษาไม่เร็วพอ ไม่ช้าก็เร็วก็จะกลายเป็นนรกบนดิน
ท่านหมอเกากับท่านหมอหยางมองหน้ากัน ทั้งสองคนรู้สึกผิดเล็กน้อย ดูเหมือนว่าพวกเขาจะดูถูกนักพรตหญิงผู้นี้ไป
จางจัวเหลียงกลับถามว่า “ตามที่ท่านเจ้าอาวาสกล่าวมา เราจะชะลอความเร็วในการแพร่กระจายจากคนสู่คนได้อย่างไร”
ฉินหลิวซีกล่าวว่า “การฆ่าและกำจัดหนูทุกประเภทนั้นไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ยานั้นสำคัญยิ่งกว่า ได้ยินมาว่าในหนิงโจวมีลัทธิสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ พวกเขามีน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์อะไรนั่นให้ผู้ศรัทธาใช้ดื่ม ใช้น้ำศักดิ์สิทธิ์พรมที่ศีรษะและหน้า ก็จะยิ่งทำให้ไม่มีโรคมากล้ำกลาย ขับไล่วิญญาณร้ายปราบผี ใช่หรือไม่”
ทุกคนได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกประหลาดเล็กน้อย หรือว่าเจ้าอยากจะเลียนแบบลัทธิสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์อะไรนั่น ใช้น้ำมนต์มารักษาโรคงั้นหรือ
จางจัวเหลียงอายุยังน้อย กล่าวออกมาโดยไม่ได้คิดอะไร “ท่านคิดจะเลียนแบบ ใช้น้ำมนต์?”
การดื่มน้ำมนต์รักษาโรค พวกนักต้มตุ๋นอะไรเหล่านั้นคุ้นเคยกันดีกับการใช้วิธีนี้ ไม่เพียงแต่รักษาไม่หาย ซ้ำอาการป่วยเล็กน้อยยังกลายเป็นอาการป่วยร้ายแรงได้
เมื่อฉินหลิวซีได้ยินคำพูดดูหมิ่นของเขา ก็แสยะยิ้มพลางกล่าวว่า “ยันต์ของข้านั้นมีราคาแพง แพงยิ่งกว่าวัตถุดิบยาเสียอีก”
“…ยันต์ยาที่มีประโยชน์ก็ต้องใช้พลังวิญญาณ และต้องมีสมาธิอย่างต่อเนื่องไม่สามารถหยุดชะงักได้ จะต้องทำให้เสร็จในลมหายใจเดียว” เจ้าโสมน้อยอธิบายแทนฉินหลิวซี กล่าวว่า “ดังนั้นยันต์ยาที่สามารถเปลี่ยนเป็นน้ำได้จริงๆ ไม่ได้มีเพียงแต่ยาเท่านั้น ซ้ำยังมีพลังวิญญาณกับพระสูตร เมื่อดื่มลงไปจึงจะสามารถไล่วิญญาณร้ายและรักษาโรคได้ นี่จึงจะเป็นน้ำมนต์ที่แท้จริง ไม่ใช่สิ่งที่ใช้หลอกคนภายนอกเหล่านั้น”
หากต้องการให้น้ำมนต์มีประโยชน์ ก่อนอื่นจะต้องนำยาทุกชนิดมาหลอมรวมเป็นยันต์ยากระดาษ จากนั้นจึงวาดพระสูตรยาลงบนยันต์กระดาษ ซ้ำยังจะต้องทำให้เสร็จสมบูรณ์ภายในลมหายใจเดียว จะมีสักกี่คนที่ทำได้
ทุกคนตกตะลึงเล็กน้อย น้ำมนต์ที่ใช้ได้ผลมีอยู่จริงๆ ด้วย
“แล้ว…” ท่านหมอจางดวงตาเป็นประกายเล็กน้อย
“ท่านเลิกคิดไปได้เลย” เจ้าโสมน้อยขัดจังหวะเขา “การวาดยันต์ไหนเลยจะง่ายเช่นนั้น สิ่งนั้นต้องใช้ทั้งความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณและเปลืองสมาธิ มีนักพรตบางคน ทั้งชีวิตก็ไม่สามารถวาดยันต์ที่มีพลังวิญญาณได้หลายแผ่น โดยเฉพาะโรคระบาดใหญ่เช่นนี้ จะต้องวาดยันต์เท่าไหร่จึงจะสำเร็จ แสงแห่งจิตวิญญาณเพียงเล็กน้อยกลายเป็นยันต์ แม้ว่าท่านเจ้าอาวาสของพวกเราจะวาดได้ แต่ระหว่างกระบวนการทำยันต์ก็คงมีคนตายไปแล้วไม่น้อย ไหนเลยจะรอไหว”
ฉินหลิวซีกล่าวขึ้นมาว่า “สามารถวาดยันต์ยาวิเศษใช้เป็นยาขับไล่สิ่งสกปรก แต่โรคระบาดเช่นนี้ สูตรยาจำเป็นจะต้องบันทึกถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาต่อไป เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีกครั้งแล้วไม่มียารักษาโรค แต่การใช้ยันต์ยา ในภายภาคหน้าจะยังมีนักพรตที่เก่งกล้าหรือไม่ก็ยากที่จะบอกได้ ในความคิดของข้าคิดว่าควรจะใช้แผนการรักษาเป็นวัตถุดิบยาจะดีกว่า”
ยันต์ยานั้นใช้ได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถปรุงยาและวาดออกมาได้ แต่ใบสั่งยาแบบดั้งเดิมนั้นแตกต่าง ตราบใดที่พบวัตถุดิบยา จ่ายยาให้ตรงกับโรคก็เป็นเรื่องง่าย
ท่านหมอจางถอนหายใจพลางกล่าวว่า “ท่านเจ้าอาวาสประเสริฐยิ่งนัก”
ท่านหมอหยางกับท่านหมอเกาก็ยกมือขึ้นคำนับเช่นกัน ยิ่งรู้สึกระอายใจกว่าเดิม
ฉินหลิวซีกล่าวว่า “ที่ข้าพูดถึงวิธีทำน้ำศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์นั้นเพราะคิดว่าจะสามารถนำวิธีการรักษาที่ถูกกับโรคมาเคี่ยวเป็นน้ำมันได้หรือไม่ จะได้ใช้ทาที่ปากและจมูกเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรคทางปากและจมูก ซ้ำยังสามารถดื่มเพื่อรักษาได้ สิ่งนี้ทั้งสามารถป้องกันและรักษาได้ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว โดยเฉพาะผู้ที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้ป่วยโดยตรงอย่างพวกเรา ยิ่งต้องปกป้องตัวเองก่อน อย่างไรเสียพวกเราก็มารักษาเพื่อการกุศล จุดประสงค์หลักคือการช่วยเหลือโลก ไม่ใช่มาตาย”
ทุกคนพยักหน้า คำกล่าวนี้เป็นจริงที่สุด
“สำหรับวิธีการรักษา ไม่ทราบว่าขอดูใบสั่งยาที่พวกท่านจ่ายในช่วงนี้ได้หรือไม่ ได้ยินมาว่าบรรพบุรุษของท่านหมอจางและหลานเป็นลูกศิษย์ของจางจ้งจิ่ง คิดว่าคงจะมีสูตรยาที่ใช้สืบทอดกันมาในการรักษาโรคระบาดอยู่ไม่น้อย”
“ท่านก็รู้จักวิธีนี้ด้วยหรือ” ท่านหมอจางกล่าวว่า “ข้าเคยอ่านตำราแพทย์ที่สืบทอดจากบรรพบุรุษ วิธีนี้ใช้รักษาอาการหยินหยางเป็นพิษ สิ่งนี้ใช้รักษาโรคระบาดหนูได้ด้วยหรือ ยิ่งไปกว่านั้นใบสั่งยานี้ประกอบด้วยสมุนไพรสองชนิดคือฉงหวงกับสู่เจียว แต่ฉงหวงมีพิษ ตามที่ตำรายาบันทึกไว้ หากใช้ยาเกินหนึ่งในสิบส่วนของขนาดยาจะเป็นพิษและตายได้ ไม่เหมาะสมที่จะใช้เป็นยา จะใช้วิธีนี้ได้หรือ”
“เช่นนั้นก็เอาฉงหวงออก แล้วเพิ่มผงเครื่องเทศห้าชนิดดู” ฉินหลิวซีกล่าวว่า “เดิมทีใบสั่งยานี้ก็เป็นการรักษาอาการหยินหยางเป็นพิษ ตอนนี้โรคระบาดหนูในเลือดก็เป็นอาการหยินหยางเป็นพิษเช่นกัน ใช้เซิงหมาเป็นยาหลักในการป้องกันโรคระบาด เสริมด้วยกระดองเต๋า ใช้ตังกุยเข้าสู่กระแสเลือด กานเฉ่าช่วยล้างพิษ เครื่องเทศทั้งห้าขจัดความสกปรกและความชื้น…”
ยิ่งนางเอ่ย ในหัวก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น ยิ่งรู้สึกถึงความมหัศจรรย์ของสูตรยานี้
เมื่อนางเอ่ยจบก็มีความเงียบงัน ท่านหมอจางคิดอย่างละเอียดรอบคอบ หลังจากเงียบอยู่นานก็ปรบมือ “วิเศษมากๆ สูตรยานี้ใช้ได้”
ท่านหมอเกาและท่านหมอหยางมองไปยังฉินหลิวซี สีหน้าซับซ้อน
เดิมทีคิดว่านางเป็นพวกระดับล่าง ความจริงแล้วเป็นราชา ใบหน้าของพวกเขาถูกตบเสียงดังเพียะ
ทันใดนั้นฉินหลิวซีก็มองไปที่ความว่างเปล่า ทุกคนมองไปตามสายตาของนาง ในความมืดมิดได้เห็นนกน้อยสีเหลืองตัวหนึ่งบินมาทางนี้ เล็กจนแทบจะมองไม่เห็น
ในโลกนี้มีนกเล็กขนาดนี้เชียวหรือ
เมื่อนกตัวนั้นบินมา ทุกคนเห็นได้อย่างชัดเจน เป็นนกเสียที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นนกกระเรียนกระดาษ?
พวกเขามองดูนกกระเรียนกระดาษตัวนั้นหยุดนิ่งอยู่ในมือของฉินหลิวซีอย่างเหม่อลอย จากนั้นก็มองดูนางคลี่มันออก ก่อนจะขยี้ตา
แม่เจ้า อยู่มานานขนาดนี้พึ่งจะได้เห็น นกกระเรียนกระดาษสามารถบินได้เหมือนนกจริงๆ
ฉินหลิวซีคลี่นกกระเรียนกระดาษแล้วมองดูข้อความบนนั้น กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ทางด้านอารามชิงผิงส่งจดหมายมาว่าผู้ป่วยที่ใช้ผงเครื่องเทศห้าชนิด ไข้ได้ลดลงแล้ว ข้าว่าลองใช้ยาต้มเซิงหมากระดองเต๋าเสริมด้วยผงเครื่องเทศห้าชนิดดูเถิด หากโชคดี อาจจะไม่ต้องให้ข้าบวงสรวงสวรรค์สวดภาวนา”
ท่านหมอหยาง “…”
เลิกพูดได้แล้ว เจ็บหน้าจะตายอยู่แล้ว
“เจาเจา พวกเจ้าอยู่ช่วยที่นี่ต่อ อาจารย์จะกลับไปบอกให้พวกเขาใช้วิธีนี้” ฉินหลิวซีกำชับเถิงเจา จากนั้นก็เอ่ยกับท่านหมอจางและคนอื่นๆ ว่า “เช่นนั้นเรื่องหลี่เจียถุนก็รบกวนพวกท่านแล้ว”
ทันทีที่นางกล่าวจบก็เดินเข้าไปในความว่างเปล่าแล้วหายตัวไปในทันที
ท่านหมอหยางและคนอื่น อ้าปากค้าง “นี่มัน นี่มันเป็นเวทมนตร์หรือ”
ท่านหมอจางสีหน้าเปลี่ยนไป ลดสายตาลง ก็ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่