คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1132 ดื้อรั้นรนหาที่ตาย
ตอนที่ 1132 ดื้อรั้นรนหาที่ตาย
ผู้ป่วยในอารามชิงผิงที่ถูกฉินหลิวซีจับขึ้นทะเบียนไว้ หนึ่งในนั้นก็ได้ใช้ผงเครื่องเทศห้าชนิด แม้ว่าอาการจะยังไม่ได้ดีขึ้นอย่างไร้ที่ติ แต่ไข้ที่ขึ้นสูงได้ลดลงแล้ว ฉินหลิวซีกลับมาที่เชิงเขาก็จับชีพจรให้คนผู้นั้นในทันที มอง ดม ถาม สัมผัส แม้กระทั่งผิวตามร่างกายก็ไม่ปล่อยไป ยังได้เอาเลือดมาด้วยเล็กน้อย
หลังจากนั้นนางก็ได้กลับไปที่อารามเต๋าในทันทีแล้วไปที่เรือนโอสถ ปรุงยาต้มเซิงหมากระดองเต๋าแล้วเติมผงเครื่องเทศห้าชนิด เคี่ยวจนเป็นยาต้ม แล้วให้สะใภ้หลี่ดื่มก่อน
หลังจากคิดดูแล้ว นางก็ได้เอาแร่เซิงสือกับเขาควาย ทอดวัตถุดิบยาทั้งสองก่อนแล้วค่อยเติมยาต้มกระดองเต๋า เคี่ยวจนได้ยาที่เข้มข้น จากนั้นก็ทาที่บริเวณปาก จมูก รอบคอ กลิ่นหอมของยาแฝงไว้ด้วยกลิ่นคาว แต่กลับสดชื่นเป็นอย่างมาก เปิดทวารทั้งเจ็ด
“เรียกว่ายาต้มกระตุ้นหลอดเลือดก็แล้วกัน” ฉินหลิวซีแตะโถยาต้มนั้น
เมื่อจัดการเสร็จแล้ว นางก็ส่งไปที่เชิงเขา พาคนไปแจกให้คนไข้ดื่ม แล้วค่อยให้ผู้ที่ถูกกักบริเวณไว้ที่นี่แต่ยังไม่ได้มีอาการป่วยได้ทา แน่นอนว่าการทาเพื่อป้องกันนั้นไม่ใช่เพียงแค่ครั้งเดียวก็จะได้ผล หนึ่งวันทาสองครั้งถึงสามครั้ง เมื่อทำทุกอย่างเสร็จแล้ว นางจึงได้ล้มลงบนเตียง
ไม่ว่าจะเป็นสูตรยามหัศจรรย์หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับประสงค์ของสวรรค์แล้ว
และในขณะเดียวกัน ทุกคนในหลี่เจียถุนก็ได้ใช้สูตรยามหัศจรรย์อย่างยาต้มเซิงหมากระดองเต๋านี้เช่นกัน
จางจัวเหลียงมองท่านปู่ที่นั่งอยู่ด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ราวกับมีเรื่องในใจ กล่าวว่า “ท่านปู่ไม่นอนพักเป็นเพราะกังวลว่าสูตรยานี้จะไม่ได้ผลหรือ”
ท่านหมอจางยิ้มมุมปาก กล่าวว่า “ท่านเจ้าอาวาสผู้นั้นแม้ว่าจะอายุยังน้อย แต่วิชาแพทย์กลับไม่เลวเลย กระทั่งวิชาอาคมก็แก่กล้า หากสูตรยานี้ไม่ได้ผล เช่นนั้นคนทั้งหมู่บ้านก็เกรงว่าจะไม่รอดแล้ว”
อย่างไรเสียพวกเขาก็กำลังแข่งขันกับเวลา หากไม่ได้ผลทางการจะต้องรีบดำเนินการในทันที ทำให้ผู้คนและสิ่งของในหมู่บ้านแห่งนี้กลายเป็นผุยผง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วท่านปู่กังวลอะไรอยู่หรือ”
ท่านหมอจางมองไปยังหลานชาย ถอนหายใจพลางกล่าวว่า “การเรียนรู้วิชาแพทย์นั้นไม่มีที่สิ้นสุด เหนือภูเขายังมีภูเขา เหนือคนยังมีคน ข้ากำลังคิดว่าอาจจะไม่ควรเอาแต่อยู่ในโรงหมอ บางทีข้าควรจะออกไปข้างนอกบ้างหรือไม่”
จางจัวเหลียงตกตะลึง “ท่านปู่?”
ท่านหมอจางตบบ่าเขาเบาๆ กล่าวว่า “ไปพักผ่อนเถิด อาศัยโอกาสที่หลับได้พักผ่อนให้มากหน่อย แม้ว่าได้ใช้สูตรยาไปแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้ผลทั้งหมดหรือไม่”
จางจัวเหลียงพยักหน้าแล้วเดินออกไป ในใจรู้สึกไม่สงบเล็กน้อย เขาอดหันกลับไปมองไม่ได้ เห็นว่าท่านปู่นั่งอยู่หน้าโต๊ะเตี้ย มีแสงเทียนสลัวๆ ส่องบนใบหน้าของเขา ดูชรามากอย่างเห็นได้ชัด
ท่านปู่แก่ชราแล้ว
การตระหนักรู้นี้ทำให้เขาหัวใจเต้นรัว
อีกด้านหนึ่ง เจ้าโสมน้อยก็ได้ไล่ถามเถิงเจาว่าท่านหมอจางผู้นั้นมีอะไรแปลกกันแน่
“เจ้ามีชีวิตอยู่มาพันปีแล้วก็ยังมองไม่ออก นับประสาอะไรกับข้าที่ยังมีชีวิตเพียงแค่สิบกว่าปีเท่านั้น” เถิงเจากล่าวอย่างเหลืออด
เจ้าโสมน้อยสำลัก กล่าวว่า “เจ้ากล่าวมาตามตรง เจ้ากำลังบอกว่าข้าตาบอด ตบะไม่สูงพอใช่หรือไม่”
“เปล่า”
“เหอะ มิเช่นนั้นเจ้าจะพูดเรื่องที่ข้ามีชีวิตอยู่มาพันปีแล้วทำไม แม้ว่าข้าจะอยู่มาหลายปี แต่ข้าก็เป็นเพียงสมบัติอันล้ำค่า ปกติสิ่งที่ทำเป็นส่วนใหญ่คือการดูดซับแก่นแท้ของแสงอาทิตย์และแสงจันทร์เพื่อทำให้ตัวเองมีพลังวิญญาณมากขึ้น แต่หากจะพูดถึงตบะและความเก่งกาจ ข้าอาจจะไม่ได้เก่งกาจเท่ากับผีที่ฝึกบำเพ็ญมาหลายร้อยปีเหล่านั้น” เจ้าโสมน้อยเอ่ยอย่างหงุดหงิด
เถิงเจากล่าวว่า “อย่าได้ดูถูกตัวเอง แม้ว่าเจ้าจะไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย นอกจากสามารถทำให้ฟื้นจากการตายได้ แต่เพียงแค่สิ่งนี้ก็เก่งกาจยิ่งกว่าปีศาจมากแล้ว ในใต้หล้านี้ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาหรือภูตผีปีศาจ ใครบ้างที่ไม่อยากได้เจ้า”
เจ้าโสมน้อยมุมปากกระตุกก่อนจะเอ่ย “เจ้าพูดให้น้อยลงหน่อยจะดีกว่า นิ่งเสียตำลึงทองดูเหมือนจะทำให้เจ้าเหมือนผู้สูงส่งขึ้นมาบ้าง แต่อย่าได้คิดไปปลอบใจใครเด็ดขาด มิเช่นนั้นนอกจากจะปลอบใจไม่สำเร็จแล้ว กลับทำให้รู้สึกหมดหวังกว่าเดิม”
ฟังสิ นอกจากถูกกินก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีก นี่เป็นการปลอบใจหรือ
เห็นได้ชัดว่าเป็นการโจมตีที่รุนแรง!
เถิงเจาหลับตาอย่างไม่สบอารมณ์
“เจ้าไม่อยากรู้หรือ”
เจ้าโสมน้อยสบถ
เถิงเจานั่งขัดสมาธิ มือทั้งสองข้างร่ายคาถา กล่าวว่า “อยากรู้ก็อดกลั้นไว้ อย่างไรเสียตอนนี้ก็ไม่สามารถไขปริศนาได้” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็กล่าวว่า “ในเมื่อท่านอาจารย์สามารถเห็นถึงสิ่งผิดปกติได้ภายในพริบตาเดียว แต่พวกเรามองไม่เห็น เช่นนั้นก็หมายความว่าพวกเรายังฝึกบำเพ็ญได้ไม่ดีพอ ต้องทำตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น”
เขายังขาดทักษะวิชาเต๋าอีกมากมาย
เมื่อเจ้าโสมน้อยเห็นว่าเขาเข้าสู่สมาธิก็เบะปาก คนโตเป็นจอมมารผู้ยิ่งใหญ่ คนเล็กก็บ้าคลั่งอยู่กับการฝึกบำเพ็ญ เหอะ
…
ทางด้านมณฑลอันหนานมีโรคระบาด ย่อมไม่สามารถปกปิดได้ อย่างไรเสียตอนนี้ไม่ใช่เพียงแค่หมู่บ้านเดียวที่เกิดโรคระบาด แต่ได้แพร่กระจายไปยังสถานที่อื่นแล้ว ไม่เพียงแต่แพร่กระจายจากคนสู่คนอย่างรวดเร็ว ซ้ำอาการกำเริบและตายเร็วด้วยเช่นกัน
เพียงแค่เจ็ดวัน มณฑลอันหนานได้มีคนตายไปแล้วถึงหนึ่งร้อยคนเนื่องจากโรคระบาดหนูระลอกนี้ ในเวลานี้ทุกคนทั้งมณฑลอันหนานตกอยู่ในอันตราย ไม่กล้าไปไหนตามอำเภอใจ
และในขณะที่มณฑลอันหนานกำลังเตรียมที่จะกวาดล้างหลี่เจียถุนซึ่งเป็นจุดที่โรคระบาดร้ายแรงที่สุด ทางด้านอารามชิงผิง เนื่องจากสูตรยาใหม่นั้นมีประสิทธิภาพอย่างหน้าอัศจรรย์ ไม่มีผู้ติดโรคระบาดเพิ่มอีก และผู้ที่ติดโรคแล้วก็ไม่ได้เสียชีวิตซ้ำยังอาการดีขึ้น
นักพรตหลินและคนอื่นๆ รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก โรคระบาดสามารถควบคุมได้เร็วขนาดนี้ นับว่าพวกเขาได้เห็นเป็นบุญตา และด้วยเหตุนี้จึงได้มองออกว่าวิชาแพทย์ของฉินหลิวซีล้ำเลิศเป็นอย่างมาก พากันเอ่ยชมไม่หยุด
“ล้วนเป็นเพราะการระดมความคิด”
ฉินหลิวซีไม่ได้รับความดีความชอบไว้คนเดียว แต่ได้ใช้โอกาสนี้เลือกผู้ป่วยสองสามรายที่ดูเหมือนมีอาการแตกต่างกันออกไปมาเป็นคนทดลองยา บนพื้นฐานของยาต้มเซิงหมากระดองเต๋า ได้เพิ่มและลดวัตถุดิบยาบางชนิดออกเพื่อดูผล
วิชาแพทย์ ต้องให้คนรุ่นก่อนสรุปประสบการณ์และจดบันทึก คนรุ่นต่อๆ ไปจึงจะได้เรียนรู้ประสบการณ์อันทรงคุณค่าเหล่านั้น ในภายภาคหน้าเมื่อได้พบกับโรคประเภทเดียวกันอีกก็จะมีวิธีแก้ไขได้
คนรุ่นก่อนปลูกต้นไม้ คนรุ่นหลังได้ร่มเงา สิ่งนี้สามารถใช้ได้กับทุกสถานการณ์ และในด้านการแพทย์ก็ยิ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนา
ฉินหลิวซีไปที่หลี่เจียถุนอีกครั้ง เนื่องจากมีคนรนหาที่ตาย
หลังจากที่ผู้ว่าการหลิวตื่นตระหนกอยู่สองวันเพราะถูกคลุมถุงกระสอบและปล้นห้องตำรา เมื่อเห็นว่าตัวเองไม่เป็นอะไรก็ค่อยๆ วางใจแล้วเริ่มแก้ไขปัญหาในหลี่เจียถุน โดยมีความตั้งใจที่จะเผาหมู่บ้าน เหตุผลก็คือมีคนติดเชื้อจากข้างนอกมากขึ้นเรื่อยๆ จับมารวมกันแล้วไปจัดการที่หลี่เจียถุนทีเดียว
ในขณะเดียวกัน หวงหวยฮั่วน้องชายภรรยาของเขาผู้นั้นก็ชี้ตัวว่าเถิงเจาและคนอื่นๆ ตัดหนอนน้อยของเขา แม้ว่าจะไม่มีหลักฐาน แต่ผู้ว่าการหลิวกลัวการถูกฮูหยินของตัวเองพัวพัน และนึกถึงความอับอายที่ไม่สามารถรับเถิงเจาเป็นลูกเขยได้ จึงได้ใช้ข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลเหตุมาจับตัวเถิงเจาและเจ้าโสมน้อย
เมื่อหวังเจิ้งทราบเรื่องก็โกรธเป็นอย่างมาก พยายามหยุดเขาจนถึงที่สุด ไม่ต้องพูดถึงว่าเถิงเจาและคนอื่นๆ ได้ทำร้ายร่างกายหวงหวยฮั่วหรือไม่ ด้วยพฤติกรรมของหวงหวยฮั่วที่รังแกบุรุษขืนใจสตรี ขูดเลือดขูดเนื้อราษฎร ถูกคนทุบตีจนตายก็นับว่าเป็นการปัดเป่าภัยให้ราษฎร ดังนั้นถูกตัดแล้วก็ถูกตัดไป จับโจรก็ต้องมีหลักฐาน อย่างไรเสียเจ้าก็ไม่มีหลักฐานว่าเขาเป็นคนทำ
อ้อ หากอยากจะบอกว่าผู้ว่าการทำอะไรไม่ต้องการหลักฐาน มีตำแหน่งขุนนางสูงกว่าหนึ่งระดับกระทั่งมีคนคอยคุ้มกะลาหัว เช่นนั้นก็ต้องขออภัยด้วย เขาก็มีคนคุ้มกะลาหัวเช่นกัน ท่านปู่ของเขาเป็นอดีตมหาเสนาบดีหวังที่กำลังเกษียณอายุอย่างมีเกียรติ มีลูกศิษย์ที่มีอำนาจมากมายเกินกว่าจะนับได้
อีกอย่าง หลี่เจียถุนเกิดโรคระบาดหนู แพร่กระจายรวดเร็วเป็นอย่างมาก ผู้ที่กล้ามารักษาการกุศลที่นี่นอกจากพวกเถิงเจาสองคนแล้ว รวมแล้วก็แค่หกคน เจ้ายังจะเอาตัวสองคนนี้ไป รังเกียจว่าคนที่คอยช่วยเหลืออยู่ที่นี่มากเกินไปหรือ หากไปถึงหูเบื้องสูง เพียงแค่เหตุนี้ก็ไม่ต้องคิดว่าจะได้ใส่หมวกดำแล้ว!
นี่ยังไม่ใช่ทั้งหมด ทั้งๆ ที่มีสูตรยามหัศจรรย์รักษาโรคระบาดหนูได้ ผู้ป่วยเหล่านั้นก็เริ่มอาการดีขึ้นแล้ว แต่ เจ้ายังคงจะจุดไฟเผาหมู่บ้าน นี่ไม่ใช่การเห็นชีวิตคนเป็นผักปลาหรือ
และสูตรยามหัศจรรย์ที่ทำให้คนเรานั้นดีขึ้น ก็ยังเป็นอาจารย์ของเถิงเจาที่เขาต้องการจะจับตัวคิดค้นขึ้นมา ไม่เพียงแต่ไม่ให้ผลงาน ซ้ำยังต้องการเอาผิดลูกศิษย์ของนาง นี่ไม่ใช่เพียงแค่การแก้แค้นส่วนตัว ซ้ำยังเป็นการข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพาน ไม่มีความเป็นคน!
หากเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป ยังจะมีหมอคนไหนยินดีมารักษาการกุศลโดยไม่กลัวว่าหากรักษาได้ไม่ดีก็จะถูกปฏิบัติอย่างผู้กระทำผิดอีก
ผู้ว่าการหลิวถูกลาถีบกระโหลกหรือว่ามีน้ำคลั่งในสมองกันแน่
โง่ไปแล้วหรือ
“ใต้เท้า โรคระบาดหนูได้ค่อยๆ ถูกควบคุมด้วยสูตรยามหัศจรรย์แล้ว หลี่เจียถุนก็ไม่ได้มีผู้ป่วยรายใหม่แล้ว เห็นได้ว่าสูตรยานี้มีประสิทธิภาพ หากจะเผาหมู่บ้านนั้นไม่เหมาะสมจริงๆ” หวังเจิ้งกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “อีกอย่างพวกเสวียนอีก็เป็นนักพรตอารามชิงผิง สูตรยาดีนี้ก็เป็นอาจารย์ปู้ฉิวเจ้าอาวาสอารามชิงผิงกับท่านหมอจางเป็นคนคิดค้นขึ้นมา แต่ท่านกลับต้องการเอาผิดด้วยข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลความจริง หากเผยแพร่ออกไปเกรงว่าจะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของใต้เท้า”
ผู้ว่าการหลิวกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ใต้เท้าหวัง เจ้ากำลังสอนข้าให้ทำสิ่งต่างๆ อยู่หรือ ข้ารู้เพียงว่ามีคนจำนวนมากเสียชีวิตในหลี่เจียถุน แต่ไม่เห็นว่าจะมีใครดีขึ้น และผู้ที่ติดโรคระบาดอยู่ข้างนอกก็มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อโรคระบาดหนูนี้แพร่กระจายไปทั้งมณฑลอันหนาน ต่อให้เป็นอดีตมหาเสนาบดีหวังก็ปกป้องเจ้าไม่ได้!”
หวังเจิ้งด่าบรรพบุรุษของเขาไปสิบแปดรุ่นอยู่ในใจ กล่าวว่า “ใต้เท้า ทุกอย่างล้วนมีกระบวนการ แม้ว่าจะมีสูตรยามหัศจรรย์ออกมาแล้ว แต่ก็เป็นไปไม่ได้ว่าทันทีที่ดื่มยา พวกเขาก็จะสามารถลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้นได้ในทันที เพียงแต่จะค่อยๆ ดีขึ้นเท่านั้น ข้าหมายความว่าให้รีบประกาศสูตรยามหัศจรรย์นี้ให้กับโรงหมอต่างๆ โดยเร็วที่สุด เคี่ยวยาต้มออกมาให้ราษฎรได้ดื่มก่อนหนึ่งชาม สามารถป้องกันโรคระบาดและรักษาโรคได้ เผาหมู่บ้านไม่ใช่วิธีการที่ดี โปรดอภัยที่ข้าไม่สามารถเห็นด้วยกับสิ่งนี้ได้!”
“เจ้าเป็นผู้น้อยที่ขัดเบื้องสูง คิดอยากจะนั่งตำแหน่งนี้ของข้า ออกคำสั่งแทนข้าหรือ” ผู้ว่าการหลิวสีหน้ามืดครึ้ม
“ข้าน้อยมิบังอาจ!”
ผู้ว่าการหลิวแสยะยิ้ม “ข้าเห็นว่าเจ้าบังอาจจะตายไป ทหาร เชิญใต้เท้าหวังออกไป ให้ทหารขับไล่ทุกคนในหลี่เจียถุนไปที่ลานต้นหวย ใต้เท้าหวัง ตั้งแต่สมัยโบราณเมื่อโรคระบาดไม่มีวิธีรักษา นี่ล้วนเป็นวิธีการรักษาโรคระบาดที่ง่ายและรวดเร็วที่สุด และยังเป็นกลยุทธ์ที่ดีในการหลีกเลี่ยงการเสียชีวิตมากขึ้น ในฐานะขุนนาง มีบางเรื่องที่รู้ว่าทำไม่ได้แต่ก็ต้องทำ นั่นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อราษฎรทั้งใต้หล้านี้ ข้ากล้าที่จะแบกรับชื่อเสียงคนเลวนี้”
ลานต้นหวย ก็คือสถานที่กองร่างผู้เสียชีวิตในหลี่เจียถุนเมื่อก่อนหน้านี้ นี่เป็นการพาทุกคนไป ‘ประหารชีวิต’ ที่นั่น
หวังเจิ้งสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที กำหมัดแน่น “ใต้เท้าโปรดทบทวนให้ดี”
ผู้ว่าการหลิวสบถ “หากใต้เท้าหวังกลัวจะเสียชื่อเสียง ก็ไม่สู้ลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านไปแต่เนิ่นๆ มัวรออะไรอยู่อีก ยังไม่รีบไปต้อนคนในหลี่เจียถุน แล้วก็ยังมีนักพรตน้อยอีกสองคน จับตัวมาให้ข้าแล้วพาไปที่คุกใหญ่”
“ใต้เท้า ท่านคิดดีแล้วหรือ นั่นเป็นถึงนักพรตอารามชิงผิงเชียวนะ”
หวังเจิ้งเน้นคำว่านักพรต เพื่อเป็นการเตือนเขา มีบางคนที่คนอย่างหลิวหวยจงไม่สามารถล่วงเกินได้
ผู้ว่าการหลิวกล่าวว่า “เบื้องสูงฝ่าฝืนกฎหมาย ก็มีความผิดเช่นเดียวกันกับราษฎร! พวกเขาทั้งสองคน มีพยานเห็นว่าพวกเขาทุบตีขุนนางหวงผู้ดำเนินการทางน้ำ ข้าย่อมต้องสืบหาความจริง เจ้าไม่ต้องกลัวว่าข้าจะใส่ร้ายพวกเขา หากไม่มีเรื่องเช่นนี้ข้าย่อมปล่อยคนไป”
หวังเจิ้งหัวเราะด้วยความโกรธกับคำพูดอันชอบธรรมนี้ คิดในใจว่าเขาถูกผีเข้าสิงหรือ เหตุใดจึงได้เสียสติอย่างกะทันหัน
เขากลับไม่รู้ว่าการดื้อรั้นรนหาที่ตายของผู้ว่าการหลิวนั้นมาจากการถูกชักจูง และผู้ที่คิดกลอุบายเล็กๆ น้อยๆ นี้ย่อมเป็นเจ้าโสมน้อย