คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1133 หมวกขุนนางของเจ้า ข้าทำนายว่าจะไม่มีแล้ว
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 1133 หมวกขุนนางของเจ้า ข้าทำนายว่าจะไม่มีแล้ว
ตอนที่ 1133 หมวกขุนนางของเจ้า ข้าทำนายว่าจะไม่มีแล้ว
เมื่อมองเห็นคนของที่ว่าการสองคนเดินมาหาตัวเองอย่างถมึงทึง เถิงเจาก็กล่าวกับเจ้าโสมน้อยด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกว่า “เจ้าทำเช่นนี้ หากท่านอาจารย์มาข้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้!”
เจ้าโสมน้อยสบถ “คนแซ่หลิวผู้นี้กล้าใช้อำนาจของทางการมาข่มขู่เจ้าก่อน ให้ข้าสั่งสอนเขาแทนเจ้าไม่ได้หรือ อีกสักครู่ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ พอเขาได้สติกลับคืนมา ข้าจะไม่พลาดสีหน้าที่น่าดูของเขาอย่างแน่นอน”
เถิงเจาหลับตาลงเล็กน้อย ท่องพระสูตรอย่างใจเย็น
ส่วนท่านหมอเกากับคนอื่นๆ ที่อยู่ไม่ไกลต่างก็มีสีหน้าวิตกกังวล พวกเขาก็คิดไม่ถึงว่าผู้ว่าการหลิวจะบ้าคลั่งขนาดนี้ขึ้นมากะทันหัน ไม่เพียงแต่อยากจะเอาตัวของนักพรตน้อยไป ซ้ำยังวางแผนที่จะเผาหมู่บ้าน แล้วความพยายามทั้งหมดเมื่อก่อนหน้านี้นั้นมีความหมายอะไร
ท่านหมอจางเอ่ย “จะเป็นเช่นนี้ไม่ได้ พวกเราจะยืนดูอยู่เฉยๆ ไม่ได้”
เขาก้าวไปข้างหน้า จางจัวเหลียงสีหน้าเปลี่ยนไป รีบตามไปทันที กล่าวว่า “ท่านปู่…”
“เหลียงเอ๋อร์ หากวันนี้ข้าไม่ช่วยพูดแทนนักพรตน้อยทั้งสอง ในวันหน้าพวกเราก็จะกลายเป็นเหมือนพวกเขา” ท่านหมอจางหลับตาลง ราวกับได้ตัดสินใจแล้ว กล่าวว่า “ข้ามีชีวิตอยู่มามากพอแล้ว ได้เวลาตอบแทนแล้ว”
ท่านหมอเกาและคนอื่นๆ มองหน้ากัน ตัดสินใจแล้วเช่นกัน จึงตามไปด้วย พวกเขาก็ต้องช่วยพูดแทนนักพรตน้อย
เจ้าโสมน้อยไม่เข้าใจ กล่าวว่า “เดี๋ยวนะ ตาเฒ่าจางผู้นี้เป็นคนดีหรือไม่ดีกันแน่ ดูจากท่าทางที่เขาอยากจะออกหน้าแทนพวกเรา ก็ดูเหมือนไม่ได้แกล้งทำ”
เถิงเจากล่าวว่า “ทุกคนล้วนมีสองด้าน”
ส่วนท่านหมอจางเป็นคนดีหรือไม่นั้น เชื่อว่าท่านอาจารย์จะช่วยไขข้อสงสัยให้พวกเขา
เจ้าโสมน้อยขยับนิ้วไปทางหลี่เจียถุนที่อยู่ทางด้านหลังพวกเขา จู่ๆ ไม่รู้ว่ามีใครตะโกนในพื้นที่กักกันว่าผู้ว่าการหลิวกำลังจะเผาพวกเขาทั้งหมดให้ตาย ทุกคนต่างพากันตื่นตระหนก
ได้มีสูตรยาดีรักษาโรคระบาดนี้แล้วไม่ใช่หรือ พวกเขาก็ล้วนอาการดีขึ้นแล้ว เหตุใดยังถูกคนของทางการเผาเล่นเป็นผักปลา
เมื่อคนหนึ่งตื่นตระหนก ทุกคนก็ตื่นตระหนกตาม ไม่รู้ว่าใครบอกว่าจะสู้ตาย จึงได้พากันวิ่งออกไป
สู้ตายสักตั้ง พวกเขายังมีชีวิตอยู่รอดได้ แต่หากนั่งอยู่เฉยๆ พวกเขาก็จะตายอยู่ในกองไฟ
เจ้าโสมน้อยรู้สึกผิดเล็กน้อย ครอบครัวตระกูลหลิวชั่วช้า เขาก็แค่อยากจะสอนบทเรียนสำคัญให้พวกเขา
เมื่อเห็นคนในหลี่เจียถุนต่างพากันพุ่งมาที่ทางเข้าหมู่บ้าน ทุกคนก็พากันตกใจ ทหารเล่านั้นได้เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ทันที
“เร็ว รีบจุดไฟ จะปล่อยให้พวกเขาวิ่งออกมาไม่ได้” ผู้ว่าการหลิวหน้าซีดด้วยความหวาดกลัว กระทั่งเขาได้เห็นใบหน้าของบุคคลที่วิ่งอยู่ข้างหน้าสุดว่ามีใบหน้าเขียวและดุร้ายเป็นอย่างมาก
ท่านหมอจางคุกเข่าลงอย่างแรง “ไม่ได้นะใต้เท้า ข้ากล้ารับรองด้วยชีวิตว่ายาต้มเซิงหมากระดองเต่าสามารถรักษาโรคระบาดหนูได้ ชาวบ้านเหล่านี้ล้วนอาการดีขึ้นเรื่อยๆ ผ่านไปอีกสักพักพวกเขาก็จะหายดีอย่างแน่นอน มีสูตรยาดีแล้ว ไม่มีการแพร่ระบาดจากคนสู่คนอีกแน่นอน หากรายงานเบื้องบน นี่ก็จะเป็นผลงานอันยิ่งใหญ่ของใต้เท้า”
เจ้าโสมน้อยเบะปาก “เขาคู่ควรที่จะได้รับผลงานนี้ด้วยหรือ”
เถิงเจาไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแต่จ้องมองท่านหมอจางอย่างตั้งใจ
ท่านหมอเกาและคนอื่นๆ ก็คุกเข่าขอความเมตตาเช่นกัน ล้วนสนับสนุนคำพูดของท่านหมอจาง อย่างที่หวังเจิ้งกล่าว ไหนเลยจะมียาที่กินแล้วสามารถกระโดดโลดเต้นได้ทันที แม้แต่อาการไข้หวัดธรรมดาก็ยังต้องใช้เวลาจึงจะหายดี แล้วนับประสาอะไรกับโรคระบาดหนูที่รุนแรงนี้
อาการป่วยมาเร็วแต่ฟื้นตัวช้า พวกเขาเข้าใจหรือไม่
“จุดไฟ เผาพวกเขาให้ตาย!” ผู้ว่าการหลิวไม่ฟัง
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังปัง มีบางอย่างหล่นลงมาต่อหน้าต่อตาชาวบ้านเหล่านั้น ทุกคนสายตาพร่ามัว คนผู้หนึ่งสวมชุดลัทธิเต๋าสีเขียวใช้ปิ่นปักผมไม้กลัดมวยผมปรากฏขึ้นมาในสายตา
หากไม่ใช่ฉินหลิวซีแล้วจะเป็นใคร
ฉินหลิวซีสะบัดแขนเสื้อ กระดิ่งสามบริสุทธิ์ปรากฏขึ้นในมือ เมื่อสั่นกระดิ่งพลันก็ส่งเสียงดังกังวานใส จิตวิญญาณเต๋าที่มองไม่เห็นออกมาจากกระดิ่ง ชาวบ้านที่ต้องการจะสู้ตายกับทหารเหล่านั้นก็ดูเหมือนจะอารมณ์สงบลงแล้ว ทุกคนต่างนิ่ง มองไปที่คนผู้นั้น
ฉินหลิวซีจ้องมองไปยังเถิงเจาและคนอื่นๆ
เถิงเจาชี้ไปยังเจ้าโสมน้อย ฝีมือเขา!
เจ้าโสมน้อยยิ้มอย่างลำบากใจ ฉีกยิ้มพลางกล่าวเสียงเบาว่า “เจ้าเด็กใจร้าย ข้าทำไปก็เพื่อใคร เจ้ายังมาฟ้องข้าอีก”
เถิงเจาใบหน้านิ่ง เอ่ยว่า “ท่านอาจารย์สอนมา ใครจะตายก็ได้แต่ต้องไม่ใช้ข้า”
ฉินหลิวซีเหลือบมองหมอเหล่านั้นที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ค่อยๆ เดินไปอยู่ตรงหน้าผู้ว่าการหลิว กล่าวว่า “จุดไฟเผาหมู่บ้านหรือ เอาเลย แต่ว่าน้องชายภรรยากับบุตรชายสุดที่รักของเจ้าล้วนติดโรคระบาดนี้แล้ว ก็ควรจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียบกัน
ผู้ว่าการหลิวมีสติกลับคืนมาตอนที่เสียงกระดิ่งดังขึ้น สีหน้าราวกับเห็นผี ข้าอยู่ที่ไหน ข้ากำลังทำอะไร
ในเวลานี้เมื่อได้ยินคำพูดของฉินหลิวซี เขาก็มองไป เมื่อครู่ได้มีเสียงดัง ที่แท้ก็เป็นหวงหวยฮั่วกับบุตรชายของเขาถูกโยนไปไว้ในกลุ่มของชาวบ้าน ทั้งสองคนก็หันหน้ามาหาเขาพอดี แก้มทั้งสองข้างมีสีแดงผิดปกติ มุมปากมีเลือดสีดำไหลออกมา เป็นอาการเดียวกันกับโรคระบาดหนูไม่ใช่หรือ
ผู้ว่าการหลิวต้องการจะบุกเข้าไปตามสัญชาตญาณ เขามีบุตรชายสุดที่รักเพียงคนเดียวเท่านั้น จะให้เกิดเรื่องขึ้นไม่ได้ แต่เมื่อวิ่งไปได้สองก้าวก็คิดขึ้นมาได้ว่านี่เป็นโรคระบาดหนูจึงชะงักฝีเท้า เขาจ้องมองไปยังฉินหลิวซี
“จุดไฟสิ ต้องการจะเผาคนเหล่านี้ไม่ใช่หรือ” ฉินหลิวซีกล่าวเหน็บแนมว่า “อย่างไรเสียก็ล้วนติดโรคระบาดกันทั้งหมด จะสนทำไมว่าพวกเขาสามารถรักษาหายได้หรือไม่ เผาให้จบๆ ไป ท่านผู้ว่าการเหตุใดจึงยังไม่ออกคำสั่ง”
“เจ้า เจ้า…” ผู้ว่าการหลิวชี้ไปที่นาง
หวังเจิ้งถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก้าวเข้าไปคำนับฉินหลิวซี “ท่านเจ้าอาวาสปู้ฉิว ท่านมาได้ทันเวลาพอดีจริงๆ”
ฉินหลิวซีเอ่ย “หากข้ามาไม่ทัน เจ้าจะทำอย่างไร”
หวังเจิ้งยิ้มอย่างขมขื่น “หากไม่อาจเกลี้ยกล่อมได้ เช่นนั้นข้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสู้ตายไปกับชาวบ้านเหล่านี้แล้ว”
หากเขาเข้าไปในหมู่บ้าน คิดว่าผู้ว่าการหลิวจะไม่กล้าลงมือกับเขา เขาเป็นหลานชายเพียงคนเดียวของตระกูลหวังเชียวนะ
ฉินหลิวซีแสยะยิ้ม “โง่เง่า! เจ้าคิดว่าหากสู้ตายไปกับชาวบ้านแล้วเขาจะไม่กล้าทำเรื่องโง่เง่าเช่นนี้หรือ เมื่อจุดไฟเผา เขาก็ยังขอผลงานให้เจ้าได้ บอกว่าเจ้าได้เสียสละชีวิตอย่างกล้าหาญเพื่อราษฎร ได้รับชื่อเสียงที่ดี แต่คนได้ตายไปแล้ว ชื่อเสียงที่ดีจะไปมีประโยชน์อะไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าได้สูญเสียชีวิตอย่างโง่เขลา”
หวังเจิ้ง “…”
“หากข้าเป็นเจ้า ก็จะทุบตีเขาสักยก ยึดอำนาจมาช่วยราษฎรก่อนแล้วค่อยว่ากัน เจ้าเองก็เป็นบุตรชายตระกูลขุนนาง ภูมิหลังครอบครัวของเขาย่อมไม่ดีเท่าเจ้า อย่างมากเขาก็ทำได้แค่ถวายฎีกาฟ้องร้องเจ้า แต่ฟ้องก็ฟ้องไป เจ้าจะสูญเสียไปสักเท่าไหร่กัน” ฉินหลิวซีกล่าวว่า “หากเขาฟ้องเจ้า เจ้าก็ยังสามารถโต้แย้งปกป้องตัวเองในราชสำนักได้ เพราะเขาเพิกเฉยต่อชีวิตของราษฏร ทั้งๆ ที่รู้ว่าโรคระบาดหนูได้มีสูตรยารักษาแล้ว แต่ก็ยังดื้อรั้นที่จะเผาหมู่บ้าน เขากลัวว่าเมื่อคนเหล่านี้หายดีแล้วข่าวจะแพร่กระจายไปทั้งต้าเฟิง เขากลัวว่าใต้หล้าจะสงบสุข เจ้ามีเหตุผลทุกประการที่จะสงสัยว่าเขาเป็นสายลับจากอาณาจักรอื่นต้องการจะนำปัญหามาสู่ต้าเฟิง ดูขุนนางชั้นต่ำอย่างเขาสิว่าทำตัวอย่างไร เอาข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลมาใช้ประโยชน์ ส่วนเจ้า แค่ใส่ความเขาก็ทำไม่เป็นหรือ”
นางล้มหลักการถูกผิดและกระทำการอย่างเปิดเผย!
นางร้ายไม่เบาเลย!
ท่านหมอหยางกับท่านหมอเกาพยุงกันลุกขึ้น คิดในใจว่าคำขอโทษของพวกเขาเมื่อก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะยังไม่พอ จะดีกว่านี้หากขอโทษอย่างจริงใจอีกครั้ง
ผู้ว่าการหลิวโกรธมาก “เจ้าๆๆๆ…”
“เจ้าอะไรกัน อาศัยโอกาสที่เจ้ายังสวมหมวกขุนนางอยู่ รีบออกคำสั่งของขุนนางเป็นครั้งสุดท้าย หมวกขุนนางของเจ้า ข้าทำนายว่าจะไม่มีอีกแล้ว หากไม่ออกคำสั่ง ในภายภาคหน้าเจ้าจะไม่มีอำนาจไว้อวดเบ่งอีกต่อไปแล้ว” ฉินหลิวซีสบถอย่างเย็นชา
หมายความว่าอย่างไร
เสียงกีบม้าดังขึ้น ทุกคนมองไปตามเสียง กลับเห็นชื่อสื่อ[1]แห่งหนิงโจวนั่งอยู่บนหลังม้าสูงอยู่ตรงหน้า มองไปยังผู้ว่าการหลิวอย่างเย็นชา กล่าวว่า “ทหาร จับตัวหลิวหวยจงขุนนางผู้กระทำผิดผู้นี้ไปให้ข้า!”
[1]ชื่อสื่อ(刺史) ผู้ตรวจการมณฑล