คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1135 เจ้าไม่สมควรพูดว่าไม่มีอะไรต้องรู้สึกผิด
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 1135 เจ้าไม่สมควรพูดว่าไม่มีอะไรต้องรู้สึกผิด
ตอนที่ 1135 เจ้าไม่สมควรพูดว่าไม่มีอะไรต้องรู้สึกผิด
ฉินหลิวซีมองดูชายชราที่อยู่ตรงหน้า เนื่องจากได้ป้องกันโรคระบาดเพื่อไม่ให้คร่าชีวิตผู้คนไปจำนวนมากกว่านี้ บนตัวของเขาได้มีบุญกุศลเพิ่มขึ้นกว่าตอนที่ได้พบกันครั้งแรกไม่น้อย อดเม้มริมฝีปากไม่ได้
ไม่ไกลมากนัก เจ้าโสมน้อยถามเถิงเจาเสียงเบาว่า “เจ้าว่าพวกเราจะได้ยินความจริงหรือไม่”
เถิงเจา “หุบปากแล้วเงี่ยหูฟัง”
เจ้าโสมน้อย “…”
ท่านหมอจางยกมือคำนับฉินหลิวซี ราวกับได้ตัดสินใจแล้ว ถามว่า “ท่านเจ้าอาวาสมีอะไรไม่พอใจข้าใช่หรือไม่”
ฉินหลิวซียิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “เหตุใดท่านหมอจางจึงกล่าวเช่นนี้ ท่านเป็นหมอ มีคุณธรรมอันสูงส่ง บุญกุศลมากมาย สมควรได้รับคำชมและความเคารพจากผู้คนจำนวนมาก”
ท่านหมอจางส่ายหน้า “แต่ในบรรดาคนจำนวนมากเหล่านี้ ไม่รวมเจ้าอาวาส”
เขาสัมผัสได้ถึงความห่างเหินและความเย็นชาของฉินหลิวซีที่มีต่อเขา แม้ว่านางจะไม่ได้พูดอะไรไม่ดีกับเขา แต่ก็ไม่ได้ให้ความเคารพเขาเหมือนกับคนอื่นๆ มีเพียงความเฉยชา
นางดูถูกเขา!
แม้ว่าอายุของเขาจะมากพอและจรรยาบรรณทางการแพทย์ก็ดีพอ แต่นางกลับไม่ให้ความเคารพเขา
ท่านหมอจางเงยหน้าขึ้น สบตากับฉินหลิวซี ดวงตาของอีกฝ่ายราวกับเมื่อพบกันครั้งแรก ยากที่จะหยั่งถึง สามารถมองเห็นความชั่วร้ายและความมืดมิดที่ลึกที่สุดในใจคน
เพียงแวบเดียวก็ทำให้หมอจางรู้สึกผิดในใจ อยากจะหลบหลีกสายตาคู่นั้น แต่เขาอดทนไว้ จนกระทั่งมีเหงื่อไหลออกมาตรงหน้าผาก ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ ยิ้มอย่างขมขื่นพลางกล่าวว่า “ท่านเจ้าอาวาสวิชาเต๋าล้ำเลิศ อยู่ในเขตแดนกึ่งเซียนแล้วกระมัง ได้มองเห็นทุกอย่างแล้วใช่หรือไม่”
ฉินหลิวซีกล่าวว่า “ใช่ เดิมทีเจ้าไม่ควรมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้”
นางชี้ให้เห็นตรงประเด็น
แม้ว่าท่านหมอจางจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่เมื่อถูกนางเปิดเผยอย่างกะทันหัน ก็ยังคงหน้าซีดด้วยความตื่นตระหนก ถอยหลังหนึ่งก้าว มือทั้งสองข้างสั่นเทา เขามองไปที่นาง สีหน้าซับซ้อนพลางเอ่ย “ข้า เดิมทีข้าก็ไม่อยาก…”
“แต่เจ้าก็ทำไปแล้ว เจ้ากลายเป็นเขา พรากทุกสิ่งของเขาไป ตัวตนของเขา ร่างกายของเขา ทุกสิ่งที่เขามี”
ฉินหลิวซีกล่าวอย่างเย็นชาว่า “จางฉงหมิงตัวจริงได้สูญหายไปนานแล้วภายใต้การควบคุมของเจ้า”
เขาคือจางฉงหมิง แต่ก็ไม่ใช่จางฉงหมิงตัวจริง เขาเป็นเพียงผีเร่ร่อนที่มาขโมยร่างไปตนหนึ่งก็เท่านั้น
ไม่ไกลนัก เถิงเจากับเจ้าโสมน้อยที่หูตาไวต่างมองหน้ากัน สีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย เป็นการยึดร่างหรือ
แต่การยึดร่างนี้ เข้ากันได้ดีเป็นอย่างมาก ไม่ได้มีความรู้สึกแปลกเลยแม้แต่นิด พวกเขาจึงมองไม่ออกถึงความขัดแย้งของดวงวิญญาณกับร่าง
แต่ท่านอาจารย์มองออกภายในพริบตาเดียว
เถิงเจากำหมัดแน่น เม้มริมฝีปาก เขายังฝึกบำเพ็ญเต๋าไม่เพียงพอ!
ท่านหมอจางกัดฟัน โต้เถียงอย่างไม่เต็มใจว่า “แต่ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด และไม่ได้ใช้ร่างกายของเขาทำชั่ว ในทางกลับกัน ข้าได้ถ่ายทอดวิชาแพทย์ของตระกูลจาง ซ้ำยังช่วยเหลือผู้คนมากมาย ข้าตอบแทนผู้อื่นด้วยความเมตตา และเต็มใจที่จะช่วยเหลือ ดังนั้นโรงหมอตระกูลจางจึงไม่เคยใช้สูตรยาราคาสูง มีราษฎรบางคนฐานะทางครอบครัวไม่ค่อยดี ข้าก็ยินดีที่จะให้ทยอยจ่าย แม้กระทั่งสถานที่ที่มีโรคระบาดซึ่งมีโอกาสถึงตาย ข้าก็ยังยินดีมารักษาการกุศล การกระทำของข้าไม่มีอะไรต้องรู้สึกผิด”
“เจ้าควรจะดีใจที่เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิดหรือทำเรื่องชั่วร้าย มิเช่นนั้นเจ้าคงไม่มีโอกาสมายืนพูดคุยอยู่ต่อหน้าข้าด้วยซ้ำ หากเจ้าทำชั่วมามากมาย เจ้าคงตายคามือข้าตั้งแต่ตอนเจอกันครั้งแรกแล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบว่า “ส่วนที่เจ้าบอกว่าการกระทำของเจ้าไม่มีอะไรที่ต้องรู้สึกผิด เจ้าแน่ใจหรือว่าไม่เสียใจที่พูดเช่นนี้ เจ้าอาจจะไม่ได้ทำผิดต่อราษฎรมากมายเหล่านี้ ไม่ได้ทำผิดต่อสวรรค์ แต่เจ้าไม่ได้ทำผิดต่อจางฉงหมิงหรือ”
ท่านหมอจางสีหน้าซีดในทันที
ฉินหลิวซีมองเขา กล่าวว่า “เจ้าได้ช่วยชีวิตผู้คนมากมาย ข้าเชื่อ และข้าก็รู้สึกชื่นชมเช่นกัน เพราะแสงสีทองแห่งบุญกุศลบนตัวเจ้านั้นไม่อาจปลอมแปลงขึ้นมาได้ มันหลอกสายตาข้าไม่ได้ แต่เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าจางฉงหมิงตัวจริงจะแย่ไปกว่าเจ้า เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะไม่สามารถช่วยผู้คนได้มากไปกว่าเจ้า กลายเป็นหมอเทวดาที่มีคุณธรรมสูงส่งอย่างแท้จริงหรือไม่ นับตั้งแต่แรกที่เจ้าขโมยร่างของเขาไป ไม่ว่าเขาจะมีความทะเยอทะยานมากแค่ไหนก็ล้วนสูญเปล่า”
ท่านหมอจางโซเซ มองนางอย่างว่างเปล่า ใบหน้าไร้สีสัน
ตอนเขายังมีชีวิตอยู่ได้หลงใหลในวิชาแพทย์เป็นอย่างมาก ซ้ำยังฝนเข็มวิเศษด้วยตัวเอง ตั้งใจที่จะเป็นหมอมหัศจรรย์เหมือนกับหัวถัว แต่โรคไข้หวันได้พรากชีวิตของเขาไป ชุดเข็มวิเศษของเขานั้นกระทั่งไม่ทันได้แสดงประสิทธิภาพด้วยมือของเขาด้วยซ้ำ
จางฉงหมิงได้ใช้เข็มวิเศษของเขาทำให้ปลุกเขาขึ้นมา กระทั่งดึงเขาออกมาจากเข็มวิเศษ เมื่อรู้ว่าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่เขาก็เป็นหมอ จางฉงหมิงจึงไม่กลัวเลยแม้แต่นิด กลับพูดคุยเรื่องทักษะวิชาแพทย์กับเขาอย่างกระตือรือร้น พวกเขามีความสนใจที่คล้ายกัน ศึกษาสูตรยาโบราณเหล่านั้นด้วยกัน ฝึกการฝังเข็มด้วยกัน ลิ้มรสสมุนไพรด้วยกัน
พวกเขาได้กลายเป็นสหายรู้ใจ
จางฉงหมิงก็เป็นคนรุ่นหลังที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานเช่นกัน พรสวรรค์ทางด้านการแพทย์ของเขาดีกว่าตัวเองเป็นอย่างมาก เขาใช้เข็มอย่างกล้าหาญ รวดเร็วและแม่นยำกว่าตัวเอง เขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์ด้านวิชาแพทย์มาแต่กำเนิด เป็นหมอที่มีพรสวรรค์ซึ่งสวรรค์ได้ประทานโอกาสมาให้ ที่เขาบอกว่าได้เรียนรู้วิชาแพทย์ของสำนักจางจ้งจิ่งนั้นเป็นเรื่องจริง
เขาอิจฉาเป็นอย่างมากที่จางฉงหมิงฉลาดหลักแหลมมีชีวิตชีวาเช่นนี้ เขามีความเป็นไปได้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด ส่วนตัวเองเป็นเพียงวิญญาณแค้น หากไม่ไปเกิดใหม่ก็จะสลายไปบนโลกใบนี้ในที่สุด
หากตัวเองเป็นจางฉงหมิงก็คงจะดี
ทันทีที่เกิดความคิดนี้ขึ้นก็ไม่สามารถระงับมันได้ และไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าตัวเองเป็นวิญญาณแค้นจึงได้ดูดซับพลังหยางของจางฉงหมิงไปมากมายหรือไม่ จึงทำให้บนร่างกายเขามีพลังหยินมากขึ้น เขาล้มป่วยเหมือนกับตัวเองในตอนนั้น ป่วยด้วยโรคไข้หวัด สะลึมสะลือ
เขากลัวว่าจางฉงหมิงจะเสียชีวิตเหมือนกับตัวเอง ดังนั้นจึงพุ่งเข้าใส่เขาโดยไม่รู้ตัว ทันทีที่กระโจนเข้าใส่ เขาก็กลายเป็นจางฉงหมิง
ในตอนแรกเขาไม่คุ้นเคยเล็กน้อยและรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก แต่ชีวิตที่สดใสเช่นนั้นทำให้เขาเกิดความโลภ และทำใจไม่ได้ที่จะละทิ้งไป เขาได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งทั้งที่เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดมาก่อน
ดวงวิญญาณของจางฉงหมิงหลับใหลอยู่ในส่วนลึกของจิตวิญญาณ ไม่รู้ว่าอยู่หรือตาย เขาได้กลายเป็นจางฉงหมิง เรียนรู้ทุกย่างก้าวของเขา ไม่ ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ด้วยซ้ำ พวกเขาอยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืนมาเป็นเวลานานขนาดนี้ เขารู้นิสัยและความเคยชินเล็กๆ น้อยๆ ของจางฉงหมิงเป็นอย่างดี ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าร่างกายนี้ได้เปลี่ยนเจ้าของไปแล้ว
เขากลายเป็นจางฉงหมิงอย่างสบายใจ เรียนรู้วิชาแพทย์ แต่งงานมีบุตร ช่วยเหลือผู้คนมากมาย แม้ว่าต่อมาจางฉงหมิงจะรู้สึกตัวแล้วต่อต้านเขา แต่เนื่องจากดวงวิญญาณของเขามีบุญกุศลที่แข็งแกร่งขึ้น จึงสามารถกดทับเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เขารู้สึกถึงความสดใสของชีวิต และไม่ต้องการกลายเป็นดวงวิญญาณขุ่นเคืองที่ไร้ตัวตนอีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะกดทับจางฉงหมิงไว้
เมื่อเห็นบุญกุศลที่ตัวเองได้สั่งสมมา จางฉงหมิงก็ไม่ได้แย่งร่างกายนี้ไปจากเขา แต่ก็ไม่มีมิตรภาพกับเขาอีกต่อไป
ส่วนตัวเองก็ไม่เคยไปที่อารามเต๋าหรือวัดเหล่านั้นเลย กลัวว่านักบวชเหล่านั้นจะค้นพบความจริง แม้ว่าในชีวิตประจำวันจะได้พบตามท้องถนน เขาก็หลบหลีกตามสัญชาตญาณ เพราะกลัวว่าจะสูญเสียทุกอย่างไป
การหลีกเลี่ยงนี้กินเวลามานานกว่าหลายสิบปี ตอนนี้เขาอายุหกสิบสองปีแล้ว หากไม่ใช่เพราะฉินหลิวซี เขาก็ลืมเรื่องเก่าไปแล้ว ถือว่าตัวเองเป็นจางฉงหมิงตัวจริง
แต่ของปลอมก็คือของปลอม ไม่มีวันเป็นของจริง เขาเป็นเพียงโจรขโมยร่างที่น่ารังเกียจ
ท่านหมอจางหมดอาลัยตายอยาก เผยให้เห็นรอยยิ้มอันขมขื่น กล่าวว่า “ท่านพูดถูก ข้าทำผิดต่อเขา ข้ายึดร่างของเขา นี่เป็นบาปของข้า บาปที่ข้าไม่อาจชดใช้ด้วยบุญกุศลอันมากมาย! ข้ายินดีคืนให้แก่เขา ท่านลงมือเถิด!”
ฉินหลิวซีมองดูเขาท่าทางมีคุณธรรมอันน่าเกรงขามก็รู้สึกน่าขันเล็กน้อย กล่าวว่า “เจ้าบอกว่าจะคืน ก็จะคืนได้หรือ ร่างกายนี้อายุหกสิบสองปีแล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าเขายังอยู่หรือไม่ ต่อให้เขายังอยู่ ร่างกายที่แก่ชรานี้ เขาจะยังสามารถทำอะไรได้ ช่วงอายุที่ดีที่สุดและความมุ่งมั่นมากทะเยอทะยานที่สุดของเขาได้ผ่านไปแล้ว”
ท่านหมอจางขอบตาแดง ริมฝีปากสั่น “เขา เขา…”
“เขาได้สลายไปแล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบว่า “หนึ่งร่างสองดวงวิญญาณไม่สามารถคงอยู่ร่วมกันได้ตลอดไป คำกล่าวที่ว่าเสือสองตัวไม่อยู่ถ้ำเดียวกัน หนึ่งในนั้นย่อมต้องถูกกดทับ สุดท้ายก็จะสลายไปในที่สุด ด้วยความที่บุญกุศลบนตัวเจ้าเพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆ ดวงวิญญาณก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ดวงวิญญาณของเขาก็จะยิ่งอ่อนแอลง บางทีเจ้าอาจไม่ได้ตั้งใจกดทับ แต่การมีอยู่ของเจ้าคือการกดทับ คือข้อจำกัด คือกฎเกณฑ์อย่างหนึ่ง”
ท่านหมอจางร่างกายโอนเอน สมองตื้อ
“สลายไป หมายความว่าดวงวิญญาณแตกสลาย ไม่สามารถกระทั่งกลับชาติไปเกิดได้ ดังนั้นเจ้ายังกล้าบอกว่าไม่มีอะไรต้องรู้สึกผิดอีกหรือ เจ้าคู่ควรแล้วหรือ”
ท่านหมอจางเจ็บหน้าอกอย่างรุนแรง รู้สึกกระอักกระอ่วนที่ลำคอ กระอักเลือดออกมาเต็มปาก คุกเข่าลงบนพื้น
“ท่านปู่” จางจัวเหลียงพุ่งเข้ามา พยุงเขาไว้ จ้องมองฉินหลิวซี “ท่านเจ้าอาวาส ท่านทำอะไรกับท่านปู่ของข้ากันแน่…”
หมอจางบีบมือเขาไว้แน่น ส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “เหลียงเอ๋อร์ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว มันเป็นความผิดของปู่ ไม่เกี่ยวกับท่านเจ้าอาวาส”
ฉินหลิวซีมองปู่หลานคู่นี้จากที่สูง กล่าวว่า “คำว่าไม่มีอะไรต้องรู้สึกผิด ใครๆ ก็พูดได้ มีเพียงเจ้าที่ไม่คู่ควร! เจ้ายังมีชีวิตอยู่เป็นเพราะบุญกุศลบนตัวของเจ้าช่วยเจ้าไว้ ส่วนเขาได้สลายไป ก็เป็นเพราะเห็นบุญกุศลที่เจ้าสั่งสมจึงได้เต็มใจที่จะหลีกทางให้เจ้า ตราบใดที่เจ้าเป็นผู้ที่ช่วยเหลือเพื่อมนุษย์ได้ ร่างกายนี้จึงยกให้เจ้าไป!”
ท่านหมอจางหลั่งน้ำตา ปวดใจเป็นอย่างยิ่ง
“ดังนั้นตอนนี้ปัญหาไม่ได้ขึ้นอยู่ว่าเจ้าจะชดใช้คืนหรือไม่ มันไม่มีประโยชน์แล้ว แม้ว่าเจ้าจะเต็มใจละทิ้ง เขาก็กลับมาไม่ได้แล้ว”
ท่านหมอจางคลานเข่ามาข้างหน้า กล่าวว่า “ข้าทำอะไรให้เขาได้บ้าง ตราบใดที่เขากลับมาได้ ข้ายินดีจะมอบทุกอย่างที่มีให้ท่าน แม้ว่าจะเป็นดวงวิญญาณของข้า หรือบุญกุศลทั้งหมดของข้านี้”
ฉินหลิวซีมองดวงตาของเขาที่อยากจะละทิ้งชีวิต กล่าวว่า “ไม่มีประโยชน์ สิ่งเดียวที่เจ้าสามารถทำได้ ก็คือนับตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่เจ้าตาย วันพรุ่งนี้ของเจ้าจะต้องเป็นจางฉงหมิงตัวจริง ทำทุกอย่างที่เขาอยากทำ ใช้ชีวิตด้วยความทะเยอทะยานในอดีตของเขาต่อไป เป็นหมอที่ดี ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์แทนเขา ช่วยเหลือใต้หล้านี้”
นางหันหลังกลับ เดินไปหาเถิงเจากับเจ้าโสมน้อย ทั้งสามคนหายตัวไปในความว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว
ท่านหมอจางร้องไห้คร่ำครวญเสียงดังอยู่บนพื้น ตะโกนว่าตัวเองเป็นคนบาป บาปของเขาไม่สามารถให้อภัยได้
จางจัวเหลียงยังคงตกตะลึงเล็กน้อยอยู่ด้านข้าง ความจริงแล้วเขาเห็นว่าท่านปู่มีเรื่องกังวลในใจเป็นอย่างมาก และเห็นว่าเขามาหาฉินหลิวซี จึงได้ตามมาด้วย ย่อมได้ยินบทสนทนาของพวกเขา
ท่านปู่ไม่ใช่ท่านปู่ตัวจริงของเขาหรือ
อะไรคือการยึดร่าง นี่มันเรื่องอะไรกัน
จางจัวเหลียงรู้สึกหนาวสันหลัง ทันใดนั้นก็เข้าใจว่าเหตุใดหลายปีมานี้ แม้ว่าโรงหมอจะหาเงินได้ไม่เท่าไหร่ ท่านปู่ก็ยังคงช่วยเหลือราษฎรด้วยความเมตตา กระทั่งเต็มใจที่จะขาดทุน
ทุกสิ่งที่เขาทำก็เพื่อชดใช้บาปหรือ